ภาวะเศรษฐกิจสหราชอาณาจักร กุมภาพันธ์ 2552

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday March 5, 2009 16:46 —กระทรวงการคลัง

ภาพรวมเศรษฐกิจ ( กุมภาพันธ์ 2552 )

ดัชนีชี้วัดการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนธันวาคมหดตัวลงอีกร้อยละ 4.5

ดัชนีชี้วัดการผลิตภาคอุตสาหกรรม (Industrial Production Index: IPI) ในเดือนธันวาคมซึ่งเป็นแดือนสุดท้ายของปี ยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่องอีก 1.6 จุดจากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับ 91.7 จุด และหากพิจารณาจากค่าเฉลี่ยของดัชนีช่วง 3 เดือน (ตุลาคม-ธันวาคม) พบว่าลดลงจากค่าเฉลี่ยของช่วง 3 เดือนก่อนหน้า (กรกฎาคม-กันยายน) ถึงร้อยละ 4.5 เทียบกับที่ลดลงร้อยละ 3.1 ในช่วงไตรมาสก่อนหน้า บ่งชี้ว่าผลผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัวลงเร็วขึ้นสอดคล้องกับผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาสที่ 4 ของปีที่หดตัวลงร้อยละ 1.5 จากไตรมาสทที่ 3 โดยในรอบปี 2008 ดัชนีหดตัวลงติดต่อกันทุกเดือนทั้ง 12 เดือน โดยในเดือนนี้ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมในสาขาสินค้าอุตสาหกรรม (Manufacturing)) ซึ่งมีน้ำหนักร้อยละ 79 ลดลงแรงถึงร้อยละ 5.1 จากช่วง 3 เดือนก่อนหน้า ดัชนีผลผลิตด้านพลังงานไฟฟ้า น้ำ และ ก๊าซ ซึ่งมีน้ำหนักร้อยละ 9 ลดลงถึงร้อยละ 0.1 ขณะที่ดัชนีผลผลิตภาคเหมืองแร่ ทรัพยากร ธรรมชาติ และน้ำมัน ซึ่งมีน้ำหนักร้อยละ 12 หดตัวลงถึงร้อยละ 3.2 เทียบกับที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยร้อยละ 0.2 ในเดือนก่อนหน้า

ทั้งนี้ หากพิจารณาดัชนีการผลิตตามระดับขั้นของผลผลิตพบว่าค่าเฉลี่ย 3 เดือนของทุกหมวดลดลงแรงจากค่าเฉลี่ยของ 3 เดือนก่อนหน้า โดยดัชนีผลผลิตสินค้าขั้นกลางและพลังงาน (Intermediate goods and energy) ซึ่งมีน้ำหนักร้อยลละ 48 ลดลงจากรอบ 3 เดือนก่อนหน้าร้อยละ 4.8 ดัชนีผลผลิตสินค้าเพื่อการบริโภคที่ไม่คงทน (Consumer non-durable) ซึ่งมีน้ำหนักร้อยละ 27 ลดลงร้อยละ 2.6 และสินค้าทุน (Capital goods) ซึ่งมีน้ำหนักร้อยลละ 21 ในเดือนนี้ยังคงลดลงค่อนแรงต่อเนื่องถึงร้อยละ 5.6 จากรอบ 3 เดือนก่อนหน้า และดัชนีสินค้าเพื่อการบริโภคที่คงทน (Consumer durable) ซึ่งมีน้ำหนักร้อยละ 3.6 ลดลงแรงถึงร้อยละ 7.4

