บทเรียนว่าด้วยปัญหาของบรรยากาศการลงทุนสู่ปัญหาของธุรกิจเงินร่วมลงทุนในประเทศไทย
“Small business are the job engine of America, and I’ll make it easies for them to grow”
John McCain พรรค Republican ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาได้ชี้ให้เห็นถึงบทบาทและความสำคัญของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ที่มีส่วนสร้างเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้นรัฐบาลจำเป็นต้องสนับสนุนและส่งเสริม SMES เพื่อให้เป็นกลไกที่สำคัญของประเทศที่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ในกรณีของประเทศไทยในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2543-พ.ศ. 2549) พบว่า บทบาทและความสำคัญของ SMEs ไทยได้ ก่อให้เกิดการจ้างงานทั้งสิ้นกว่า 16,000 คน ในปี 2549 และก่อให้เกิดรายได้รวมมากกว่า 1.6 ล้านบาทจากจำนวนวิสาหกิจที่กองทุนรวมเข้าร่วมลงทุนจำนวน 78 ราย วงเงิน 797.57 ล้านบาท ของ 3 กลุ่มอุตสาหกรรมหลัก ประกอบด้วย ภาคอุตสาหกรรมการผลิต ภาคอุตสาหกรรมการบริการ และภาคอุตสาหกรรมการค้าอย่างไรก็ตาม บรรยากาศการลงทุนของไทยได้ลดต่ำลงเนื่องจากผู้ประกอบการต้องประสบกับปัญหาและอุปสรรคในด้านต่างๆในการสร้างธุรกิจให้เป็นของตัวเอง ต้องเริ่มประสบกับปัญหาการขาดแคลนเงินทุนตั้งแต่ต้นสำหรับบางราย ดังคำว่า “ I want to start a company, but I don’t have the money ” นอกจากปัญหาดังกล่าวซึ่งเป็นส่วนหนึ่งแล้ว ผู้ประกอบการต้องประสบกับปัญหาในด้านอื่นๆ อีกโดยในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการของขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ของไทยยังได้ประสบปัญหาสะสม ในด้านต่างๆ โดยจากผลการวิจัยของกรมส่งเสริมอุสาหกรรมชี้ให้เห็นถึงปัญหาของ SMEs ไทย เช่น การขาดแคลนเงินทุน ปัญหาแรงงาน โดยมีการใช้แรงงานที่มีการศึกษาอยู่ในระดับต่ำ
การพัฒนาที่ไม่ต่อเนื่อง ปัญหาด้านการตลาด ข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีการผลิต ปัญหาด้านบริหารและการจัดการซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาของธนาคารโลกที่ชี้ว่า ถึงแม้ว่า SMES จะได้เปรียบธุรกิจขนาดใหญ่ในด้านความคล่องตัวและความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน แต่ปัญหาของ SMEs ในการดำเนินงาน ก็มีปรากฏให้เห็นเช่นกันอาทิ ข้อจำกัดด้านการเงิน ข้อจำกัดเรื่องช่องทางการจำหน่ายที่ไม่สามารถกระจายสินค้าได้
จากสภาพของปัญหาและข้อจำกัดข้างต้น สามารถสรุปเป็นหลักการใหญ่ได้ 3 ด้าน คือปัญหาการขาดแคลนเงินทุน ปัญหาช่องทางด้านการตลาด และปัญหาการบริหารจัดการปัญหาเหล่านี้มีผลกระทบต่อด้านบรรยากาศการลงทุนทำให้บรรยากาศการลงทุนต่ำลง ดังนั้นการที่จะเอาชนะปัญหาเหล่านี้ได้ รัฐบาลจึงได้ดำเนินการให้การสนับสนุนและส่งเสริม SMEs ด้วยการจัดตั้ง “ กองทุนรวมเพื่อร่วมลงทุนในวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม” หรือ กองทุน SME vc ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2542 ต่อมา คณะรัฐมนตรีได้มีมติ เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2546 อนุมัติจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุนเพื่อยกระดับความสามารถการแข่งขันของธุรกิจไทย
