Economic Indicators: This Week
รายจ่ายรัฐบาลในเดือน พ.ย.51 ซึ่งเป็นเดือนที่สองของปีงบประมาณ 2552 สามารถเบิกจ่ายได้ 165.2 พันล้านบาท ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 30.1 ต่อปี เนื่องจากมีการเร่งจ่ายงบประมาณหลังจากที่ พรบ. งประมาณรายจ่ายปี 52 มีผลบังคับใช้ล่าช้าเมื่อวันที่ 14 ต.ค. 51 ทำให้ในเดือน พ.ย. 51 รายจ่ายประจำสามารถเบิกจ่ายได้ประมาณ 131.3 พันล้านบาท ขยายตัวที่ร้อยละ 39.9 ต่อปี โดยมีรายจ่ายที่สำคัญได้แก่ การเบิกจ่ายเงินอุดหนุนรัฐบาลกลาง 24.7 พันล้านบาท และการเบิกจ่ายให้กับกองทุนหลักประกันสุขภาพ 14.0 พันล้านบาท ขณะที่ในส่วนของรายจ่ายลงทุนสามารถเบิกจ่ายได้ประมาณ 18.0 พันล้านบาท หดตัวที่ร้อยละ -1.3 ต่อปี เนื่องจากมีปัจจัยฐานรายจ่ายที่สูงในช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ การเบิกจ่ายลงทุนที่สำคัญ ได้แก่ การเบิกจ่ายเพื่อการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (SML) 9 พันล้านบาท การเบิกจ่ายของกรมทางหลวง 1.2 พันล้านบาท และกรมทางหลวงชนบท 604 ล้านบาท
ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรเดือน พ.ย. 51 ขยายตัวที่ร้อยละ 3.9 ต่อปี จากเดือนก่อนที่หดตัวร้อยละ -7.2 ต่อปี เนื่องจากจากการกลับมาขยายตัวของผลผลิตสำคัญ โดยเฉพาะข้าวนาปีที่อยู่ในช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยว ในขณะที่ผลผลิตสินค้าอื่นๆ เช่น ยางพารา ผลผลิตลดลงเนื่องจากภูมิอากาศไม่เอื้ออำนวยต่อการกรีดยาง ประกอบกับราคายางที่ลดลงในฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิต
ดัชนีราคาสินค้าเกษตรที่เกษตรกรขายได้เดือน พ.ย. 51 ขยายตัวที่ร้อยละ 7.9 ต่อปี ชะลอลงจากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 14.5 ต่อปี เป็นผลมาจากราคาสินค้าเกษตรสำคัญ เช่น ข้าว ยางพารา ปาล์มน้ำมัน ปรับตัวลดลงมาก เนื่องจากราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกปรับลดลง โดยเฉพาะข้าวและยางพารากดดันให้ราคาในประเทศลดลงตาม อย่างไรก็ตาม การที่รัฐบาลมีนโยบายประกันราคาสินค้าเกษตร 3 พืชหลัก เมื่อวันที่ 28 ต.ค.51 นั้น มีส่วนช่วยให้ราคาสินค้าเกษตรในประเทศไม่ตกต่ำลงมากนัก
ปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่งเดือน พ.ย. 51 ขยายตัวที่ร้อยละ 33.2 ต่อปี เร่งตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 20.4 ต่อปี ส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัจจัยฐานที่ต่ำช่วงเดียวกันปีก่อนที่ผู้บริโภคชะลอการซื้อเพื่อรอผลของมาตรการพลังงานทางเลือก E20 ประกอบกับมีการจัดงานมหกรรมสินค้ารถยนต์ (Motor Expo) ที่จัดขึ้นในช่วงปลายเดือนพ.ย.- ต้นเดือนธ.ค. 51 ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ยอดจำหน่ายรถยนต์ยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่อง
ปริมาณจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์เดือนพ.ย. 51 หดตัวที่ร้อยละ -36.7 ถือเป็นการหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 จากการหดตัวของยอดจำหน่ายรถปิกอัพและรถบรรทุกขนาด 2 ตัน ที่หดตัวที่ร้อยละ -38.2 และ -32.0 ต่อปี ซึ่งสะท้อนถึงการลงทุนที่ชะลอตัวลงต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมือง
ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (TISI) เดือน พ.ย.51 อยู่ที่ระดับ 71.8 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ระดับ 75.5 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากยอดคำสั่งซื้อและยอดขายที่ชะลอตัวลงมากทั้งตลาดในและต่างประเทศ ซึ่งมีสาเหตุจากปัญหาการเมืองในประเทศในช่วงที่ผ่านมาและปัญหาเศรษฐกิจโลกชะลอตัว อย่างไรก็ตาม ผลดีจากต้นทุนประกอบการที่ปรับตัวดีขึ้นจากราคาน้ำมันที่ลดลง ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นด้านผลประกอบการในเดือนนี้ปรับลดลงไม่มากนัก