อัตราเงินเฟ้อ : CPI เดือนมกราคมลดลงน้อยกว่าที่คาดเหลือร้อยละ 3.0

ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในเดือนมกราคมปรับตัวลดลงต่อเนื่องเหลือร้อยละ 3.0 นับแป็นเดือนที่สี่ที่อัตราเงินเฟ้อลดลงหลังจากที่ขึ้นไปทำสถิติสูงสุดร้อยละ 5.2 เมื่อเดือนกันยายน อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อที่ลดลงในเดือนนี้ค่อนข้างน้อยกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดไว้ว่าจะอยู่ที่ระดับร้อยละ 2.7 เท่านั้น ซึ่งเหตุผลหลักน่าจะมาจากการที่ราคาสินค้านำเข้าเพิ่มขึ้นเนื่องจากค่าเงินปอนด์อ่อนค่าแม้ว่าราคาน้ำมันและสินค้าภายในประเทศจะลดลงก็ตาม โดยหมวดรายจ่ายที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อในเดือนนี้เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีที่แล้วมาจากหมวดเครื่องดื่มแอลกออฮอล์และยาสูบที่เร่งตัวขึ้นเป็นร้อยละ 5.3 จากร้อยละ 4.4 ในเดือนที่แล้ว ขณะที่หมวดอื่นๆ แม้จะเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลงแต่ก็ไม่มากนัก เช่น หมวดอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮออล์เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.2 เทียบกับร้อยละ 10.4 ในเดือนที่แล้ว หมวดค่าใช้จ่ายประจำในครัวเรือน ค่าแก๊สและไฟฟ้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.6 เทียบกับร้อยละ 14.3 ในนเดือนที่แล้ว และหมวดภัตตาคารและโรงแรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.6 เท่ากับเดือนที่แล้ว สำหรับหมวดสินนค้าที่มีระดับราคาลดลงเมื่อเทียบกับปีที่แล้วยังคงได้แก่หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้าที่มีระดับราคาลดลงถึงร้อยละ 10.0 หมวดขนส่งคมนาคมมีราคาลดลงร้อยละ 1.9 เทียบกับที่เพิ่มร้อยละ 0.1 ในแดือนที่แล้วซึ่งเป็นผลมาจากการลดลงของราคานํ้มันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน หมวดสื่อสาราคาลดลงร้อยละ 2.0 และหมวดสันธนาการและวัฒนธรรมราคาลดลงร้อยละ 0.5

ทางด้านดัชนี ((Retail Price Index: RPI) ในเดือนนี้ยยังลดลงแรงตต่อเนื่องจากเดือนที่แล้วโดยอยู่ที่ระดดับร้อยละ 0.1 จากร้อยละ 0.9 ในเดือนที่แล้ว โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของเงินแฟ้อในเดือนนี้นีมาจากหมววดอาหารและภัตตาคารที่รราคาเพิ่มขึ้นรร้อยละ 8.0 แทียบกับร้อยละ 8.4 ในเดดือนที่แล้ว หมวดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮฮอล์และยาสสูบที่เร่งตัวขึ้นนเป็นร้อยละ 5.0 เทียบกับบร้อยละ 4.6 ในเดือนที่แลล้ว ขณะที่ราคคาสินค้าหมวดอื่นๆ ที่เหลลือมีราคาลดลลงจากปีที่แล้วทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นหมววดที่อยู่อาศัยและรายจ่ายใในครัวเรือนลลงลงร้อยละ 1.3 เทียบกับบที่ลดลงร้อยลละ 0.1 ในเดืออนที่แล้ว หมวดท่องเที่ยวและการหย่อนใจราคาลดลจากปีที่แล้วร้อยละ 3.3 เทียบกับที่ลดลงร้อยละ 2.0 ในเดือนที่แล้ว และหมวดรายจ่ายส่วนบุคคลลดลงร้อยละ 2.4 โดยเดือนที่แล้วลดลงร้อยละ 2.9

