ภาวะเศรษฐกิจสหราชอาณาจักร ธันวาคม 2551

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday January 13, 2009 15:56 —กระทรวงการคลัง

ภาพรวมเศรษฐกิจ ( ธันวาคม 2551 )

ดัชนีชี้วัดการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนตุลาคมยังหดตัวลงอีก 0.2 จุด

ดัชนีชี้วัดการผลิตภาคอุตสาหกรรม (Industrial Production Index: IPI) ในเดือนตุลาคมยังปรับตัวลดลงอีก 1.6 จุดจากเดือนที่แล้วมาอยู่ที่ระดับ 96.4 และหากพิจารณาจากค่าเฉลี่ยของดัชนีช่วง 3 แดือน (สิงหาคม-ตุลาคม) พบว่าลดลงจากค่าเฉลี่ยของช่วง 3 เดือนก่อนหน้า (พฤษภาคม-กรกฎาคม) ร้อยละ 1.8 ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดในรอบ ... ปี และนับเป็นเดือนที่ 10 ติดต่อกันที่ดัชนีปรับตัวลดลง โดยดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมยังคงลดลงในทุกสาขาการผลิตไม่ว่าจะเป็นการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม (Manufacturing) ซึ่งมีน้ำหนักร้อยละ 79 ลดลงแรงถึงร้อยละ 2.0 จากช่วง 3 เดือนก่อนหน้า ขณะที่ดัชนีผลผลิตภาคเหมืองแร่ ทรัพพยากร ธรรมชาติ และน้ำมัน ซึ่งมีน้ำหนักร้อยละ 12 ลดลงร้อยละ 0.7 ขณะที่ดัชนีผลผลิตด้านพลังงานไฟฟ้า น้ำ และ ก๊าซ ซึ่งมีน้ำหนัก ร้อยละ 9 ลดลงร้อยละ 0.5

ทั้งนี้ หากพิจารณาดัชนีการผลิตตามระดับขั้นของผลผลิตพบว่าค่าเฉลี่ย 3 เดือนของดัชนีผลผลิตสินค้าขั้นกลางและพลังงาน (Intermediate goods and energy) ซึ่งมีน้ำหนักร้ออยละ 48 ลดลงจากรอบ 3 เดือนก่อนหน้าร้อยละ 1.8 ดัชนีสินค้าเพื่อการบริโภคที่คงทน (Consumer durable) ซึ่งมีน้ำหนักร้อยละ 36 ลดลงถึงร้อยละ 3.6 ดัชนีผลผลลิตสินค้าเพื่อการบริโภคที่ไม่คงทน (Consumer non-durable) ซึ่งมีน้ำหนักร้อยละ 27 ลดลงร้อยละ 0.7 เท่ากับเดือนที่แล้ว ขณะที่สินค้าทุน (Capital goods) ซึ่งมีน้ำหนักร้อยละ 21 ในเดือนนี้นียังคงลดลงค่อนแรงถึงร้อยละ 2.7 จากรอบ 3 เดือนก่อนหน้า ทั้งนี้การที่ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนตุลาคมลดลงค่อนข้างมากน่าจะสะท้อนถึงการคาดการเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 ว่าจะขยายตัวติดลบเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3

