บริษัท เฟรดดี้ แมค ได้ประกาศตัวเลขขาดทุนสุทธิ 821 ล้านเหรียญสรอ. หรือ 1.63 เหรียญสรอ. ต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ถึง 3 เท่า เปรียบเทียบกับตัวเลขการขาดทุนสุทธิ 151 ล้านเหรียญสรอ. ในไตรมาสแรกของปี 2551 และตัวเลขกำไรสุทธิ 729 ล้านเหรียญสรอ. ในไตรมาสที่ 2 ของปีก่อนหน้า ในส่วนของตัวเลขรายได้ (Revenue) นั้น ลดลงมาอยู่ที่ 1.69 ล้านเหรียญสรอ. เปรียบเทียบกับรายได้ของไตรมาสเดียวกันในปีก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ระดับ 2.34 พันล้านเหรียญสรอ. โดยประธานกรรมการบริหารของบริษัท เฟรดดี้ แมค ได้กล่าวถึงตัวเลขการขาดทุนจากการเพิกถอนสิทธิการถ่ายถอนจำนอง (Foreclosures) และการผิดนัดชำระหนี้ของสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ในไตรมาสที่ 2 ว่า ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าของตัวเลขการขาดทุนในไตรมาสก่อนหน้า โดยรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับปัญหาดังกล่าว ได้เพิ่มสูงขึ้นจาก 1.4 พันล้านเหรียญสรอ. ในไตรมาสแรกของปี มาอยู่ที่ 2.8 พันล้านเหรียญสรอ. ในไตรมาสที่ผ่านมา เงินทุนสำรองของบริษัทเฟรดดี้ แมค ยังคงสูงกว่าระดับเงินทุนสำรองขั้นต่ำที่รัฐบาลกำหนด เป็นจำนวน 2.7 พันล้านเหรียญสรอ. อย่างไรก็ตาม ปริมาณเงินทุนสำรองของบริษัทได้ปรับตัวลดลงถึง 3.3 พันล้านเหรียญสรอ. ในไตรมาสที่ผ่านมาเพียงไตรมาสเดียว ทั้งนี้ บริษัทเฟรดดี้ แมค ได้ประกาศตัดลดเงินปันผลในไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 จากที่คาดการณ์ไว้ที่ 0.25 เหรียญสรอ. ต่อหุ้น มาอยู่ที่ไม่เกิน 0.05 เหรียญสรอ. ต่อหุ้น หรือลดลงกว่าร้อยละ 80 โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อคงระดับเงินทุนสำรองของบริษัทให้เป็นไปตามที่รัฐบาลกำหนด นอกจากนี้ บริษัทเฟรดดี้ แมค ยังมีแผนการที่จะปรับเพิ่มการระดมเงินทุนให้มากกว่า 5.5 พันล้านเหรียญสรอ. ตามที่เคยประกาศไว้เมื่อต้นปี เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงที่กระทรวงการคลังสหรัฐฯ อาจต้องดำเนินแผนงานช่วยเหลือ ด้วยการเข้ามาซื้อหลักทรัพย์ของบริษัท ทั้งนี้ ระดับเงินทุนสำรองของสถาบันนับเป็นปัจจัยหลักที่ทางรัฐบาลสหรัฐฯ ใช้ประกอบการตัดสินใจในการเข้ามาควบคุมการทำงานของสถาบันการเงินทั้งสองแห่ง ทางด้านบริษัทแฟนนี่ เม ได้รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 2 ของปี2551 ที่มีตัวเลขขาดทุนสุทธิ 2.3 พันล้านเหรียญสรอ. เปรียบเทียบกับตัวเลขขาดทุนสุทธิ 2.2 พันล้านเหรียญสรอ. ในไตรมาสแรกของปี และผลกำไรสุทธิที่สูงถึง 2 พันล้านเหรียญสรอ. ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยตัวเลขการขาดทุนจากการเพิกถอนสิทธิการถ่ายถอนจำนองและการผิดนัดชำระหนี้ของสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์นั้น ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 5.3 พันล้านเหรียญสรอ. ในไตรมาสที่ 2 ซึ่งนับว่าขาดทุนมากขึ้นจากไตรมาสแรกของปี ซึ่งอยู่ที่ระดับ 3.2 ล้านเหรียญสรอ. โดยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องปัญหาดังกล่าวถึงร้อยละ 65 ในไตรมาสที่ 2 และคาดการณ์ว่าจะยังคงเป็นปัญหาต่อเนื่องในไตรมาสที่เหลือของปี บริษัทแฟนนี่ เม ดำเนินนโยบายการตัดลดเงินปันผล เพื่อคงระดับเงินทุนสำรองของบริษัทเช่นเดียวกัน โดยได้ประกาศตัดลดเงินปันผลในไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 ลงมาอยู่ที่ 0.05 เหรียญสรอ. ต่อหุ้น จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 0.35 เหรียญสรอ. ต่อหุ้น นอกจากนี้บริษัทแฟนนี่ เม ได้ดำเนินแผนการระดมเงินทุนกว่า 7 พันล้านเหรียญ สรอ. ในไตรมาสที่ผ่านมา โดยมีเงินทุนสำรอง ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ระดับ 47 พันล้านเหรียญสรอ. ซึ่งมากกว่าเงินทุนสำรองขั้นต่ำที่รัฐบาลสหรัฐฯ กำหนด เป็นจำนวน 9.4 พันล้านเหรียญสรอ. อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารของบริษัทแฟนนี่ เม ได้แสดงความกังวลว่าอาจไม่สามารถคงเงินทุนสำรองของบริษัทให้เป็นไปตามข้อกำหนดของทางการสหรัฐฯ ได้จนถึงสิ้นปีหน้า ทั้ง ๆ ที่นักลงทุนสหรัฐฯ ต่างออกความเห็นว่า ระดับเงินทุนสำรองขั้นต่ำที่รัฐบาลกำหนดนั้น ถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำมากเมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่ารวมธุรกิจของบริษัทแฟนนี่ เม ทั้งนี้ บริษัทแฟนนี่ เม มีนโยบายที่จะลดรายจ่ายในการดำเนินการของบริษัทลงร้อยละ 10 ภายในสิ้นปีหน้า รวมทั้งปรับเพิ่มค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากนักลงทุนในการค้ำประกันการแปลงสินเชื่อที่อยู่อาศัยให้เป็นหลักทรัพย์ (Mortgage-Backed Securities)นอกจากนี้ ภายในสิ้นปีนี้ บริษัทแฟนนี่ เม จะยกเลิกการลงทุนในสินเชื่อที่ปล่อยกู้ให้แก่ลูกหนี้ที่ผ่านคุณสมบัติของการเป็นลูกหนี้ชั้นดี แต่มีเอกสารประกอบการทำสัญญาสินเชื่อไม่ครบถ้วน (Alt-A Loans) ซึ่งนับเป็นการลงทุนมีความเสี่ยงสูง โดยบริษัทแฟนนี่ เม ได้ลงทุนในสินเชื่อประเภทนี้อย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ตลาดอสังหาริมทรัพย์สหรัฐฯ อยู่ในภาวะฟองสบู่แตก (Bubble Burst) ซึ่งนับเป็นสาเหตุหลักของตัวเลขขาดทุนในไตรมาสที่ผ่านมา กล่าวโดยสรุปแล้ว การขาดทุนของสถาบันทั้งสองแห่งที่สูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ราคาอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐฯ ที่ยังคงมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง และอัตราการผิดนัดชำระหนี้ที่เพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าในปี 2550 ได้สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบจากวิกฤติตลาดอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐฯ ที่ลุกลามมากขึ้นและสร้างความเสียหายมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งน่าจะส่งผลให้ภาวะการฟื้นตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์เป็นไปได้ลำบากมากขึ้น ที่มา : Macroeconomic Analysis Group : Fiscal Policy Office Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th