มูลค่าส่งออกสินค้าในเดือน พ.ย. คาดว่าอยู่ที่ 12,000 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นการหดตัวร้อยละ -17.7 ต่อปี เนื่องจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ราคาสินค้าส่งออกสำคัญลดลง ผลจากการปิดสนามบินสุวรรณภูมิที่เป็นช่องทางการส่งออกถึง 25% ของการส่งออกทั้งหมด โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนยานยนต์ และอื่นๆ ในขณะที่มูลค่าการนำเข้าสินค้า คาดว่าจะอยู่ลงที่ 13,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยขยายตัวร้อยละ 1.5 ต่อปี เป็นผลจากเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว ส่งผลให้คาดว่าจะขาดดุลการค้า ประมาณ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ
Foreign Exchange Review
ค่าเงินของประเทศคู่ค้าหลักของไทยแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจาก (1) การประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯหรือ FED ในอัตราที่มากกว่าที่คาดไว้ (2) การประกาศตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯที่ปรับลดลงมาเท่ากับ ร้อยละ-1.7 ต่อปี (3) การปรับลดการถือการครองเงินดอลลาร์สหรัฐก่อนสิ้นปีของนักลงทุนหลังจากที่มีการทำ long ไว้ในช่วงก่อนหน้าและ (4) กระแสการทำ carry trade ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากที่ sentiment ของตลาดนั้นปรับตัวดีขึ้น จึงทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง
ค่าเงินยูโรปรับตัวแข็งค่าขึ้นมากต่อเนื่องจากช่วงสัปดาห์ก่อนหลังจากการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยของ FED ประกอบกับการประกาศตัวเลข CPI ของยุโรปในเดือน พ.ย.เป็นไปตามที่ตลาดคาดไว้ ส่งผลให้นักลงทุนยังคงมีความมั่นใจในเศรษฐกิจของยุโรป จึงทำให้นักลงทุนลดการถือสินทรัพย์ในเงินสกุลดอลลาร์ลงและหันมาลงทุนในเงินสกุลยูโรมากขึ้น ทั้งนี้ ค่าเงินยูโรในวันที่ 17 ธ.ค. แข็งค่าขึ้นมากที่สุดในรอบ 2 เดือนครึ่งเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ
ในขณะที่ค่าเงินวอนของเกาหลีใต้ปรับตัวแข็งค่าขึ้นมากเช่นกันหลังจากที่ปัญหาการขาดสภาพคล่องคลี่คลายลงจากการที่เกาหลีใต้ประกาศทำ swap lines กับจีนและญี่ปุ่น ซึ่งส่งผลให้มีเงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้าเกาหลีอย่างต่อเนื่องในช่วงกลางสัปดาห์
ค่าเงินบาทในช่วงสัปดาห์นี้แข็งค่าขึ้นเมือเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจากปัจจัยการอ่อนค่าลงของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐข้างต้น ซึ่งการแข็งค่าขึ้นของค่าเงินบาทนั้นเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับค่าเงินสกุลอื่นๆในภูมิภาคอีกทั้งค่าเงินบาทได้รับอานิสงค์จากปัจจัยภาวะทางการเมืองภายในประเทศเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนี SET index ปรับตัวสูงขึ้น 27 จุดโดยมีแรงซื้อจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ
เงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับวอนเกาหลี (ร้อยละ 48.5) รูเปียห์อินโดนิเซีย (ร้อยละ 31.5) ปอนด์สเตอลิงค์ (ร้อยละ 31.6) ดอลลาร์ไต้หวัน (ร้อยละ 10.5) ดอลลาร์สหรัฐ (ร้อยละ 10.2) ดอลลาร์ฮ่องกง (ร้อยละ 10.0) ริงกิตมาเลเซีย (ร้อยละ 3.8) และเปโซฟิลิปปินส์ (ร้อยละ 0.4) แต่อ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สิงคโปร์ (ร้อยละ 0.5) ยูโร (ร้อยละ 5.3) หยวน (ร้อยละ 5.6) และเงินเยน (ร้อยละ 15.9)