อัตราเงินเฟ้อ : CPI เดือนพฤศจิกายนลดลงเป็นเดือนที่สองเหลือร้อยละ 4.1

ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในเดือนพฤศจิกายนปรับตตัวลดลงเป็นเดือนที่สองเหลือร้อยละ 4.1 นับเป็นเดือนที่สองที่อัตราเงินเฟ้อลดลงหลังจากที่ขึ้นไปทำสถิติสูงสุดร้อยละ 5.2 เมื่อเดือนกันยายน โดยสาเหตุหลักที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อในเดือนนี้เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีที่แล้วมาจากหมวดขนส่งคมนาคมที่เพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลงเหลือเพียงร้อยละ 1.3 เทียบกับร้อยละ 4.3 ในเดือนที่แล้วซึ่งเป็นผลมาจากการลดลงของราคาน้ำมันในเดือนนี้เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว หมวดค่าใช้จ่ายประจำในครัวเรือน ค่าแก๊สและไฟฟ้าที่เพิ่มในอัตราที่ชะลอลงเหลือร้อยละ 14.8 เทียบกับร้อยละ 15.2 ในแดือนที่แล้ว ขณะที่หมวดอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่ใช่แอลกอฮอล์ในเดือนนี้เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.6 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนที่แล้วแต่ก็ชะลอลงมากเมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน สำหรับหมวดสินนค้าที่มีระดับราคาลดลลงเมื่อเทียบกับปีที่แล้วยังคงได้แก่หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้าที่มีระดับราคาลดลงร้อยละ 7.1 หมวดสื่อสารที่ลดลงร้อยละ 1.5 และหมวดสันธนาการและวัฒนธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงจากปีที่แล้ว

ทางด้านดัชนี (Retail Price Index: RPI) ในเดือนนี้ยังคงชะลอลงค่อนข้างเร็วต่อเนื่องจากเดือนที่แล้วโดยลงมาอยู่ที่ระดับร้อยละ 3.0 หลังจากที่ขึ้นไปทำสถิติสูงสุดถึงร้อยละ 5.0 เมื่อเดือนกันยายน โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อในเดือนนี้มาจากราคาสินค้าหมวดอาหารและภัตตาคารที่กลับเร่งตัวขึ้นในเดือนนี้สู่ระดับร้อยละ 8.8 เทียบกับร้อยละ 8.4 ในเดือนที่แล้วราคาสินค้าหมวดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และยาสูบที่เพิ่มร้อยละ 4.5 เทียบกับร้อยละ 4.7 ในเดือนที่แล้ว สำหรับหมวดสินค้าที่ส่งผลดีต่อการชะลอลงของ RPI มาจากหมวดที่อยู่อาศัยและรายจ่ายในครัวเรือนที่ชะลอตัวลงสู่ระดับร้อยละ 3.4 เทียบกับร้อยละ 4.9 ในเดือนที่แล้วเนื่องจากการลดลงของราคาน้ำมัน ขณะที่หหมวดท่องเทที่ยวและการหหย่อนใจมีระดดับราคาลดลงงจากปีที่แล้วร้อยละ 0.6 เทียบกับที่เพพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1 ในเดือนนที่แล้ว

อัตราการว่างงาน : เดือนตุลาคมขยับขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับร้อยละ 6.0

ในรอบ 3 เดือนสิ้นสุดเดือนตุลาคม (สิงหาคม-ตุลาคม) ทั้งจำนวนผู้มีงานทำและอัตราการจ้างงานต่างก็ลดลง กล่าวคือ จำนวนผู้มีงานทำ (employment level) มีจำนวน 29.377 ล้านคน ลดลงถึง 115,000 คนจากรอบ 3 เดือนก่อนหน้า (พฤษภาคม-กรกฎาคม) หรือลดลงร้อยละ 0.4 แต่จำนวนผู้มีงานทำยังคงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 57,000 คน หรือเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.2 จากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว ส่งผลให้ในเดือนนี้อัตราการจ้างงานลดลงเหลือร้อยละ 74.2 ของผู้ที่อยู่ในวัยทำงานทั้งหมด (working age employment rate) ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า 0.4 จุด

ทางด้านจำนวนผู้ว่างงานและอัตราการว่างงานในรอบสามเดือนจนถึงเดือนตุลาคมต่างก็เพิ่มขึ้น โดยมียอดผู้ว่างงานเฉลี่ย 1.864 ล้านคน เพิ่มขึ้น 137,000 คนจากรอบไตรมาสก่อนหน้า หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.9 และเพิ่มขึ้น 238,000 คนจากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.6 ส่งผลให้อัตราการว่างงานเฉลี่ยในรอบไตรมาสนี้เพิ่มขึ้นแตะระดับร้อยละ 6.0 เทียบกับร้อยละ 5.5 ในไตรมาสก่อนหน้า นับเป็นเดือนที่สองที่จำนวนผู้ว่างงานอยู่เหนือระดับ 1.8 ล้านคนในรอบ 11 ปีนับจากปี 1997 และนับเป็นครั้งแรกที่อัตราการว่างงานกลับขึ้นมาสู่ระดับร้อยละ 6.0 นับจากเดือนมิถุนายน 1999 ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์ประมาณว่าจำนวนผู้ว่างงานอาจจะพุ่งสูงสุดถึงระดับ 2.7 ล้านคนในปี 2010