อัตราการว่างงาน : เดือนธันวาคมขยับขึ้นต่อเนื่องเป็นร้อยละ 6.3

ในรอบ 3 เดือนสิ้นสุดเดือนธันวาคม (ตุลาคม-ธันวาคม) ทั้งจำนวนผู้มีงานทำและอัตราการจ้างงานต่างก็ลดลง กล่าวคือ จำนวนผู้มีงานทำ employment level) มีจำนวน 29.361 ล้านคน ลดลงถึง 45,000 คนจากรอบ 3 เดือนก่อนหน้า (กรกฎาคม-กันยายน) หรือลดลงร้อยละ 0.2 และลดลง 37,000 คน หรือลดลงร้อยละ 0.1 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว การที่ยอดผู้มีงานทำลดลงทำให้อัตราการจ้างงานในเดือนนี้ลดลงเหลือร้อยละ 74.1 ของผู้ที่อยู่ในวัยทำงานทั้งหมด (working age employment rate) หรือลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าร้อยละ 0.3 ทางด้านจำนวนผู้ว่างงานและอัตราการว่างงานในรอบสามเดือนจนถึงเดือนธันวาคมต่างก็ขยับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยมียอดผู้ว่างงานเฉลี่ย 1.97 ล้านคน เพิ่มขึ้น 146,000 คนจากรอบไตรมาสก่อนหน้า หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 8.0 และเพิ่มขึ้นถึง 369,000 คนจากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 23.0 ส่งผลให้อัตราการว่างงานเฉลี่ยในรอบไตรมาสนี้เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 6.3 เทียบกับร้อยละ 5.8 ในไตรมาสก่อนหน้า นับเป็นเดือนที่สองติดต่อกันที่จำนวนผู้ว่างงานอยู่เหนือระดับ 1.9 ล้านคน และนับเป็นเดือนที่สามที่อัตราการว่างงานเกินกว่าร้อยละ 6.0 โดยครั้งสุดท้ายที่อัตราการว่างงานอยู่ในระดับร้อยละ 6.0 คือเมื่อเดือนมิถุนายน 1999 ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์ประมาณว่าจำนวนผู้ว่างงานอาจจะพุ่งสูงสุดถึงระดับ 2.7 ล้านคนในปี 2010

สำหรับดัชนีชี้วัดรายได้เฉลี่ยของแรงงานไม่รวมเงินโบนัส (GB average earnings index: AEI) ในรอบไตรมาสสิ้นสุดเดือนธันวาคมเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.6 จากปีที่แล้ว (ไม่เปลี่ยนแปลงจากไตรมาสก่อนหน้า) ขณะที่ดัชนีที่รวมรายได้จากโบนัสเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.2 จากปีที่แล้ว (ไม่เปลี่ยนแปลงจากไตรมาสก่อนหน้าเช่นกัน)

ปริมาณเงินและสินเชื่อ : M4 ขยายตัวเร็วขึ้นขึ้น แต่สินเชื่อชะลอตัวลง

ปริมาณเงินตามความหมายกว้าง (M4) ในเดือนมกราคมเพิ่มขึ้น 48.5 พันล้านปอนด์ หรือเพิ่มขึ้นร้อยลละ 17.5 จากเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว เทียบกับที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.2 เมื่อเดือนธันวาคม ขณะที่ปริมาณสินเชื่อตามความหมายกว้าง (M4 lending) ในเดือนมกราคมเพิ่มขึ้นเพียง 4.8 พันล้านปอนด์ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.9 ชะลอลงเล็กน้อยจากเดือนที่แล้วที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.8

อย่างไรก็ดี หากวิเคราะห์ลงในรายละเอียดของการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินไปสู่ภาคเศรษฐกกิจ (sectoral analysis) พบว่ามีการชะลอตัวลงอย่างชัดเจน โดยสินเชื่อที่ให้แก่ภาคธุรกิจ (M4 lending to private non-financial corporations) มียอดคงค้าง 960,303 ล้านปอนด์ ขยายตัวจากปีที่แล้วร้อยละ 4.9 เทียบกับร้อยละ 3.6 เมื่อเดือนที่แล้ว ขณะที่สินเชื่อที่ให้แก่ภาคครัวเรือน (M4 lending to household ssector) มียอดคงค้าง 951,346 ล้านปอนด์ คิดเป็นอัตราการขยายตัวติดลบร้อยละ 4.4 จากปีที่แล้ว เทียบกับที่ติดลบร้อยละ 3.6 เมื่อเดือนที่แล้ว

อัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยน

อัตราดดอกเบี้ย : Bank of England ลดอัตราดอกเบี้ยลงเหลือร้อยละ 1.0 ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ แต่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไม่ลดลงตามสัดส่วน

