รายงานภาวะเศรษฐกิจรายสัปดาห์ระหว่างวันที่ 5-9 มกราคม 2552

ข่าวเศรษฐกิจ Monday January 12, 2009 11:23 —กระทรวงการคลัง

Economic Indicators: This Week

รายได้รัฐบาลสุทธิประจำเดือน ธ.ค.51 จัดเก็บได้สุทธิ 76.25 พันล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการรายได้ 22.24 ล้านบาทหรือร้อยละ 23.0 และต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ -18.7 ส่งผลให้รายได้จัดเก็บสุทธิของรัฐบาลในช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2552 เท่ากับ 272.84 พันล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย 52.33 พันล้านบาท ซึ่งผลการจัดเก็บรายได้ที่ต่ำกว่าเป้าหมายในเดือน ธ.ค. 51 มีสาเหตุสำคัญจากภาษีมูลค่าเพิ่มของกรมสรรพากรและภาษีสรรพสามิตน้ำมันที่จัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมายจำนวน 5.14 และ 4.76 พันล้านบาท ตามลำดับ ประกอบกับการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 21.30 พันล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายจำนวน 8.49 พันล้านบาทหรือร้อยละ 66.3 ทั้งนี้ รายได้สุทธิของ 3 กรมจัดเก็บรายได้ในเดือน ธ.ค. 51 เท่ากับ 92.65 พันล้านบาท หดตัวร้อยละ -10.7 ต่อปี โดยภาษีฐานรายได้และภาษีฐานบริโภคหดตัวที่ร้อยละ —6.7 และ — 6.9 ต่อปี ตามลำดับ

สินเชื่อให้ภาคเอกชนของสถาบันรับฝากเงินปรับตัวลดลงในขณะที่เงินฝากภาคเอกชนเพิ่มขึ้นในเดือน พ.ย. 2551 สถาบันรับฝากเงิน (ได้แก่ธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน สถาบันการเงินเฉพาะกิจ สหกรณ์ออมทรัพย์และกองทุนรวมตลาดเงิน) สินเชื่อในเดือน พ.ย. 2551 ขยายตัวร้อยละ 10.2 ลดลงจากในเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ร้อยละ 11.2 โดยสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ระดับ 8,523.7 พันล้านบาท ต่ำกว่าเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 8,526.1 พันล้านบาทหรือคิดเป็นการหดตัวที่ร้อยละ -0.03 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง ขณะเดียวกัน เงินฝากของสถาบันรับฝากเงินในเดือน พ.ย. 2551 เร่งขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 4.5 จากเดิมขยายตัวร้อยละ 1.1 ในเดือนก่อนหน้า แต่หากนับรวมการออกตราสารหนี้ประเภทตั๋วแลกเงิน (Bill of Exchange) เงินฝากจะขยายตัวร้อยละ 6.7 โดยในเดือน พ.ย. 2551 มีเงินฝากจำนวน 9,035.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 8,809.3 พันล้านบาท หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 2.6 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนสอดคล้องกับการขยายตัวของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่แท้จริงในธนาคารพาณิชย์

ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ในเดือน ธ.ค. 51 หดตัวที่ร้อยละ -3.4 ต่อปี ถือเป็นการหดตัวครั้งติดต่อกันเป็นครั้งที่ 2 ในรอบปี จากเดือนก่อนที่หดตัวร้อยละ -4.6 ต่อปี โดยสาเหตุหลักมาจากภาวะเศรษฐกิจในปะเทศที่มีแนวโน้มชะลอตัวส่งผลให้ประชาชนมีความระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น นอกจากนี้ การชะลอตัวของเศรษฐกิจดังกล่าวทำให้มูลค่าการนำเข้าลดลง ส่งผลให้การเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้าลดลงตามไปด้วย

อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือน ธ.ค .51 ชะลอตัวลงมาอยู่ที่ร้อยละ 0.4 ต่อปี ถือเป็นการขยายตัวต่ำสุดในรอบ 6ปี 4เดือน หากพิจารณาเทียบกับเดือนก่อนหน้า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปลดลงร้อยละ 1.6 ลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 โดยมีสาเหตุจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องซึ่งส่งผลใหร้ คาน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศปรับลดลงรอ้ ยละ 13.6ตอ่ เดือนนอกจากนั้น ราคาผักและผลไมล้ ดลงกว่ารอ้ ยละ 6.3ตอ่ เดือน เนื่องจากสภาพอากาศที่เย็นลงทำให้เอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูก ผลผลิตจึงเพิ่มขึ้นมาก ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเดือน ธ.ค .51 ขยายตัวที่ร้อยละ 1.8 ต่อปีทั้งนี้ อัตราเงินเฟอ้ ทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยทั้งปี 2551อยูที่ร้อยละ 5.5 และ 2.4 ต่อปี ตามลำดับ