สำหรับดัชนีชี้วัดรายได้เฉลี่ยของแรงงานไม่รวมเงินโบนัส (GB average earnings index: AEI) ในรอบไตรมาสสิ้นสุดเดือนตุลาคมเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.6 จากปีที่แล้ว (ไม่เปลี่ยนแปลงจากไตรมาสก่อนหน้า) ขณะที่ดัชนีที่รวมรายได้จากโบนัสเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.3 จากปีที่แล้ว (ไม่เปลี่ยนแปลงจากไตรมาสก่อนหน้า)

อัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยน

อัตราดอกเบี้ย : Bank of England ลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกร้อยอีกร้อยละ 1.0 เหลือร้อยยะ 2.0 ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์นับจากปี 1955

เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม คณะกรรมการนโยบายการเงิน (MPC) ของธนาคารกลางอังกฤษ มีมติเอกฉันท์ 9:0 ให้ลดอัตราดอกเบี้ย Bank rate ลงอีกร้อยละ 1.0 เหลือร้อยละ 2.0 ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับที่ต่ำที่สุดนับจากปี 1955 โดยคณะกรรมการได้ให้เหตุผลของการลดอัตราดอกเบี้ยลงแรงในครั้งนี้ว่ายังคงมาจาก 3 ปัจจัย ได้แก่ วิกฤตการเงินโลกที่กำลังส่งผลต่อเศรษฐกิจหลังจากสถาบันการเงินเริ่มมีความเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ ความต้องการภายในประเทศในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ และไตรมาสแรกของปีหน้าหยุดชะงัด เนื่องจากเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย เช่นเดียวกับหลายประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และระดับราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับลดลงค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งทั้ง 3 ปัจจัยจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อในระยะปานกลางมีความเป็นไปได้สสูงที่จะลดลงตต่ำกว่าเป้าหมายร้อยละ 2.0 หากไม่มีมมาตรการอื่นออกมารองรับโดยเฉพาะมาตรการเพื่อกระตตุ้นให้สถาบันการเงินเริ่มปล่อยสินเชื่ออีกครั้งหนึ่งเนื่องจากเป็นปัญหาที่น่าห่วงและอาจจะทำให้เศรษฐกิจถดถอยลึกลงไปอีกได้ ซึ่งนโยบายอัตราดอกเบี้ยไม่ใช่แนวทางแก้ปัญหาที่ถูกต้อง นอกจากนี้คณะกรรมการยังได้มีการพิจารณาว่าควรมีการลดอัตราดอกเบี้ยลงมากแค่ไหน อย่างไรก็ดีเสียงส่วนใหญ่เห็นควรปรับลดลงร้อยละ 1.0 โดยการประชุมครั้งต่อไปจะมีขึ้นในวันที่ 8 มกราคม 2009

ในเดือนพฤศจิกายนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยชนิดลอยตัว (flexible rate) อยู่ที่ระดับร้อยละ 6.39 ลดลงถึง 52 basis points จากเดือนตุลาคมมตามการลดลลงของ Bankk rate ของธนาคารกลางอังกฤษ เป็นนที่น่าสังเกตตว่าในเดือนนนี้อัตราดอกกเบี้ยเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยชชนิดที่อิงอัตราดอกเบี้ยยพื้นฐาน (basse rate trackker morrtgage) เริ่มลลดลงหลังจากกที่พุ่งขึ้นแตะระดับร้อยละ 7.04 เมื่ออเดือนที่แล้วโโดยลดลงมาแหลือร้อยละ 5.84 หรืออลดลงถึง 120 basis points หลังจากที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ออกมากดดดันให้สถาบันนการเงินส่งผ่านการลดอัตราดอกเบี้ย bbank rate ใหห้กับลูกค้าโดยเฉพาะสถาบันการเงินที่ได้รับความช่วยเหลือเพิ่มทุนจากกรัฐบาล ซึ่งกการที่สถาบันการเงินยังลังงเลที่จะลดอัตตราดอกกเบี้ยลงก็เนื่อองจากความเสสี่ยงจากการปปล่อยสินเชื่ออยังคงมีสูง ประกอบกับต้นนทุนเงินทุนขของธนาคารไม่ใช่ baank rate แต่แป็นอัตราเงินนกู้ยืมระหว่างงธนาคาร (interbank rate)

สำหรับโครงสร้างอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย (average yield curve)) ประจำเดือนธันวาคมมีการปรับตัวลงต่ำกว่าเดือนก่อนหน้าในทุกอายุต่อเนื่องจากเดือนที่แล้ว โดยอัตราผลตอบบแทนระยะสั้นอายุต่ำกกว่า 1 ปีมีการรปรับลดลงระหว่าง 77-100 basis pooints ขณะที่ออัตราผลตอบแทนระยะยาวอายุ 5 ถึง 20 ปีมีการปรับลดลงระหว่าง 51-64 basis points สอดคล้องกับทิศทางการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Bank of England ที่ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมามีการปรับลดอัตราดอกเบบี้ยลงถึงร้อยละ 3.0

อัตราแลกเปลี่ยน : ยังคงอ่อนค่าลงกับเงินทุกสกุลเป็นเดือนที่ห้า

เงินปอนด์เมื่อแทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ.ในเดือนนี้อ่อนค่าลงต่อเนื่องหลังจากที่ในเดือนนที่ผ่านมาเงินปอนด์อ่อนค่าลงรุนแรงที่สุด โดยในช่วงครึ่งแรกของเดือนเงินปอนด์กระเตื้องขึ้นจากเดือนก่อนหน้าเนื่องจากได้รับผลดีจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเป้าหมายลงจากร้อยละ 1.0 เหลือเพียงระหว่างร้อยละ 0 - 0.25 (quantitative target) ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้ง หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีการประกาศตัวเลขอัตราเงินเฟ้อประจำเดือนพฤศจิกายนของสหรัฐฯ พบว่าชะลอลงเหลลือเพียงร้อยละ 1.1 เท่านั้น นอกจากนนี้ ตัวเลขการก่อสร้างบ้านใหม่ในเดือนพฤศจิกายนก็ลดลงถึงร้อยละ 18.9 ล้วนเป็นแรงกดดันเงินดอลลาร์ สรอ.ให้อ่อนค่าลงกับเงินทุกสกุลโดยเงินปอนด์ขึ้นมาปิดสูงสุดของเดือนที่ระดับ 1.5426 $/ปอนด์ อย่างไรก็ดี เงินปอนด์เริ่มอ่อนค่าลงเมื่อดอลลาร์ สรอ.ได้รับแรงหนุนนับจากช่วงกลางเดือนเมื่อประธานาธิบดี George W. Bush ประกาศให้เงินกู้ฉุกเฉินวงเงิน 17.4 พันล้านดอลลาร์ สรอ.ให้กับ GM และ Chrysler ผู้ผลิตรถยนต์อันดับหนึ่งและอันดับสามของสหรัฐฯ แลกกับการที่ทั้งสองกิจการต้องนำเสนอแผนนปรับโครงสรร้างการผลิตภภายในสิ้นเดืออนมีนาคม 2009 หลังจากกที่ก่อนหน้านนี้วุฒิสภาของสหรัฐฯ โดยเฉพาะจากพรรค Republican ไม่ผ่านร่างกฎหมายเพื่อให้ความมช่วยเหลือธุรกิจยานยนตต์วงเงิน 24 พันล้านปอนด์ตามที่ทำเนียบขาวเสนอ การประกาศให้เงินกู้ฉุกเฉินดังกล่าวจึงส่งผลดีต่อเงินดอลลาร์ สรอ.เนื่องจากเป็นการบรรเทาปัญหาให้กับผู้ผลลิตรถยนต์รายใหญ่ของสหรัฐฯ เป็นการชั่วคราวหลังจากที่ผู้ผลิตทั้งสองรายต่างประสบปัญหาสภาพคล่องจากการที่ยอดขายตกต่ำ ประกอบกับการประกาศตัวเลขราคาที่อยู่อาศัยของอังกฤษเองพบว่าในปี 2008 ราคาที่อยู่อาศัยมีการปรับลดลงจากปีที่แล้วร้อยละ 8.7 ขณะเดียวกันก็มีการประเมินว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจจะทำให้มีผผู้ว่างงานเพิ่มขขึ้น 600,000 คนในปีหน้า ยิ่งกดดดันเงินปอนด์ให้อ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ.โดยเงินปอนด์ปิดตลาดวันสุดท้ายต่ำที่สุดของเดือนที่ระดับ 1.4427 $/ปอนด์ ส่งผลให้ค่าเฉลี่ยของเงินปอนด์ในเดือนนี้อ่อนค่าลงจากเดือนที่แล้วอีกร้อยละ 3.0 และอ่อนค่าลงถึงร้อยละ 26.3 ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา

เงินปอนด์เมื่อเทียบกับยูโรในเดือนนี้อ่อนค่าลงค่อนข้างแรงต่อเนื่องจากเดือนที่แล้วโดยเงินปอนด์มีระดับปิดตลาดวันแรกที่ระดับ 1.1780 ยูโร/ปอนด์ จากนั้นก็อ่อนค่าลงโดยตลอดทั้งเดือนและมีระดับปิดตลาดวันสุดท้ายของเดือนที่ระดับ 1.02 ยูโร/ปอนด์ ซึ่งเป็นระดับปิดที่ต่ำสุดของเดือน เนื่องจากเงินปอนด์ยังคงได้รับแรงกดดันจากปัจจัยเศรษฐกิจภายในประเทศที่อ่อนแอลงโดยลำดับ ขณะที่เงินยูโรกลับได้รับผลดีจากสถานการณ์ในตะวันออกกลางในฐานะที่เป็นน safe haven โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับดอลลาร์ สรอ. ที่ยังคงได้รับแรงกดดันหลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลงต่ำเป็นประวัติการณ์เหลือเพียงร้อยละ 0 - 0.25 โดยเงินปอนด์ปิดตลาดวันสุดท้ายของเดือนที่ระดับ 1.02 ยูโร/ปอนด์ ส่งผลให้ค่าเฉลี่ยของเงินปอนด์ในเดือนนี้อ่อนค่าลงถึงร้อยละ 8.0 และอ่อนค่าลงร้อยละ 20.1 ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านนมา

เมื่อเทียบกับเงินบาทแล้ว เงินปอนด์ในเดือนนนี้ยังคงอ่อนค่ากับเงินบาทต่อเนื่องเป็นเดือนที่ห้าโดยเงินปอนด์มีระดับปิดตลาดวันแรกของเดือนที่ระดับ 53.0197 Baht/ปอนด์ จากนนั้นเงินปอนด์ก็มีทิศทางที่อ่อนค่าลงโดยตลอดแม้จะมีการกระเตื้องขึ้นในช่วงสั้น้น ๆ ตอนกลางเดือน โดยยปิดตลาดวันสุดท้ายของเดือนต่ำที่สุดที่ระดับ 50.1483 Baht/ปอนด์ ทั้งนี้ ทิศทางการอ่อนค่าลงของเงินปอนด์เมื่อเทียบกับเงินบาทเป็นไปในลักษณะเดียวกับการอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ สรอ. เนื่องจากในรอบเดือนนี้เงินบาทมีการเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างมีเสถียรภาพเมื่อเทียบกับดอลลาร์ สรอ. โดยค่าเฉลี่ยของเงินปอนด์ในเดือนนี้อ่อนค่าลงเป็นเดือนที่ห้าอีกร้อยละ 3.0 แต่เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้วเงินปอนด์อ่อนค่าอยู่ร้อยละ 14.7