เมื่อวันที่ 5 กุมมภาพันธ์ คณะกรรมการนนโยบายการเงงิน (MPC) ขของธนาคารกกลางอังกฤษ มีมติ 8:1 ให้ลดอัตราดอกเบี้ย Baank rate ลงออีกร้อยละ 0.50 เหลือร้อยลละ 1.0 ถือว่าเป็นอัตรราดอกเบี้ยที่ตต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ออีกครั้งนับตั้งแต่มีการก่อตตั้ง Bank of EEngland ในปี 1694 หรืออ 315 ปีมาแลล้ว โดยหนึ่งในคณะกรรมการเสนอให้ลดอัตราลงถึงร้อยละ 1.0 ซึ่งคณะกรรมการได้ให้เหตุผลของการลดอัตราดอกเบี้ยลงในครั้งนี้ว่าภาวะเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 ของปีหดตัวลงค่อนลึกและผลสำรวจก็บ่งชี้ว่าสภาพดังกล่าวจะยังดำรงอยู่ในช่วงแรกขอองปี 2009 นอกจากนี้ ภาคคธุรกิจและครัวเรือนกำลังปรระสบปัญหากการเข้มงวดจจากการปล่ออยสินเชื่อของงสถาบันการเงินเป็นอย่างงมากส่งผลต่อการชะลอตัวขของการใช้จ่ายของผู้บริโภภค การลดการลงทุนและกการจ้างงานของภาคธุรกิจพร้อมกับชี้ว่าการดำเนินนโยบายการเงินและนโยบายการคลลังแบบผ่อนคคลายในช่วงทที่ผ่านมา ประกอบกับการอ่อนค่าของเงินปอนด์และแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่ชะลอลงจะเป็นตัวกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กำลังงถดถอย อย่างไรก็ดี โอกาสที่อัตราเงินเฟ้อจะลดลงต่ำกว่าร้อยละ 2 ลึกมากเกินไป (undershot) ณ ระดับอัตราดอกเบี้ยในขณะนี้ยังคงมีความเป็นไปไได้สูง พร้อมทั้งเห็นว่าภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันที่ตลาดสินเชื่อไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างปกติก็มีความเหมาะสมที่คณะกรรมการฯ จะพิจารณาการเพิ่มปริมาณเงินด้วยกการเพิ่มการรับซื้อสินทรัพย์ภาคเอกชนที่ไม่เคยซื้อมาก่อน (unconventional types of asset purchases) เช่น ตั๋วพาณิชย์ (CPs) และหุ้นกู้เอกชน เป็นต้น คณะกรรมการฯ จึงเห็นว่าควรลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกแต่ยังไม่ควรลดลงมากจนเกินไปเนื่องจากต้องรอพิจารณาผลลัพธ์ของนโยบายประกอบด้วย เสียงส่วนใหญ่จึงเสนอให้ลดลงอัตราดอกเบี้ยลงร้อยละ 0.50 โดยการประชุมครั้งต่อไปจะมีขึ้นในวันที่ 5 มีนาคม 2009

ในเดือนมกราคมอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยชนิดลอยตัว (flexible rate) อยู่ที่ระดับร้อยละ 4.73 ลดลง 65 basis points จากเดือนธันวาคมตามการลดลงของ Bank rate ของธนาคารกลางอังกกฤษ ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยชนิดที่อิงอัตราดอกเบี้ยพื้นฐาน (base rate tracker mortgage) อยู่ที่ระดับร้อยละ 4.51 ลดลง 41 basis points จากเดือนที่แล้ว อย่างไรก็ดี ส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยทั้งประเภท flexible rate และ tracker rate กับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Bank rate) ยังคงมีอยู่สูงร้อยละ 3.13 และ 2.91 ตามลำดับ ซึ่งสะท้อนถึงการที่สถาบันการเงินไม่ได้ส่งผ่านผลของการลดอัตราดอกเบี้ย Bank rate ทั้งหมดให้กับลูกค้าเงินกู้ ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลมาจากความเสี่ยงจากการปล่อยยสินเชื่อยังคงอยู่ในระดับสูง ประกอบกับต้นทุนทางการเงินของธนาคารจะอิงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมระหว่างธนาคาร (interbannk rate) เป็นหลักมากกว่า bank rate