Economic Indicators: Next Week

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CCI) เดือน ธ.ค. 51 คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 68.0 จากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 67.1 โดยมีสาเหตุหลักมาจากสถานการณ์ทางการเมืองเริ่มคลี่คลายลงหลังจากได้มีการจัดตั้งรัฐบาลเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 51 ที่ผ่านมา ซึ่งน่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค และนักลงทุนทั้งภายในประเทศ และต่างประเทศได้ในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตามวิกฤติสถาบันการเงินของสหรัฐฯ ที่เริ่มส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงเป็นปัจจัยลบทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นไม่ปรับตัวสูงขึ้นมากนัก

Foreign Exchange Review

ค่าเงินสกุลคู่ค้าหลักของไทยเทียบกับดอลลาร์สหรัฐในสัปดาห์ที่ผ่านมาอ่อนค่าลงเกือบทุกสกุล ยกเว้นปอนด์เตอลิงค์ เยน และเปโซฟิลิปปินส์

ค่าเงินของประเทศคู่ค้าหลักของไทยอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐโดยมีสาเหตุหลักมาจากการแถลงนโยบายการจัดทำมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯของว่าที่ประธานาธิบดีโอบามาซึ่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะสามารถออกจากภาวะถดถอยได้เร็วกกว่าเศรษฐกิจของประเทศอื่นๆ จึงส่งผลให้นักลงทุนย้ายการลงทุนจากเอเชียที่มีแนวโน้มว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงมากมายังสหรัฐฯ ทำให้เงินสกุลดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้นมาในช่วงกลางสัปดาห์นี้ แม้ว่าค่าเงินสกุลดอลลาร์จะเริ่มมีแนวโน้มอ่อนคงลงมาบ้างในช่วงปลายสัปดาห์จากการประกาศตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯของสถาบัน ADP ที่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้และการที่นักลงทุนคาดว่าการประกาศตัวเลขการว่างงานของสหรัฐฯในช่วงวันศุกร์จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ด้านค่าเงินยูโรเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงจากกระแสข่าวว่ารัฐบาลอิตาลีประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนักจากการนำเงินทุนในการเตรียมชำระหนี้พันธบัตรไปลงทุน อีกทั้งตลาดได้คาดการณ์ว่าส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยของยุโรปและสหรัฐฯจะมีแนวโน้มแคบลงมาจากการคาดการณ์ว่า ECB จะปรับลดดอกเบี้ยได้อีกค่อนข้างมากจากการที่ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่ประกาศออกมาต่ำ

ในขณะที่ค่าเงินปอนด์สเตอลิงค์เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นมาก ซึ่งเป็นผลจากภาวะการ rebound จากการที่ค่าเงินปอนด์สเตอลิงค์ได้อ่อนค่าลงไปมากในช่วงเดือน ธ.ค. 51 ทำให้นักลงทุนคาดว่าค่าเงินปอนด์จะเริ่มปรับตัวแข็งค่ามากจึงเปลี่ยนการถือครองเงินสกุลยูโรมาเป็นปอนด์สเตอลิงค์ ทำให้เงินปอนด์สเตอลิงค์แข็งค่าขึ้นมาก ด้านค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาหลังจากที่รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศที่จะปรับลดภาษี capital gain

ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับ ค่าเงินยูโร ค่าเงินริงกิตในขณะที่อ่อนค่าลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับค่าเงินเยน แต่อ่อนค่าลงค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับค่าเงินปอนด์

ค่าเงินบาทในช่วงสัปดาห์นี้แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินคู่ค้าส่วนใหญ่เนื่องจากการที่ดอลลาร์สหรัฐได้รับปัจจัยบวกจากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของว่าที่ประธานาธิบดีโอบามา ในขณะที่ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับดอลลาร์สหรัฐเนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากปัจจัยทางการเมืองที่มีเสถียรภาพมากขึ้น ประกอบกับแรงขายดอลลาร์สหรัฐจากผู้ส่งออกและแรงซื้อดอลลาร์สหรัฐจากผู้นำเข้าที่มีปริมาณใกล้เคียงกัน ค่าเงินบาทจึงไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐแต่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินภูมิภาค อย่างไรก็ตามการที่ค่าเงินปอนด์สเตอลิงค์และเยนแข็งค่าขึ้นมากเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐทำให้ค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับสกุลดังกล่าวอ่อนค่าลง

