- ขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐฯ
- เปรียบเทียบ GDP ญี่ปุ่นกับประเทศไทย: 4,368 Bil.$ : 206 Bil.$ (จากข้อมูลธนาคารโลกปี 49)
- เปรียบเทียบ GNI Per Capita Income ญี่ปุ่นกับประเทศไทย: 32,840$ : 7,440$ สูงกว่าไทยมาก
- ทุนสำรองระหว่างประเทศเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากจีน ณ ต.ค.51 จำนวน 977.7 Bil. $:
- ภาคการเงินไม่ได้รับผลกระทบจาก Subprime โดยตรง
- ปัจจุบันลงทุนภาค Manufacturing ในไทยมากที่สุด เทียบกับอาเซียนอื่นๆ 10 ประเทศ
- นักท่องเที่ยวเดินทางไปไทยเป็นอันดับ 6 ของโลก เป็นนักเที่ยวที่มีคุณภาพมีกำลังซื้อสูง
- เป็นเจ้าของเทคโนโลยีขั้นสูง มีนวัตกรรมใหม่ๆ
- เป็นแหล่งองค์ความรู้ ให้ความสำคัญกับ R&D มากใช้งบประมาณมากในเรื่องนี้
- Real Sector กำลังได้รับผลกระทบจากการถดถอยของเศรษฐกิจโลกอย่างรุนแรง และฉับพลัน
- ค่าเงินเยนแข็งขึ้นมากที่สุดในรอบ 13 ปี ปัจจุบัน 1 ดอลล่าร์สหรัฐฯ เท่ากับ 87-89 เยน
- กำลังเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอย ในปี 51 ที่ผ่านมา Real GDP Growth ติดลบ 0.4 เป็นครั้งแรกนับจากปี 44 ดัชนีเศรษฐกิจทุกตัวเป็นลบ และทวีความรุนแรงขึ้น โดยไม่มีสัญญาณที่ดีขึ้น
- ปี 51 การส่งออกลดลงอย่างมาก การเกินดุลการค้าลดลงร้อยละ 65 ดุลการค้ารายเดือนเริ่มขาดดุลเป็นครั้งแรกในรอบ 26 ปี การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดจากที่เกินดุลมาตลอดเริ่มเกินดุลลดลงอย่างมาก อาจจะถึงขาดดุลได้ในอนาคต
- ฐานะการเงินของบริษัทกำลังอ่อนแอ รายได้จากการส่งออกของบริษัทลดลง ราคาหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ลดลงอย่างมาก ผลประกอบการขาดทุน เช่น Toyota SMEs ขาดสภาพคล่อง และล้มละลายเพิ่มมากขึ้น เดือนธ.ค. ที่ผ่านมา จำนวนบริษัทล้มละลายเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 24 เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ 33 บริษัท มากที่สุดใน 60 ปี
- การใช้จ่ายภาคครัวเรือน และการลงทุนใหม่ของบริษัทเอกชน ลดลงอย่างต่อเนื่องติดต่อกันมาหลายเดือน
- แนวโน้มการว่างงานกำลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
- NPLs ในสถาบันการเงินกำลังเพิ่มขึ้น เป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย
- สัดส่วนหนี้สาธารณะสูง ประมาณร้อยละ 170 ของ GDP เป็นหนี้จากการออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อกู้ภายในประเทศ เป็นผลจากการใช้งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจติดต่อกันมาหลายปี หลังฟองสบู่แตก (Lost in a Decade: ช่วงปี 33-42)
- ขาดดุลงบประมาณติดต่อกันมาหลายปี ประมาณร้อยละ 3.3 ของ GDP เกือบครึ่งหนึ่งใช้จ่ายในภาคที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ในปี 52 ร้อยละ 28 เป็นค่าใช้จ่ายประกันสังคม ร้อยละ 23 ชำระเงินต้นและดอกเบี้ยของหนี้สาธารณะ เป็นต้น
- เป็นสังคมคนแก่ มากกว่าร้อยละ 21 มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป ในขณะที่ประชากรวัยทำงานลดลง รัฐบาลต้องใช้เงินงบประมาณจำนวนมากดูแลสวัสดิการคนแก่
- มีทรัพยากรจำกัด พึ่งพาอาหารจากต่างประเทศ มากกว่าร้อยละ 60
- ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ช้า และอ่อนไหวต่อสถานการณ์ง่าย
- การเมืองไม่มีเสถียรภาพ Liberal Democratic Party: LDP ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลกุมเสียงข้างมากในสภาล่าง ในขณะที่ Democratic Party of Japan: DPJ พรรคฝ่ายค้านกุมเสียงข้างมากในสภาสูง ทำให้รัฐบาลผ่านกฎหมายแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจยาก และช้าไม่ทันการ
- ขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
- มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใช้ได้ผล
- แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยลดลงอีกจากร้อยละ 0.3 ปัจจุบัน