กรอบวงเงินร่วมลงทุน 5,000 ล้านบาท โดยให้กองทุน SMEs เป็นแหล่งเงินทุนระยะยาวของธุรกิจ SMEs ผ่านการลงทุนที่ดำเนินการโดยกลไกของภาครัฐบาลและของภาคเอกชน ด้วยรูปแบบของธุรกิจเงินร่วมลงทุน(Venture capital ;VC) ในลักษณะของกองทุนรวมร่วมทุนในธุรกิจ SMES ที่มีแนวโน้มการเติบโตในอนาคต ซึ่งเป็นทางเลือกหนึ่งของเครื่องมือ/มาตรการ ทางการเงินในการให้เป็นแหล่งลงทุน นอกเหลือจากรูปแบบของระบบสินเชื่อที่ผู้ประกอบการคุ้นเคย และกู้เงิน ที่มีสัดส่วนเป็นจำนวนมากกว่าร้อยละ 90 อยู่แล้ว ทั้งนี้ VC ทำหน้าที่เสมือนหนึ่งเป็นหัวรถจักรในการฉุด SME ไปสู่เป้าหมายตลาดหลักทรัพย์ใหม่ (Market for alternative investment ; MAI)ซึ่งเป็นการมอง VC ในฐานะเป็นอุตสาหกรรมไม่ใช่ในฐานะนโยบายที่เป็นแต่เพียงเครื่องมือเฉพาะนโยบายการเงินเท่านั้น และสามารถทำหน้าที่แก้ไขปัญหาของSME ได้อย่างครบถ้วน ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องมือที่มีความเหมาะสมโดยบทบาทของ VC เริ่มจากการเป็นแหล่งเงินทุนระยะยาวให้แก่กิจการขนาดกลางและขนาดย่อมในลักษณะร่วมลงทุน เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถนำทุนไปขยายกิจการ หรือเพิ่มสภาพคล่องให้กับบริษัทของตน ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนเงินทุน ต่อมา VC ช่วยเหลือในด้านการบริหารงานและเทคนิคในการปฏิบัติงานเช่น การจัดหาผู้เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาที่เกี่ยวกับการผลิต การเงิน การบัญชี การจัดการและจัดหาพันธมิตรให้กับกิจการ รวมทั้งการเตรียมความพร้อมของกิจการ เพื่อเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ใหม่
สำหรับผลตอบแทน VC จะให้ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนประเภทอื่นๆ โดยจากการศึกษาผลตอบแทนของสหรัฐอเมริการะหว่างปี พ.ศ.2468-2541 พบว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นทุนของบริษัทขนาดใหญ่ให้ผลตอบแทนเป็น 4 เท่าตัว แทนการลงทุนในพันธบัตร และผลตอบแทนสามารถปรับสูงขึ้นได้อีก หากผู้ลงทุนเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นทุนของบริษัทขนาดเล็กให้มากขึ้น
จากตารางข้างต้นเป็นการเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนของการลงทุน ในสินทรัพย์แต่ละประเภท ที่หักด้วยอัตราเงินเฟ้อ เพื่อแสดงให้เห็นถึงอัตราผลตอบแทนที่แท้จริงของสินทรัพย์แต่ละประเภท
จากข้อมูลสรุปได้ว่า การลงทุนในตราสารทางการเงินระยะสั้นของธนาคารให้ผลตอบแทนต่ำมากหลังหักภาษีแล้ว ในทำนองเดียวกับการลงทุนในส่วนของตั๋วเงินคลัง พบว่า การลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนี้แทบจะไม่สร้างผลตอบแทนเมื่อหักภาษีแล้ว
อย่างไรก็ตามการลงทุนในหุ้นทุน ผ่านเครื่องมือทางการเงินถึงแม้ว่าให้ผลตอบแทนสูงแต่ถือว่าเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยง ซึ่งสามารถแสดงให้เห็นได้ จากรูปภาพแผนภูมิที่ 1 ดังนี้
จากแผนภูมิชี้ให้เห็นว่า ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation) ของผลตอบแทนของตราสารหนี้เช่น ตั๋วเงินคลัง และพันธบัตร มีความแปรปรวนน้อย ซึ่งหมายความว่ามีความเสี่ยงต่ำ และในขณะเดียวกันก็ให้ผลตอบแทนต่ำด้วยเชน่ เดียวกัน ในขณะที่หุ้นทุนจะให้ผลตอบแทนสูงกว่า แตมี่ความแปรปรวนค่อนข้างมากซึ่งเป็นความเสี่ยงมาก ทั้งนี้เป็นการสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ว่า “หลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง ก็ต้องให้อัตราผลตอบแทนสูง เพื่อเป็นการชดเชยความเสี่ยงในการดึงดูดนักลงทุนให้ถือครอง”