ดัชนีค่าเงินบาท (NEER) เมื่อเทียบกับคู่ค้าหลัก 12 สกุลเงิน (ดอลลาร์สหรัฐ ยูโร เยน หยวน ดอลลาร์ฮ่องกง ดอลลาร์ไต้หวัน วอนเกาหลีดอลลาร์สิงคโปร์ รูเปียห์อินโดนีเซีย ริงกิตมาเลเซีย ปอนด์เสเตอลิงค์และเปโซฟิลิปปินส์) ณ วันที่ 9 ม.ค. 51 แข็งค่าขึ้นจากค่าเฉลี่ยปี 49
ร้อยละ 2.60 แต่อ่อนค่าลงจากสัปดาห์ที่แล้วที่อยู่ที่ร้อยละ 1.74

เงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับวอนเกาหลี (ร้อยละ 51.6) รูเปียห์อินโดนิเซีย (ร้อยละ 30.8) ปอนด์สเตอลิงค์ (ร้อยละ 32.2) ดอลลาร์ไต้หวัน (ร้อยละ 10.9) ดอลลาร์สหรัฐ (ร้อยละ 8.9) ดอลลาร์ฮ่องกง (ร้อยละ 8.8) ริงกิตมาเลเซีย (ร้อยละ 4.9) ดอลลาร์สิงคโปร์ (ร้อยละ 1.5) ยูโร (ร้อยละ 0.1)และเปโซฟิลิปปินส์ (ร้อยละ 0.1) แต่อ่อนค่าเมื่อเทียบกับหยวน (ร้อยละ 6.7)และเงินเยน (ร้อยละ 14.7)

Foreign Exchange and Reserves

ในสัปดาห์ก่อน ณ วันที่ 2 ม.ค.52 ทุนสำรองระหว่างประเทศ (Net Reserve) ลดลงสุทธิ -0.29 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากสัปดาห์ก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับ 117.53 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นการลดลงของ Gross Reserve จำนวน -0.32 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่เป็นการเพิ่มขึ้นของ Forward Obligation จำนวน 0.04 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสาเหตุที่ทำให้ทุนสำรองลงลดน่าจะมาจากการตีค่ามูลค่าทุนสำรองในรูปดอลลาร์สหรัฐลดลง(Valuation Gain) จากการที่ค่าเงิน EU และ JPY อ่อนค่าลงในช่วงสัปดาห์ดังกล่าว ร้อยละ 1.32 และ 1.69 ตามลำดับ ขณะที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า(วันที่ 26 ธ.ค.51) ร้อยละ 0.03 จาก 34.89 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐเป็น 34.90 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ วันที่ 2 ม.ค.52 โดยเป็นผลจากการที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นจากการที่มีการนำส่งรายได้กลับประเทศ ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับค่าเงินสกุลอื่นๆในภูมิภาค

Major Trading Partners’ Economies: This Week

ISM Manufacturing Index ของสหรัฐฯเดือนธ.ค .51 ลดลงต่อเนื่องต่ำกว่าระดับ 40 เป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน มาอยู่ที่ 32.4 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในประวัติศาสตร์ จากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 36.2 ทั้งนี้ดัชนีที่อยู่ต่ำกว่า 40 เป็นเดือนที่ 3 เป็นสัญญาณอันตรายแสดงว่าภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ กำลังอยู่ในภาวะถดถอยที่รุนแรง

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ เดือนธ.ค.51 อยู่ที่ระดับ 38 ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 44.7 ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์รอบ 41 ปี แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในสภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ลดลง ผลจากความกังวลจากภาวะว่างงาน ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นในรูปการใช้จ่ายที่ลดลงตาม

สิงคโปร์ประกาศตัวเลขเบื้องตน้ GDP ไตรมาส 4 อยูที่ร้อยละ -2.6 ต่อปี (หรือหดตัวร้อยละ -12.5 ต่อไตรมาส ซึ่งเป็นการหดตัวต่อไตรมาสเป็นครั้งที่ 3 ต่อเนื่องกัน) จากผลกระทบวิกฤตการเงินโลกที่ซ้ำเติมทั้งภาคการผลิตในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และภาคบริการโดยเฉพาะภาคการเงินทำให้ในปี 51 เศรษฐกิจสิงคโปร์ขยายตัวเพียงร้อยละ 1.4 ต่อปี (ตัวเลขเบื้องต้น) ลดลงมากจากปี 50 ที่ขยายตัวร้อยละ 7.7 ต่อปี นอกจากนี้ สศค.คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสิงคโปร์ในปี 2552 จะหดตัวที่ร้อยละ -2.2 ต่อปี