Foreign Exchange and Reserves
ในสัปดาห์ก่อน ณ วันที่ 12 ธ.ค.51 ทุนสำรองระหว่างประเทศ (Net Reserve) เพิ่มขึ้นสุทธิ 2.21 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากสัปดาห์ก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับ 114.69 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของ Gross Reserve จำนวน 1.65 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และ Forward Obligation จำนวน 0.56 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสาเหตุที่ทำให้ทุนสำรองสุทธิเพิ่มขึ้นน่าจะมาจากการตีค่ามูลค่าทุนสำรองในรูปดอลลาร์สหรัฐเพิ่มขึ้น (Valuation Gain) จากการที่ค่าเงิน EU และ JPY แข็งค่าขึ้นในช่วงสัปดาห์ดังกล่าว ร้อยละ 5.0 และ 1.9 ตามลำดับ อย่างไรก็ตามการแข็งค่าขึ้นของค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้น่าจะเป็นผลจากการที่ผู้ส่งออกเทขายเงินตราต่างประเทศเพื่อซื้อบาทจากการที่คาดว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นจากปัจจัยทางการเมืองภายในประเทศเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น จึงทำให้ค่าเงินบาทในสัปดาห์ที่ผ่านมาแข็งค่าขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า (วันที่ 5 ธ.ค.51) ร้อยละ -1.68 จาก 35.59 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐเป็น 34.99 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ วันที่ 12 ธ.ค.51
Major Trading Partners’ Economies: This Week
ยอดค้าปลีกของสหรัฐฯเดือนพ.ย .51 หดตัวลงเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกันที่ร้อยละ -1.8 (mom) (โดยถ้าไม่รวมสินค้ายานยนต์แล้ว จะหดตัวที่ร้อยละ -1.6 (mom)) ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า (ตัวเลขปรับปรุง) ที่หดตัวร้อยละ -2.9 (mom) ซึ่งเป็นการหดตัวติดต่อกันที่ยาวนานที่สุดในรอบ 16 ปี สะท้อนให้เห็นภาพเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ดี เมื่อไม่รวมน้ำมันเชื้อเพลิงแล้ว ยอดค้าปลีกจะหดตัวเพียงร้อยละ -0.2 (mom) โดยยอดขายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และของขวัญอื่นๆยังขยายตัวได้ดี เพราะเป็นช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองซึ่งมีธรรมเนียมการให้ของขวัญแก่กัน
ยอดค้าปลีกจีน เดือนพ.ย.51 ขยายตัวที่ร้อยละ 20.8 ต่อปี ชะลอตัวลงเล็กน้อยจากเดือนที่แล้วที่ร้อยละ 22.0 ต่อปี ซึ่งแม้จะสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ แต่เป็นอัตราการขยายตัวที่ต่ำสุดในรอบ 9 เดือน โดยการค้าปลีกในเขตเมืองขยายตัวที่ร้อยละ 20.3 ต่อปี ในขณะที่ยอดค้าปลีกในเขตชนบทขยายตัวที่ร้อยละ 21.8 ต่อปี อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนเริ่มแสดงความเป็นห่วงสภาพเศรษฐกิจที่เริ่มแสดงสัญญาณชะลอตัวลงมากที่สุดในรอบทศวรรษ โดยเห็นได้จากยอดค้าปลีกวัสดุก่อสร้างที่หดตัวร้อยละ -32.6 ต่อปี
ผลผลิตอุตสาหกรรมของกลุ่มประเทศยูโรโซนในเดือน ต.ค. 51 หดตัวลงร้อยละ -5.4 ต่อปี ต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้าที่หดตัวลงร้อยละ -2.7 ต่อปีและถือเป็นการหดตัวลงต่ำสุดในรอบปี เนื่องจากยอดคำสั่งซื้อจากต่างประเทศชะลอตัวลงตามการชะลอลงของประเทศคู่ค้า และปริมาณสินค้าคงคลังที่มีอยู่มากทั้งนี้ ผลผลิตอุตสาหกรรมที่หดตัวลง ทำให้คาดว่าเศรษฐกิจยูโรโซนในไตรมาส 4 จะถดถอยต่อเนื่องไปอีก