อย่างไรก็ตามในกรณีบทบาท VC ของประเทศไทยพบว่า ยังมีบทบาทค่อนข้างน้อย เมื่อเปรียบเทียบมูลค่าเงินลงทุนภายใต้การบริหารของธุรกิจร่วมลงทุนต่อจีดีพีของประเทศไทยกับหลายประเทศในเอเชียระหว่างปี 1998 — 2003 แล้วพบว่า แม้ว่าสัดส่วนเงินทุนของธุรกิจเงินทุนร่วมทุนของไทย เริ่มมีแนวโน้มค่อยๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามลำดับ จากร้อยละ 0.15 ของจีดีพี ในปี 1998 มาสู่ร้อยละ 0.45 ของจีดีพี ในปี 2003 แต่มูลค่า เงินลงทุนของไทยดังกล่าวยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าประเทศอื่นๆในเอเชีย ( ยกเว้นประเทศอินโดนีเซีย ) โดยประเทศที่มีสัดส่วนเงินทุนของธุรกิจร่วมลงทุนต่อจีดีพีมากที่สุด ได้แก่ ฮ่องกง สิงคโปร์และเกาหลีซึ่งมีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 17.06 ร้อยละ 11.74 และร้อยละ 1.51 ในปี 2003 ตามลำดับ สัดส่วนเงินทุนภายใต้การบริหารของธุรกิจเงินร่วมลงทุนต่อจีดีพีของประเทศต่างๆในเอเชียระหว่างปี 1998 — 2003
แนวคิดพื้นฐาน ของธุรกิจเงินร่วมลงทุน หรือ กองทุนร่วมเสี่ยง (Venture capital ;VC) ในมุมมองของนักวิชาการไทยเห็นว่า “ธุรกิจเงินทุนร่วมลงทุนมีแนวคิดพื้นฐานสำคัญ 3 ประการ คือ 1) ความเชื่อ (belief ) 2) ความเสี่ยง ( risk ) 3) ข้อตกลง ( agreement )” โดยความเชื่อ ตั้งอยู่บนฐานคิดที่เชื่อว่า “ ธุรกิจมีความเป็นไปได้ที่จะประสบผลสำเร็จ หรือสร้างผลตอบแทนคุ้มค่าเงินที่ได้ลงทุนไปในธุรกิจ” ขณะที่ความเสี่ยงเชื่อว่า“ มีความเป็นไปได้ที่ธุรกิจจะไม่ประสบผลสำเร็จ” หรือ “ไม่สามารถนำต้นเงินมาคืนได้ ” สำหรับข้อตกลงมีความเชื่อว่า “ การมีข้อตกลงเป็นการว่าด้วยคุณค่า/พันธะของการดำเนินการต่างตอบแทนซึ่งกันและกันที่มีลักษณะเป็นการควบคุมความเสี่ยง” โดยแนวคิดพื้นฐานดังกล่าว เป็นไปตามลักษณะของการใช้แนวทาง “ ซื้อหุ้น ถอนทุน ”โดยการจัดตั้งกองทุนรวม SME VC ใช้หลักการดำเนินงานของ VC ด้วยการนำเงินไปร่วมลงทุนหรือชื้อหุ้นในธุรกิจ SMEs ที่มีแนวโน้มการเติบโตดีในอนาคต เมื่อกิจการนั้นเติบโต แข็งแกร่ง มีศักยภาพในการดำเนินกิจการกองทุนรวมจะถอนตัวออกไป (Exit / divestment) แนวคิดนี้เกิดขึ้นเพื่อที่จะส่งเสริมและสนับสนุนธุรกิจอุตสาหกรรมที่กำลังประสบปัญหาด้านสภาพคล่องหรือขาดแคลนเงินทุนในการดำเนินกิจการโดยมุ่งให้ธุรกิจหรือกิจการที่เข้าร่วมลงทุนมีเงินทุนเพียงพอที่จะขยายกิจการหรือเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้
ดังนั้น การที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้ เกิดจากองค์ประกอบ 2 ส่วนคือ ส่วนที่ หนึ่ง เป็นเครื่องมือทางการเงินได้แก่ VC ส่วนที่สอง เป็นตัวผู้ประกอบการ SMEs โดยในส่วนที่หนึ่ง ( VC) ทำหน้าที่ในฐานะหัวรถจักรที่จะฉุด SMEs (ในฐานะที่เป็นโบกี้) ไปยังตลาดทุนหรือช่วงก่อนที่จะเข้าสู่ตลาดทุน โดย VC คัดเลือกเฉพาะ SMEs ที่มีศักยภาพเท่านั้น นั่นแสดงถึงนัยที่ว่า VC ไม่เหมาะกับ SMES ทุกตัว แต่เหมาะสมเฉพาะบางตัวเท่านั้นทั้งนี้ VC มีหลักการในการพิจารณาร่วมทุน9โดยการคัดเลือกบริษัทที่มีคุณสมบัติในโครงการต่างๆ 2 ประการคือ
1. พิจารณาจากความเสี่ยงของผู้บริหาร (Manage risk) โดยดูถึงแนวคิด วิสัยทัศน์ และความสามารถในการบริหารงานของผู้นำองค์กรและคณะผู้บริหาร ที่จะผลักดันให้ผลการดำเนินงานของบริษัทบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ได้สำเร็จรวมไปถึงความมีธรรมาภิบาลในการบริหาร
ในประเด็นนี้ Alex Gove รองประธาน Walden Venture capital อดีตบรรณาธิการของนิตยสาร Red herring กล่าวในบทความเดือน พฤษภาคม ปี 2000 หน้า 104 มองว่า “ Venture capital จะพิจารณาตัวบุคคลมากกว่าแนวคิดทางธุรกิจ (Business concept)” นอกจากนี้ยังให้ความเห็นว่า “หากผู้ประกอบการมีสายสัมพันธ์กับนักธุรกิจที่มีชื่อเสียง หรือในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องอยู่ก่อน จะทำให้การพิจารณาในการร่วมทุนสามารถทำได้ง่ายมากขึ้น”สอดคล้องกับแนวคิดของ John Doerr แห่งบริษัท Kleiner Perkins Caufield & Byers (ผู้ซึ่งร่วมลงทุนกับบริษัท ชั้นนำของโลก อาทิ Sun Micro system, Amazon.com Compaq, AOL; Amercia online ก่อนควบรวมกับ Time Warner) มองว่า “ Venture capital ส่วนใหญ่จะชอบลงทุนกับบุคคลที่รู้จักและได้รับการยอมรับจากสังคม”เช่นเดียวกับแนวคิดของ Les Vadasz, President of Intel capital มองว่า “ We think this technology is important and we think this management team may be able to do something interesting”