ดุลงบประมาณ: เดือนพฤศจิกายนรัฐบาลขาดดุลมากถึง 16 พันล้านปอนด์

ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายนซึ่งเป็นเดือนที่แปดของปีงบปประมาณปัจจุบัน (2008/09) รัฐบาลมีดุลงบรายจ่ายประจำ (current budget) ขาดดุลจำนวน 13.05 พันล้านปอนด์ (เทียบกับที่ขาดดุล 8.1 พันล้านปอนด์ในเดือนพฤศจิกายนของปีที่แล้ว) และเมื่อรวมกับในเดือนนี้รัฐบาลมียอดลงทุนสุทธิจำนวน 2.9 พันล้านปอนด์ จึงทำให้ฐานะดุลงบประมาณโดยรวมในเดือนนี้มียอดขาดดุลสุทธิเป็นจำนวนทั้งสิ้น 16.0 พันล้านปอนด์ (เทียยบกับที่ขาดดดุล 10.6 พันล้านปอนด์เมื่อปีที่แล้ว) โดยในส่วนของรัฐบาลกลาง (central government account) สามารถจัดเก็บรายได้ในเดือนนี้จำนวน 35.1 พันล้านปอนด์ (ลดลงถึงร้อยละ 5.2 จากปีปีที่แล้ว) ขณะที่งบรายจ่ายประจำและงบลงทุนของรัฐบาลกลางมียอดดรวม 50.2 พันล้านปอนด์ (เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 5.7 จากปีที่แล้ว) ทำให้รัฐบาลกลางมีฐานะขาดดุลงบประมาณเป็นจำนวน 15.6 พันล้านปอนด์ (เทียบกับปีที่แล้วที่มีฐานะขาดดุลเพียง 11.0 พันล้านปอนด์)

ทั้งนี้ ในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ รัฐบาลมียอดขาดดุลงบประมาณสะสมเป็นนจำนวน 54.1 พันล้านปอนด์ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึงร้อยละ 40 หรือคิดเป็นการขาดดุลร้อยละ 73.5 ของประมาณการขาดดุลทั้งสิ้นในปปีงบประมาณปัจจุบันที่คาดว่าจะมีจำนวนทั้งสิ้น 77.6 พันล้านปอนด์ หรือเท่ากับร้อยละ 5.3 ของ GDP

Debt/GDP : เดือนพฤศจิกายนพุ่งสู่ระดับร้อยละ 44.2

ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน ยอดคงค้างหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 650.0 พันล้านปอนด์ หรือเท่ากับร้อยละ 44.2 ของ GDP (เทียบกับร้อยละ 43.6 ในเดือนที่แล้ว) เนื่องจากในเดือนนี้รัฐบาลจัดเก็บรายได้ลดลงถึงร้อยละ 5.2 ขณะที่รายจ่ายกลับเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 5.7 จึงทำให้มีการขาดดุลงบประมาณถึง 16.0 พันล้านปอนด์ในเดือนนี้และส่งผลต่อยอดหนี้สาธารณะปรับตัวสูงขึ้นดังกล่าว ซึ่งอัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ขณะนี้อยู่ในระดับที่สูงกว่าประมาณการที่กระทรวงการคลังแถลงไว้ใน Pre-Budget Report 2008 ที่คาดว่า ณ สิ้นปีงบประมาณ 2008/09 ว่าจะอยู่ที่ระดับ 602 พันล้านปอนด์ หรือเท่ากับร้อยละ 41.2 ของ GDP

ดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลการชำระเงิน

ดุลการค้าและบริการ: ตุลาคมอังกฤษขาดดุล 3.9 พันล้านปอนด์

เดือนตุลาคม อังกฤษมียอดส่งออกสินค้าและบริการรวม 34.6 พันล้านปอนด์ แต่มีการนำเข้ารวม 38.5 พันล้านปอนด์ ส่งผลให้มียอดขาดดุลการค้าและบริการรวม 3.9 พันล้านปอนด์ (ขาดดุลลดลงจากปีที่แล้วร้อยละ 6.2) แยกเป็นการขาดดุลการค้าสินค้าจำนวน 7.8 พันล้านปอนด์ แต่มมีการเกินดุลกการค้าบริการรจำนวน 3.9 พันล้านปอนด์ สำหรับฐานะดดุลการค้าและบริกการสะสมในช่วง 10 เดือนนแรกของปีพบบว่า Oct อังกฤษมียอดขาดดุลการค้าและบริการรวม 40.55 พันล้านปอนด์ (ขาดดุลแพิ่มขึ้นจากชช่วง เดียววกันของปีที่แล้วร้อยละ 3.4) แยกเป็น การขขาดดุลการคค้า 78.0 พันล้านปอนด์ แต่เกินดุลบริการ 37.5 พันล้านปอนด์

ทั้งนี้ ในเดือนนี้นีอังกฤษมียอดขาดดุลการค้าสินค้ากับประเทศในกลุ่ม EU (27 ประเทศ) จำนวน 3.4 พันล้านปอนด์ ขาดดุลใกล้เคียงกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะที่มีการขาดดุลกับประเทศนอกกลุ่ม EU จำนวน 4.4 พันล้านปอนด์ ลดลงเล็กน้อยร้อยละ 2.6 จากเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว

สำหรับการค้ากับประเทศไทยในเดือนตุลาคม อังกฤษมียอดส่งออกสินค้าไปยังประเทศไทยจำนวน 71 ล้านปอนด์ แต่มีการนำเข้าจำนวน 217 ล้านปอนด์ ทำให้ขาดดุลการค้ากับประเทศไทยจำนวน 146 ล้านปอนด์ ขาดดุลเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 14.1 ทำให้ในช่วง 10 เดือนแรกของปีอังกฤษมียอดขาดดุลการค้าสะสมกับประเทศไทยรวม 1,336 ล้านปอนด์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.6 จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว หรือเฉลี่ยแล้วอังกฤษขาดดุลการค้ากับประเทศไทยเดือนละ 133.6 ล้านปอนด์

ประเด็นข่าวสำคัญ ๆ ในรอบเดือนที่ผ่านมา
  • ผลสำรวจราคาที่อยู่อาศัยของ Halifax ประจำเดือนพฤศจิกายนพบว่าราคาเฉลี่ยของที่อยู่อาศัยทั่วประเทศลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 2.6 และลดลงร้อยละ 14.9 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว นับเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกันที่ราคาที่อยู่อาศัยลดลง และในเดือนนี้ถือเป็นเดือนที่มีอัตราการลดลงที่สูงที่สุด (4 ธันวาคม 2008)
  • CBI เรียกร้องรัฐบาลให้รีบปฏิรูประบบบำเหน็จบำนาญภาครัฐ (public sector pension) เพื่อลดรายจ่ายที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นและจะกลายเป็นภาระของผู้เสียภาษีที่จะต้องเสียภาษีมากขึ้นเพื่อสมทบให้กับระบบบำเหน็จบำนาญภาครัฐในอนาคต หลังจากที่ก่อนหน้านี้ภาคเอกชนได้มีการปรับปรุงระบบบำเหน็จบำนาญของตนไปแล้ว (15 ธันวาคม 2008)
  • ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษให้ความเห็นว่าอัตราเงินเฟ้อของอังกฤษอาจลดลงต่ำกว่าร้อยละ 1.0 ในปี 2009 (16 ธันวาคม 2008)
  • Office for National Statistics ทบทวนอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP growth) ประจำไตรมาส 3 ใหม่ว่าเศรษฐกิจหดตัวจากไตรมาสที่ 2 ร้อยละ 0.6 จากเดิมที่ประกาศว่าหดตัวลงร้อยละ 0.5 (23 ธันวาคม 2008)

ที่มา : Macroeconomic Analysis Group : Fiscal Policy Office

Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