สำหรับโครงสร้างอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย (average yield curve)) ประจำเดือนกุมภาพันธ์พบว่าอัตราผลตอบแทนระยะสั้นอายุต่ำกว่า 1 ปีมีการปรับลดลงระหว่าง 16-49 basis points ต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า ขณะที่อัตราผลตตอบแทนระยะยาวอายุ 5 ปีปรับลดลง 13 basis points ขณะที่อายุ 10 ปีและ 20 ปีปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยระหว่าง 2-6 basis points ซึ่งโดยยรวมแล้วโครงสร้างของอัตราผลตอบแทนสอดคล้องกับการลดลงของอัตราดอกเบี้ยนโยบบายของ Bank of England ที่ในช่วง 5 เดือนที่ผผ่านมามีการปปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงถถึงร้อยละ 4.00 และส่งผลให้เส้นโครงสร้างอัตราผผลตอบแทนมีลักษณะเป็นปกติมากขึ้น (normal yield curve) กกล่าวคืออัตราผลตตอบแทนระยะสั้นต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนระยะยาว แม้อัตราผลลตอบแทนระยะสั้นต่ำกว่า 1 ปีจะมีลักกษณะแบนราบ (flat yield curve) ก็ตาม

อัตราแลกเปลี่ยน : เงินปอนด์เริ่มฟื้นตัวหลังจากกที่อ่อนค่าติดต่อกัน 6 เดือน

เงินปอนด์เมื่อแทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ. ในเดือนนี้ยังคงเคลื่อนไหวผันผวนและอ่อนค่าลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกันแต่อ่อนค่าลงเพียงเล็กน้อยในเดือนนี้ โดยเงินปอนด์มีระดับปิดตลาดวันแรกของเดือนที่ 1.4162 $/ปอนด์ ลดลงเล็กน้อยอัตราปิดของเดือนก่อนหน้าเนื่องจากมีการทำกำไรหลังจากที่ปลายเดือนที่แล้วเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นตลอดในช่วยท้ายของเดือนที่แล้ว จากนั้นในสัปดาห์แรกเงินปอนด์ก็มีทิศทางที่ดีขึ้นต่อเนื่องจากปลายเดือนก่อนเนื่องจากได้รับการสนับสนุนจากผลการประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Bank of England ลงเหลือร้อยละ 1.0 ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการไว้ จึงผ่อนแรงกดดันต่อเงินปอนด์ลง ทำให้เงินปอนด์ขึ้นมาแข็งค่าที่สุดของเดือนที่ระดับ 1.4912 $/ปอนด์ หลังจากนั้นนเงินปอนด์ก็เริ่มอ่อนค่าลงอีกครั้งเมื่อตัวเลขผู้ว่างงานแดือนธันวาคมพุ่งขึ้นเกือบถึงระดับ 2 ล้านคน ประกอบกับนาย Mervyn King ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษออกมาประเมินว่าเศรษฐกิจในนปีนี้จะถดถอยลึกกว่าที่เคยประเมินไว้เดิม โดยอัตราเงินเฟ้อของอังกฤษจะชะลอลงเหลือเพียงร้อยละ 0.5 และจะอยู่ต่ำกว่าระดับเป้าหมายร้อยละ 2.0 เกือบตลอดระหว่างปี 2010-11 และ Bank of England พร้อมที่จะสร้างเงินเพื่ออัดฉีดเข้าระบบ (quantitative monetary easing) ด้วยการซื้อหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องรอให้อัตราดอกเบี้ยลดลงใกล้ร้อยละ 0 ก็กดดันให้เงินปอนด์อ่อนตัวลงและลงมาเคลื่อนไหวระหว่าง 1.42-1.450 $/ปอนด์ และปิดตลาดวันสุดท้ายของเดือนที่ระดับ 1.4255 $/ปอนด์ ทำให้ค่าเฉลี่ยของเงินปอนด์ในเดือนนี้อ่อนค่าลงงจากเดือนที่แล้วอีกเล็กน้น้อยร้อยละ 0.3 แต่อ่อนค่าร้อยละ 26.6 ในรอบ 12 แดือนที่ผ่านมมา