2. พิจารณาจากความเสี่ยงของโครงการ (Project risk) อาทิ 1) อุตสาหกรรม กองทุนรวมจะพิจารณาลงทุนในกิจการที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเจริญรุ่งเรืองในอนาคตข้างหน้า ธุรกิจที่มีการพัฒนาด้านนวัตกรรมที่ว่าด้วย การแข่งขันด้วยเทคโนโลยีมากกว่าธุรกิจที่พึ่งพิง จุดแข็งด้านแรงงานสมัยเดิม เชิงยุทธศาสตร์ของชาติและนโยบายของรัฐบาล 2) ศักยภาพของบริษัทที่มีการเติบโตในอนาคต (Future growth) กองทุนรวมจะเลือกลงทุนบริษัทที่อยู่ในฐานะผู้นำอันดับต้นๆ ประมาณ 1-3 อันดับแรกในตลาด และบริษัทต้องมีแนวโน้มผลการดำเนินงานที่ดีในอนาคต10 3) ประสิทธิภาพ กองทุนรวมพิจารณาในการเลือกลงทุนบริษัทที่สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตด้วยการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้สอดคล้องกับภาวการณ์ต่างๆได้อย่างรวดเร็ว เพื่อรักษาระดับรายได้และควบคุมต้นทุนไว้เพื่อให้คงรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันและอัตราการเติบโตของผลการดำเนินงานไว้ได้อย่างต่อเนื่อง
กระบวนการต่อไป กองทุนรวมจะทำการตรวจสอบวิเคราะห์สถานะ (due diligence)ซึ่งเป็นการตรวจสอบและประเมินทรัพย์สินตลอดจนหนี้สินของบริษัทว่า มีมูลค่าถูกต้องตามบัญชีและมีอยู่จริง
เนื่องจากปี 2550 บรรยากาศการลงทุนภาคเอกชนลดต่ำลง ทำให้ผู้ประกอบการต้องประสพความยากลำบากมากขึ้นในหลายๆด้าน โดยเฉพาะการเข้าถึงแหล่งเงินทุนมีความยุ่งยาก เนื่องจากธนาคารเรียกหลักทรัพย์ค้ำประกันจากผู้ประกอบการสูงขึ้นและแรงงานที่มีทักษะขาดแคลนมากขึ้น ขณะที่การผลิตมีแนวโน้มความต้องการแรงงานปัจจุบันของอุตสาหกรรม หันมาให้ความสนใจในการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีเป็นหลักสูงขึ้นซึ่งส่งผลต่อการผลิตในทุกภูมิภาค ทั้งที่เป็นกิจการที่มีการส่งออก (ร้อยละ48.8) และไม่ใช่ส่งออก( ร้อยละ51.2) ทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถวางแผนงานในการดำเนินธุรกิจได้ ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงและเกิดต้นทุนทางอ้อมในการทำธุรกิจในประเทศสูงขึ้นร้อยละ 3 ของยอดขาย
จากกรณีที่ SMEs ต้องประสบกับอุปสรรคดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ประกอบการหันมาใช้ทุนของตนเองกับ VC มากขึ้น ดังนั้น ในประเด็นนี้ถือว่า VC ได้เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ขยับจากฐานะการเป็นแต่เพียงตัวเลือกทางหนึ่งซึ่งเป็นการเพิ่มสัดส่วนของ VC ที่มีอยู่ต่ำกว่าปริมาณสัดส่วนของสินเชื่อในปัจจุบันให้เพิ่มสูงขึ้นซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวของ VC ที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้เกิดความสอดคล้องกับทิศทางของแผนแม่บทตลาดทุนที่ว่าด้วยการเพิ่มสัดส่วนของ VC และลดสัดส่วนของสินเชื่อลง
แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากธุรกิจเงินทุนร่วมทุนหรือธุรกิจร่วมเสี่ยง (Venture capital ;VC) นี้ ไม่เหมาะสมกับทุก SMESในการทำหน้าที่เป็นธุรกิจเงินทุนร่วมทุนอุตสาหกรรมในการฉุด SMEs ไปสู่เป้าหมาย แต่จะทำหน้าที่เฉพาะกับ SMEs ที่มีศักยภาพเท่านั้นโดยในกรณีของ บลจ.วรรณ จำกัด ได้จัดทำแผนการลงทุนของกองทุนรวมไว้เป็น 2 แนวทาง คือ แนวทางแรก เป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่มีศักยภาพเชิงพาณิชย์สูงและอยู่ระหว่างการเตรียมตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ( Pre — IPO) โดยทำให้กองทุนรวมสามารถถอนตัวจากการลงทุนได้ภายในระยะเวลา 1-3 ปี แนวทางที่สอง เป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่มีศักยภาพเชิงพาณิชย์สูงและมีนวัตกรรมในตัวสินค้าหรือบริการซึ่งเกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศอย่างแท้จริง โดยกองทุนรวมจะต้องสามารถถอนตัวได้ภายในระยะเวลา 1-3 ปี
ผลของการดำเนินงานของกองทุนรวมฯ ตลอดระยะเวลา 8 ปี ( พ.ศ. 2543-2550) ที่ผ่านมาโดยกองทุนรวมฯ เข้าร่วมทุนในการพัฒนา SMEs และต้องคำนึงถึงการถอนตัว (Exit/divestment) จากการร่วมลงทุนในเวลาที่เหมาะสมด้วย ทำให้กองทุนรวมฯ ต้องบริหารความสมดุลระหว่างการพัฒนาวิสาหกิจกับการลด Financial riskและ Financial cost พบว่า กองทุนรวมฯ ได้เข้าร่วมลงทุนกับวิสาหกิจจำนวนทั้งสิ้น 80 ราย เป็นเงินประมาณ 838 ล้านบาท โดยเป็นจำนวนเงินลงทุนจำนวน 707 ล้านบาท จากจำนวนผู้มาติดต่อทั้งสิ้น 2,422 ราย ณ. 30 มิถุนายน 2551 และกองทุนรวมฯในฐานะหัวรถจักรอุตสาหกรรมสามารถฉุดกลุ่มวิสาหกิจเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จำนวน3 ราย เงินร่วมลงทุนจำนวน 50.5 ล้านบาท
จากผลการดำเนินงานของกองทุนรวมฯ ดังกล่าวสามารถอธิบายได้ว่า “ ความสามารถและโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนของ SMES มีเพียงร้อยละ 3.29 เท่านั้น” สอดคล้องกับหลักการของการลงทุนในเรื่องของความเสี่ยงกับผลตอบแทนที่ว่าด้วย “ high risk , high return” โดยผู้ลงทุนในธุรกิจเงินร่วมลงทุน คาดหวังผลตอบแทนสุทธิอย่างน้อยที่สุดร้อยละ 20 ต่อปี นั่นหมายถึงว่า กองทุนรวมฯ ต้องได้รับผลตอบแทนอย่างน้อยที่สุดร้อยละ 25-30ก่อนหักค่าใช้จ่าย ซึ่งในทางปฏิบัติ การที่จะบรรลุเป้าหมายให้ได้ร้อยละ 25-30 ผู้จัดการกองทุนรวมฯ จำเป็นต้องตั้งเป้าหมายถึงร้อยละ 35-40 เพื่อที่จะชดเชยสำหรับการลงทุนที่ล้มเหลวในกองทุนรวมฯ
ดังนั้น ความเป็นไปได้ที่บริษัทเริ่มต้นจะประสบผลสำเร็จคือS (start-up risk) xM (management risk) xT (technology risk) xP (production risk) xK (marketing risk) = 50% x50% x50% x50% x50% = 3.2% และสอดคล้องกับ แนวคิดของที่ปรึกษาธุรกิจของ SMEs ที่อ้างถึงรายงานสรุปของภาครัฐที่ว่า “สภาพของธุรกิจ SMEsในจำนวน 100 ราย จะมีเพียงไม่ถึงร้อยละ 5 ที่ประสบความสำเร็จ”โดยที่ปรึกษาฯ เห็นว่า SMEs ที่ประสบผลสำเร็จจะมีลักษณะเด่นเฉพาะตัวที่เป็นปัจจัยให้ประสบผลสำเร็จส่วนที่เหลือจะเลิกกิจการในที่สุดโดยมีอายุในการดำเนินการเพียง 1-2 ปี และในทำนองเดียวกันเป็นไปตามปรากฏการณ์ของกฎโดยทั่วไป (Rule of the thumbs)กล่าวว่าโอการของ VC. จะเกิดขึ้นใน 1/400 เท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจาก SMES ไม่สามารถสร้างการแข่งขันในเชิงนวัตกรรมได้ จะเห็นได้จากธนาคารโลกชี้ว่า “SMES ไทยประสบปัญหาด้านการใช้นวัตกรรม และแรงงานขาดทักษะทำให้ความสามารถใยการแข่งขันต่ำ และหันไปแข่งขันด้านราคา (Price war) แทน” ซึ่งโดยปกติวิสาหกิจเป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม มีทุนไม่มากทำให้ไม่ประสบผลสำเร็จของการดำเนินธุรกิจโดยส่วนใหญ่ ส่งผลให้ VC. เข้าร่วมทุนในช่วงระยะขยายตัวมากกว่าช่วงระยะเริ่มต้น ทั้งนี้เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงของการลงทุน
ดังนั้น บทเรียนจากปัญหาของบรรยากาศการลงทุนในไทย เข้ามาสู่ปัญหาของธุรกิจเงินร่วมลงทุนในการแสวงหาธุรกิจเพื่อร่วมลงทุนที่ VC. พิจารณาเฉพาะ SMES ที่มีศักยภาพเท่านั้น ไม่ใช่ทุก SMESซึ่งสามารถสรุปเป็นข้อ 16 ดังนี้ 1) โครงการไม่มีประสิทธิภาพเชิงพาณิชย์ 2) โครงการมีขนาดเล็ก ไม่เหมาะกับการเข้าร่วมทุน 3) การไม่มีทีมงานในการดำเนินธุรกิจ 4) ขนาดของเงินทุนมีจำนวนน้อย 5) โครงการขาดความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจ 6) วิสาหกิจมีทุนจดทะเบียนต่ำ 7) โอกาสถอนตัวจากการลงทุนค่อนข้างน้อย
ปัจจัยเหล่านี้ นอกเหนือไปจาก มุมมองของผู้ประกอบการที่เป็นปัจจัยด้านลบที่กดดันต่อการขยายตัวของธุรกิจเงินร่วมลงทุน เช่นเดียวกัน อาทิ
1) ผู้ประกอบการมองว่า การมีผู้ร่วมลงทุนจากภายนอกอาจกระทบต่อแนวคิดการทำธุรกิจเดิม
2) ผลตอบแทนจากการลงทุนของเจ้าของเดิมจะต้องถูกแบ่งตามสัดส่วนการถือหุ้น
3) ผู้ประกอบการจะต้องจัดทำแผนธุรกิจนำเสนอให้กับบริษัทเงินร่วมลงทุนซึ่งตนเองไม่คุ้นเคย
4)ธุรกิจเงินรว่ มลงทุนเป็นแนวทางในการระดมทุนแนวใหม่ในสังคมไทยซึ่งผู้ประกอบการไม่คุ้นเคยเมื่อเปรียบเทียบกับช่องทางอื่นๆ 5) โครงสร้าง SMES ของไทย ไม่ดึงดูดบริษัทเงินร่วมลงทุน เข้ามาลงทุน ทั้งนี้ เนื่องจากการบริหารจัดการ การจัดทำระบบบัญชี และการจัดเก็บและเปิดเผยข้อมูล ของผู้ประกอบการยังไม่ได้มาตรฐาน เป็นต้นเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของธุรกิจเงินร่วมลงทุนและต่อการพัฒนา SMEs
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว เป็นบทเรียนที่สะท้อนให้เห็นถึงรากเหง้าของปัญหา ที่ผู้ประกอบการต้องประสบอยู่ในการที่จะเข้าถึงการส่งเสริมของรัฐโดยจากงานศึกษาวิจัยและเก็บรวบรวมของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมชี้ว่า “ปัญหาโดยรวมของ SMES อยู่ที่การเข้าถึงการส่งเสริมของรัฐ” โดยระบุว่า “มี SMES เพียงร้อยละ 8.1 เท่านั้นที่มีโอกาสเข้าถึงโครงการส่งเสริมการลงทุนจากรัฐ”
ประเด็นจึงอยู่ที่ว่า “ทำอย่างไรในการสร้างผู้ประกอบการใหม่ให้ได้ปีละ 60,000 ราย ตามนโยบายของรัฐบาล ด้วยเครื่องมือทางการเงิน VC. อุตสาหกรรม” (กรณีของประเทศอินเดีย ธุรกิจเงินร่วมลงทุนอยู่ในช่วงของระยะเริ่มต้น (Start up) ถึงร้อยละ 44 ซึ่งเป็นการร่วมทุนอุตสาหกรรมประเภทคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะสาขาอินเตอร์เน็ต เงื่อนไขนี้ก็มีปรากฏอยู่ใน VC.ของไทยเช่นเดียวกัน)
ต่อประเด็นคำถามข้างต้นที่ได้รับจากบทเรียนจากปัญหาต่างๆที่รุมเร้า SMES ผู้เขียนขอนำเสนอ 4 ประเด็นคือ 1) โครงการสำรวจความต้องการการลงทุนร่วมของ SMES 2) โครงการศึกษาปัจจัยขัดขวาง/สนับสนุนบทบาทของธุรกิจเงินทุนร่วมทุน 3) โครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการพัฒนา SMES ในช่วงระยะเริ่มต้นด้วยเงินร่วมลงทุน 4) การสร้างเครื่องมือนวัตกรรมทางการเงิน
โดยประเด็นคำถามดังกล่าวเป็นการถอดบทเรียนที่ผ่านมาแล้วสรุปเป็นหัวข้อเรื่องเพื่อต้องการนำไปสู่ การศึกษาเครื่องมือทางการเงินเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการนำเครื่องมือมาใช้สนับสนุนSMESให้เกิด ความสามารถในการประกอบการ และศักยภาพในการแข่งขัน
การปรับปรุงและทิศทาง จากบทเรียนของการปัดปฏิเสธการร่วมทุน ทำให้นำไปสู่การทบทวนเพื่อทำการปรับปรุงและพัฒนาการร่วมทุนให้มีความเหมาะสมกับเป้าหมาย โดยที่ VC ในฐานะที่เป็นเครื่องมือทางการเงินเข้าร่วมลงทุนในวิสาหกิจและทำหน้าที่เป็นหัวรถจักรในการฉุด SMEs มีจุดมุ่งหมายที่จะส่งเสริมให้ SMEs มีการเติบโต แข็งแกร่งและสามารถเข้าตลาดทุนได้ ดังนั้น การพัฒนาทั้ง SMEs และ VC จึงจำเป็นต้องมีการทบทวน และปรับปรุงทั้ง 2 ส่วนคู่ขนานกันไป โดยส่วนแรก เป็นการปรับปรุงผู้ประกอบการให้มีศักยภาพสูงขึ้นด้วยการบ่มเพาะ ขณะที่ส่วนที่สอง เป็นการเพิ่มสมรรถนะของเครื่องมือทางการเงินที่จะเข้ามาสนับสนุนโดยการทบทวนบทบาทและการปรับปรุงให้สอดคล้องกับทิศทางที่เครื่องมือถูกกำหนดให้มีจุดมุ่งหมายที่จะส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถจัดตั้งกิจการได้สำเร็จ และดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องเติบโต มีศักยภาพ เพื่อให้พร้อมในการเข้าสู่ตลาดทุนต่อไป