ผลผลิตอุตสาหกรรมจีนเดือนพ.ย.51 ขยายตัวร้อยละ 5.4 ต่อปี ชะลอลงจากเดือนที่แล้วที่ร้อยละ 8.2 ต่อปี โดยเป็นการขยายตัวที่ต่ำสุดในรอบ 9 ปี ผลจากการหดตัวของการส่งออกและนำเข้า โดยผลผลิตอุตสาหกรรมเพื่อส่งออกหดตัวลงร้อยละ -5.2 ต่อปี การผลิตเหล็กกล้าหดตัวลงถึงร้อยละ -12.4 ต่อปี ในขณะที่ยอดผลิตยานยนต์หดตัวลงร้อยละ -15.9 ต่อปี
ผลสำรวจความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจญี่ปุ่น หรือผลสำรวจทังคันโดยธนาคารกลางญี่ปุ่น พบว่าช่วงเดือน ธ.ค 51.มีอยู่ที่ระดับ — 24จุด ซึ่งเป็นการติดลบต่อเนื่องมาตั้งแต่ไตรมาสแรกของป ? 51 สะท้อนภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวของญี่ปุ่น โดยภาคที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ ภาคการผลิต ทั้งนี้ บริษัทชั้นนำในภาคธุรกิจต่างๆ ยังมีแผนการที่จะลดการลงทุนในการสร้างฐานผลิตและซื้อเครื่องมือใหม่ๆ ลง จากที่เคยปรับเพิ่มขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
สิงคโปร์ประกาศตัวเลขดัชนีขายปลีก ณ ราคาปัจจุบัน ในเดือน ต.ค 51.อยู่ที่ 106.4 ลดลงร้อยละ -3.6 ต่อปี สะท้อนผลประกอบการระยะสั้นด้านการขายปลีกที่หดตัวลง นอกจากนี้ อัตราการว่างงานที่ปรับฤดูกาลแล้ว ณเดือนก.ย. 51 อยู่ที่ร้อยละ 2.2 เท่ากับช่วงไตรมาสก่อนหน้า โดยอัตราการเพิ่มของตำแหน่งงานได้ชะลอลงเนื่องจากเศรษฐกิจสิงคโปร์เข้าสู่สภาวะถดถอย โดยมีตำแหน่งงานเพิ่มเพียง 55,700 ตำแหน่งในไตรมาส 3
ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้า NYMEX ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยล่าสุดอยู่ที่ระดับ 38.91 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ปรับตัวลดลงกว่า 7.39 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรลจากสัปดาห์ก่อนหน้า ถึงแม้ว่ากลุ่มโอเปกจะประกาศลดกำลังการผลิตสูงถึง 2.2ล้านบาร์เรล/วัน ในการประชุมวันที่ 17 ธ.ค.51 ก็ยังไม่ช่วยให้ราคาปรับตัวขึ้นแต่อย่างใด ทำให้อุปทานจากกลุ่มโอเปกลดลงไปเหลือ 24.85ล้านบาร์เรล/วัน หรือลดลงกว่าร้อยละ 15จากเดือน ก.ย .อย่างไรก็ดีประเทศรัสเซียและเม็กซิโกซึ่งเคยร่วมมือกลับกลุ่มโอเปก ไม่ได้ยืนยันที่จะปรับลดกำลังการผลิตลงแต่อย่างใด
ธนาคารกลางต่างๆได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายและอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง ดังนี้ วันที่ 16 ธ.ค. 51 ธนาคารกลางสหรัฐได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงจากร้อยละ 1.0 เป็นร้อยละ 0-0.25 ธนาคารกลางนอร์เวย์ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 1.75 มาอยู่ที่ร้อยละ 3.0 ต่อมาวันที่ 17 ธ.ค.51 ทางการฮ่องกงได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงลงร้อยละ 1.0 มาอยู่ที่ร้อยละ0.5 ในวันที่ 18 ธ.ค. 51 ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงจากร้อยละ 6.0 เป็นร้อยละ 5.5 และในวันที่ 19 ธ.ค. 51 ธนาคารกลางญี่ปุ่นได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงจากร้อยละ 0.3 เป็นร้อยละ 0.1
Major Trading Partners’ Economies: Next Week
อัตราเงินเฟ้อฮ่องกงเดือน พ.ย. 51 คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 1.6 ต่อปี ลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้าที่ร้อยละ 1.8 ต่อปี ผลจากราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่ลดลง ตามภาวะเศรษฐกิจฮ่องกง และเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว
ที่มา: Macroeconomic Analysis Group: Fiscal Policy Office
Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th