- อุตสาหกรรมของญี่ปุ่นที่ยังมีอนาคต และสามารถไปลงทุนในต่างประเทศ (จากข้อมูล JBIC) ได้แก่ อุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องกับอาหาร เพื่อส่งมาญี่ปุ่น อุตสาหกรรมเหล็ก เนื่องจาก Demand การก่อสร้าง Infrastructure ยังคงเพิ่มขึ้นอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน การใช้เทคโนโลยี่เพื่อประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม
- สถาบันการเงินมีปัญหามากขึ้น ขาดสภาพคล่อง ต้องใช้เงินทุนรัฐเข้าแทรกแซง
- ผลประกอบการภาคเอกชนแย่ลงต่อไป ลดการขยายลงทุนในต่างประเทศรวมประเทศไทย จากเศรษฐกิจถดถอยต่อเนื่อง
- สังคมคนสูงอายุ แรงงาน/ผลผลิตด้านต่างๆ ลดลง
- ฐานะการคลังแย่ลงเรื่อยๆ ดุลบัญชีเดินสะพัดอาจขาดดุล และเกิด Twin Deficit
- การเติบโตของจีน ทำให้สูญเสียความเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจในภูมิภาค
- ภาค Manufacturing ปี 51 ไทยน่าลงทุนเป็นอันดับ 5 ในเอเซียรองจาก จีน อินเดีย เวียตนามและรัสเซีย (ลดจากอันดับ 4 ในปี 50) แต่เมื่อรวมภาค Services ไทยเคยอยู่อันดับ 8 ของโลกในปี 49 แต่ปัจจุบันไม่ติดอันดับใน 10 (ข้อมูล JBIC)
- ใช้งบประมาณพิเศษ และเงินงบประมาณโครงการของรัฐ จัดสรรแก่หน่วยงานของรัฐ/รัฐบาลท้องถิ่น/สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ จำนวน 4.78 ล้านล้านเยน กระตุ้นเศรษฐกิจ ดังนี้
1) ช่วยเหลือภาคครัวเรือน แจกเงินประชาชนคนละ 12,000 เยน ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไปหรือเด็กอายุต่ำกว่า18 ปี จะได้รับ 20,000 เยน ครอบครัวที่มีบุตรคนที่ 2 ขึ้นไประหว่างอายุ 3-5 ขวบได้รับเงินช่วยเหลือ 36,000 เยน เป็นเวลา 3 ปี โดยเขตจะส่งหนังสือวิธีการรับเงินให้ตามที่อยู่ที่ระบุ ณ 1 ก.พ.52 มีวงเงินงบประมาณ 2 ล้านล้านเยน
2) สนับสนุนความปลอดภัยในชีวิตประจำวัน วงเงินงบประมาณ 517.7 พันล้านเยน เช่นหญิงมีครรภ์สามารถรับบริการตรวจร่างกายฟรี 14 อย่างจนถึงสิ้นปีงบประมาณ 53 ในวงเงิน 245 พันล้านเยน เป็นต้น
3) ให้ความช่วยเหลือ SMEs วงเงินงบประมาณ 504.8 พันล้านเยน เช่นอุดหนุน SMEs แห่งละ 1 ล้านเยน ให้จ้างพนักงาน Part Time อายุ 25-39 ปี ทำงานเป็นเวลา 6 เดือน และจัดสรรเงินเพื่อค้ำประกันสินเชื่อของ SMEs จำนวน 30 ล้านล้านเยน และลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลลงเหลือร้อยละ 18 เป็นระยะเวลา 2 ปี
4)เสริมสร้างความแข็งแกร่งในการเติบโตของเศรษฐกิจ วงเงินงบประมาณจำนวน 32.1 พันล้านเยน
5) พัฒนาโครงการในท้องถิ่น วงเงินงบประมาณจำนวน 754.6 พันล้านเยน เช่นลดค่าทางด่วนในวัน เสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดราชการ และลดค่าบริการร้อยละ 30 ในวันธรรมดา อุดหนุนเงินแก่เทศบาลต่างๆ ดำเนินโครงการต่างๆ
6) ป้องกันภัยธรรมชาติและการลงทุนในที่อยู่อ่าศัย วงเงินงบประมาณจำนวน 239.3 พันล้านเยน เช่น ลดจากภาษี รายได้และภาษีที่อยู่อาศัย โดยเพิ่มเพดานการลดภาษีสูงสุดถึง 6 ล้านเยน และขยายเวลา/ขยายฐานการลดภาษี สำหรับผู้กู้เงินเพื่อที่อยู่อาศัย ที่หมดอายุลงในปีที่ผ่านมา
7) ช่วยเหลือรัฐบาลท้องถิ่น มีวงเงินงบประมาณจำนวน 600 พันล้านเยน
8) สนับสนุนการว่าจ้างงาน มีวงเงินงบปะมาณจำนวน 160 พันล้านเยน เช่นลดเงินเบี้ยประกันการว่างงาน และจัดตั้งกองทุนสร้างงานเพื่อสนับสนุนการจ้างงานในต่างจังหวัด
- BOJ เข้าซื้อหุ้นกู้ของบริษัทเอกชนที่ใช้เป็นหลักประกันการกู้เงินจากสถาบันการเงิน เพื่อเพิ่มสภาพคล่องแก่สถาบันการเงินในการปล่อยกู้แก่เอกชนเพิ่มขึ้น
- 24 ม.ค.52 ประกาศอัดฉีดเงินทุนแก่บริษัทเอกชนที่ประสบปัญหาทางการเงิน โดยบริษัทที่ขอรับความช่วยเหลือจากรัฐบาลต้องเสนอแผนฟื้นฟูกิจการ 3 ปีก่อน ใช้ตั้งแต่ 30 ม.ค.52 เป็นต้นไป ดังนี้
- ให้ Development Bank of Japan สถาบันเฉพาะกิจของรัฐเข้าซื้อหุ้นบริษัทเอกชน ที่ประสบปัญหาทางการเงินจำนวน 1.5 ล้านล้านเยน
- ให้ Japan Finance Corporation สถาบันเฉพาะกิจของรัฐปล่อยกู้แก่บริษัทรายใหญ่จำนวน 3 ล้านล้านเยนและ SMEs จำนวน 10 ล้านล้านเยน และค้ำประกันสินเชื่อจำนวน 20 ล้านล้านเยน
โดย สำนักงานที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจการคลัง ประจำกรุงโตเกียว
ที่มา : Macroeconomic Analysis Group : Fiscal Policy Office
Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th