โดยที่เครื่องมือทางการเงินเกี่ยวข้องกับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการนำไปใช้ธุรกิจร่วมทุนดังนั้น การปรับปรุง แก้ไข หลักเกณฑ์และเงื่อนไขของ VC ที่เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาธุรกิจ SMEs จึงเป็นสิ่งจำเป็นในการเอื้อประโยชน์ต่อการลงทุน อาทิ หลักเกณฑ์ของการร่วมทุนที่ว่าด้วย กรอบการลงทุนร้อยละ 10 -50 ของทุนจดทะเบียนของบริษัท แต่ไม่เกิน 25 ล้านบาท ระยะเวลา 3 -5 ปี ในประเด็นนี้ กองทุนรวมฯ เสนอให้ปรับเปลี่ยนเงื่อนไขของการเข้าร่วมทุน โดยให้เพิ่มวงเงินลงทุนสูงสุดต่อราย จากเดิม 25 ล้านบาทเป็น 50 ล้านบาทต่อราย ขณะที่เสนอให้ยกเลิกเกณฑ์การถือหุ้นใน SMEs ขั้นต่ำร้อยละ 10 ของทุนจดทะเบียนหลังร่วมลงทุน(โดยให้คงเกณฑ์การถือหุ้นใน SMES ขั้นสูงที่ร้อยละ 50 ) ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับขนาดของธุรกิจและความต้องการของผู้ประกอบการที่ต้องการให้เข้าร่วม นอกจากนี้ให้พิจารณาผ่อนคลายกฎเกณฑ์ของเครื่องมือ ทางการเงินให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นเพื่อให้เอื้อต่อบรรยากาศการลงทุนและดึงดูดนักลงทุนเข้ามาในระบบธุรกิจเพื่อให้การสนับสนุนเงินทุน แก่ SMES ได้มากขึ้น โดยการยกเว้นภาษีว่าด้วยหลักเกณฑ์ของประเด็นสัดส่วน
การลงทุน (ลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 60 และ 80 ของปีที่ 2 ปีที่ 3 และปีที่ 4 ตามลำดับ) ประเด็นคุณสมบัติ VC. และประเด็นการขึ้นทะเบียนของนิติบุคคลเงินร่วมลงทุนกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับตลาดหลักทรัพย์เพื่อให้ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี (จาก 30 มกราคม 2551 เป็น 30 มกราคม 2554 )
ทิศทาง แนวทางการพัฒนากลุ่มผู้ประกอบการSME ต่อไปในอนาคต รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับเครื่องมือทางการเงินมากขึ้นในการสนับสนุน SMES ทั้งนี้เนื่องจากวิกฤตการทางการเงินของโลก ส่งผลกระทบต่อระบบการเงินทำให้สถาบันการเงินมีความระมัดระวังในการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการ มีการเรียกหลักทรัพย์เพิ่มสูงขึ้นซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการในการขอสินเชื่อ ดังนั้น VC จึงมีบทบาทสำคัญในช่วงภาวะวิกฤติทางการเงินของโลกในขณะนี้ที่จะเข้ามามีบทบาทในการสนับสนุนแก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจให้สามารถดำเนินธุรกิจของตนได้อย่างปกติทั้งนี้จำเป็นที่ภาครัฐและภาคเอกชนรวมทั้งนักลงทุนสถาบัน จำเป็นต้องร่วมประสานและให้การสนับสนุนแก่กลุ่มวิสาหกิจที่มีศักยภาพในเชิงพาณิชย์ที่มีอนาคตและมีนวัตกรรม
ดังนั้นทิศทางในอนาคตเป็นการมุ่งเพิ่มบทบาทของ VC ให้มากขึ้นโดยเพิ่มสัดส่วนให้สูงขึ้น เมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนของสินเชื่อที่เป็นกระแสหลักที่ SMES ใช้เป็นแหล่งเงินทุนหลักอยู่ในขณะนี้ทั้งนี้เพื่อให้ VC ได้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามแผนแม่บทตลาดทุนต่อไป
โดยสรุป รายงานการวิเคราะห์ผลการสำรวจระดับเพิ่มผลและบรรยากาศการลงทุนของไทย ในปี 2550 ของธนาคารโลกและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ชี้ให้เห็นถึง ปัญหาและอุปสรรคต่อบรรยากาศการลงทุนภายในประเทศ ที่สำคัญ 3 ด้าน คือ 1) การขาดแคลนเงินทุน 2) ปัญหาช่องทางด้านการตลาด 3) ปัญหาการบริหารจัดการ ปัญหาทั้ง 3 ด้านดังกล่าวเหล่านี้ มีผลทำให้บรรยากาศการลงทุนต่ำลงซึ่งมีผลกระทบต่อวิสาหกิจ ขนาดกลางและขนาดย่อม ( SMEs ) ที่มีอยู่ เป็นจำนวนมากและหลากหลาย