มูลค่าการส่งออกสินค้าและนำเข้าสินค้าของฮ่องกง เดือนพ.ย.51 หดตัวร้อยละ -5.3 และร้อยละ -7.9 ต่อปี ตามลำดับ จากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวที่ร้อยละ 11.3 และร้อยละ 9.4 ต่อปี ตามลำดับ ผลจากการหดตัวของ domestic export ที่หดตัวเร่งขึ้นที่ร้อยละ -31.5 ต่อปี โดยในแง่มิติสินค้า การส่งออกเม็ดพลาสติกและการส่งออกเส้นใยหดตัวที่ร้อยละ -29.2และร้อยละ -17.1 ต่อปีตามลำดับ ทำให้ดุลการค้าฮ่องกงเดือน พ.ย .51ขาดดุลที่ -8.2 พันล้านดอลลาร์ฮ่องกง ขาดดุลลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขาดดุล -14.2 พันล้านดอลลาร์ฮ่องกง

มูลค่าการส่งออกสินค้าและนำเข้าสินค้าของเกาหลีใต้เดือนธ.ค.51 หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่สอง โดยมูลค่าการส่งออกหดตัวร้อยละ -17.4 ต่อปีในขณะที่มูลค่าการนำเข้าหดตัวถึงร้อยละ -21.5 ต่อปี จากเดือนก่อนหน้าที่หดตัวร้อยละ-19.0 และ -14.9 ต่อปี ตามลำดับ )ตัวเลขปรับปรุง (ผลจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลักถดถอย อย่างไรก็ดี ดุลการค้าเกาหลีใต้เดือนต.ค .51 เกินดุลที่ 0.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากเดือนก่อนหน้าที่เกินดุลที่0.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ทั้งปี 51 ดุลการค้าเกาหลีใต้ขาดดุลรวม -1.89 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

มูลค่าการส่งออกสินค้าและนำเข้าสินค้าของไต้หวันเดือนธ.ค.51 หดตัวมากสุดในประวัติศาสตร์ที่ร้อยละ -41.9 และร้อยละ -44.6 ต่อปีตามลำดับ ซึ่งเป็นการหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่หดตัวที่ร้อยละ -23.3 และร้อยละ -13.2 ต่อปี ตามลำดับ โดยในแง่มิติสินค้าการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลัก หดตัวถึงร้อยละ-43.0 ต่อปี ด้วยการนำเข้าที่หดตัวเร่งตัวขึ้นมากกว่าการส่งออกทำให้ ดุลการค้าไต้หวันเดือนธ.ค .51เกินดุลที่ 1.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่เกินดุล1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ในปี 51 มูลค่าการส่งออกและนำเข้าของไต้หวันขยายตัวที่ร้อยละ 3.6 และร้อยละ 9.9 ต่อปีตามลำดับ

มูลค่าการส่งออกสินค้าของอินโดนีเซียเดือนพ.ย 51.หดตัวร้อยละ2.4-ต่อปีซึ่งเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 3ปี จากที่เคยขยายตัวในเดือนก่อนหน้าที่รอ้ยละ 4.9ตอ่ ปี ผลจากการส่งออกสินค้าพลังงานหดตัวเร่งขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ 31.6-ตอ่ ปี ตามราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในแง่มิติคู่ค้า การส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาญี่ปุ่น และจีน มีการหดตัวรอ้ ยละ 42.1- 5.8-และ 41.3-ต่อปี ตามลำดับตามเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ในขณะที่มูลค่าการนำเข้าสินค้าในเดือนพ.ย.51 ขยายตัวร้อยละ 15.1 ต่อปี ชะลอตัวลงจากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 68.9 ต่อปี

ธนาคารกลางต่างๆได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายและอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง ดังนี้ วันที่ 5 ม.ค. 52 ธนาคารกลางอินเดีย ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงจากร้อยละ 6.5 เป็นร้อยละ 5.5 ต่อมาวันที่ 7 ม.ค.52 ธนาคารกลางอินโดนีเซีย ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงจากร้อยละ9.25เปน็ ร้อยละ 8.75 และธนาคารกลางไตห้ วันประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงจากร้อยละ 2.0 เป็นร้อยละ 1.5 วันที่ 8 ธ.ค. 52 ธนาคารกลางอังกฤษประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงจากร้อยละ 2.0 เป็นร้อยละ 1.5 วันที่ 8 ธ.ค. 52 ธนาคารกลางเกาหลีใต้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงจากร้อยละ 3.0 เป็นร้อยละ 2.5

ที่มา: Macroeconomic Analysis Group: Fiscal Policy Office

Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