แต่เนื่องจากวิสาหกิจของไทยเหล่านี้ มีบทบาทและความสำคัญต่อเศรษฐกิจเป็นหลักในการก่อให้เกิดการจ้างงานและเกิดรายได้ต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก ดังนั้น เพื่อให้การสนับสนุนและส่งเสริมให้ ( SMEs ) มีการเติบโต แข็งแกร่ง และสามารถเข้าตลาดทุนได้รัฐบาลจึงจำเป็นต้องใช้เครื่องมือทางการเงินในรูปแบบของธุรกิจเงินร่วมลงทุน ( venture capital ; VC) ซึ่งเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งนอกเหนือไปจากระบบสินเชื่อที่ผู้ประกอบการคุ้นเคยอยู่แล้ว
เครื่องมือทางการเงิน VC จะเข้าร่วมทุนกับวิสาหกิจ ด้วยกฎเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดภายใต้หลักการที่ว่า“ซื้อหุ้น ถอนทุน” ทั้งนี้ เครื่องมือทางการเงิน VC ทำหน้าที่เป็นหัวรถจักรในการฉุด ( SMEs ) ให้ไปสู่เป้าหมายตลาดทุน ด้วยการเป็นทั้งการโจมตี ( preventive ) และการป้องกัน ปัญหา ( prevention )โดยการป้องกันว่าด้วยการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแหล่งเงินทุนโดยให้ VC เป็นแหล่งเงินทุนในระยะยาวให้แก่ ( SMEs )ขณะที่การโจมตีเป็นการต่อสู้กับปัญหา ด้านการบริหารจัดการและการหาตลาด โดย vc ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการบริหารจัดการเกี่ยวกับการผลิต การเงิน การบัญชี และการหาตลาด พร้อมทั้งการจัดหาพันธมิตรทางธุรกิจซึ่งจะช่วยเหลือในด้านการเป็นแหล่งทุนและเป็นแหล่งตลาดให้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ในช่วงรอบทศวรรษ ( พ.ศ.2543 —พ.ศ. 2549 ) ของการดำเนินการของกองทุนรวมฯที่ผ่านมาพบว่า ธุรกิจเงินร่วมลงทุนหรือธุรกิจร่วมเสี่ยงนี้ ไม่เหมาะสม กับทุกวิสาหกิจในการทำหน้าที่เป็นธุรกิจเงินร่วมลงทุนอุตสาหกรรม ในการฉุด ( SMEs )ไปสู่เป้าหมาย แต่จะทำหน้าที่เฉพาะกับ ( SMEs ) ที่มีศักยภาพเท่านั้น อันนำไปสู่ปัญหาของการแสวงหาธุรกิจเพื่อร่วมลงทุน ซึ่งปัญหาเหล่านี้ นอกเหนือไปจากมุมมองของผู้ประกอบการที่เป็นปัจจัยด้านลบที่กดดันต่อการขยายตัวของธุรกิจเงินร่วมลงทุนแล้ว ยังเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของธุรกิจเงินร่วมลงทุนและต่อการพัฒนา ( SMEs ) อีกด้วย
ดังนั้น จากบทเรียนของการปัดปฏิเสธการร่วมทุน ทำให้นำไปสู่การทบทวนเพื่อทำการปรับปรุงและพัฒนาการร่วมทุนให้มีความเหมาะสมกับเป้าหมาย ด้วยการพัฒนาทั้ง ( SMEs) และ vc ควบคู่กันไป โดยส่วนแรก ปรับปรุงผู้ประกอบการให้มีศักยภาพสูงขึ้นด้วยการบ่มเพาะ ขณะที่ส่วนที่สอง เป็นการเพิ่มสมรรถนะของเครื่องมือทางการเงินที่จะเข้ามาสนับสนุน ด้วยการทบทวนบทบาทและการปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของกองทุนรวมฯให้สอดคล้องกับทิศทางที่เครื่องมือถูกกำหนดให้มีจุดมุ่งหมายที่จะส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถจัดตั้งกิจการได้สำเร็จและดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง เติบโต มีศักยภาพ เพื่อให้พร้อมในการเข้าสู่ตลาดทุนต่อไป
สิ่งที่ดำเนินการทั้งหมดจะเป็นการปรับและเปลี่ยนรูปแบบ vc จากเครื่องมือทางการเงินในฐานะทางเลือกของการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ( An Alternative instrument of Small and Medium-sized Enterprises( SMEs) development) มาเป็นเคริ่งมือทางการเงินที่แท้จริง ( Real option instrument)
ที่มา : Macroeconomic Analysis Group : Fiscal Policy Office
Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th