เงินปอนด์กลับมาแข็งค่าเมื่อเทียบกับยูโรในเดือนหลังจากอ่อนค่ามาติดต่อกันน 3 เดือนแม้ว่าในช่วงต้นเดือน ECB จะประกาศคงอัตราดอกเบี้ยไว้ตามเดิมที่ร้อยลละ 2.0 แต่ก็เตือนว่าเศรษฐกิจขของยูโรอาจจะประสบภาวะการหดตัวรุนแรงขณะที่ Bank of England ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลงเหลือเพียงร้อยละ 1.0 ทำให้ตลาดเพิ่มแรงกดดันนเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ยของ ECB ในอนาคตนอกจากนี้ เงินยูโรยังคงได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากวิกฤตในยุโรปตะวันออกเมื่อประเทศรัสเซียถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลงทำให้เงินรูเบิลอ่อนค่าลงและทำให้ค่าเงินของประเทศยุโรปตะวันออกอื่นอ่อนค่าตามไปด้วยเนื่องจากมีความเชื่อมโยงทางการค้าระหว่างกันค่อนขข้างมาก รวมถึงสถานการณ์ที่กำลังวิกฤตในประเทศยุโรปกลาง เช่น ฮังการรี และลัตเวีย เป็นต้น ที่เป็นสมาชิก EU แต่มีปัญหาเศรษฐกิจจากการชะลอตัวของการส่งออกและภาระหนี้ต่างประเทศที่สูงจนต้องเข้ารับโครงการเงินกู้ของ IMF และยังมีอีกหลายประเทศศในแถบนั้นอาจต้องเดินตามรอย 2 ประเทศนี้เข้าโครงการ IMF เช่น เอสโตเนีย ลิธัวเนีย รวมถึงโรมาเนีย เป็นต้น แรงกดดันต่อค่าเงินยูโรมีมากก็เนื่องจากธนาคารในยุโรปเป็นผู้ให้สินเชื่อรายใหญ่สุดแก่ประเทศยุโรปกลางและยุโรปตะวันออกโดยเฉพาะออสเตรียและสวีเดน โดยเงินปอนด์มีระดับปิดตลาดวันแรกที่ระดับ 1.106 ยูโร/ปอนด์ จากนั้นก็แข็งค่าขึ้นจนมีระดับปิดสูงสุดของเดือนที่ระดับ 1.1466 ยูโร/ปอนด์ ก่อนทที่จะเคลื่ออนไหวผันผววนระหว่าง 1.12-1.14 ยูโร/ปอนด์ และปิดตลาดวันสุดท้ายยของเดือนที่ระดับ 1.1224 ยูโร/ปอนด์ ส่งผลให้ค่าเฉลี่ยของเงินปอนด์ในเดือนนี้แข็งค่าขึ้นร้อยละ 3.2 แต่ก็ยังอ่อนค่าอยู่ร้อยละ 15.4 ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา

เมื่อเทียบกับเงินบาทแล้ว เงินปอนด์ในแดือนนี้มีทิศทางที่แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องจากปลายเดือนก่อนหน้า หลังจากที่อ่อนค่ากับเงินบาทต่อเนื่องถึง 6 เดือนติดต่อกัน โดยเงินปอนด์มีระดับปิดตลาดวันแรกของเดือนที่ระดับ 49.5316 Baht/ปอนด์ และแข็งค่าขึ้นจนมีระดับปิดสูงสุดของเดือนที่ระดับ 52.2293 Baht/ปอนด์ ก่อนที่จะชะลอตัวลงเล็กน้อยมาเคลื่ออนไหวใกล้เคียงระดับ 50 Baht/ปอนด์ และเริ่มกระเตื้องขึ้นอีกคครั้งในช่วงครึ่งหลังของเดือนปิดตลาดวันสุดท้ายของเดือนที่ระดับ 51.6278 Baht/ปอนด์ ซึ่งเป็นระดับใกล้เคียงกับช่วงต้นเดือนธันวาคมปีที่แล้ว โดยค่าเฉลี่ยของเงินปอนด์ในเดือนแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินบาทร้อยละ 0.9 แต่เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้วเงินปอนด์ยังอ่อนค่าอยู่ร้อยละ 16.8

ดุลงบประมาณ: เดือนมกราคมรัฐบาลเกินดุลลดลงถึงร้อยละ 76

ณ สิ้นเดือนมกราคมซึ่งเป็นเดือนที่สิบของปีงบประมาณปัจจุบัน (2008/09) รัฐบาลมีดุลงบรายจ่ายปรระจำ (current budget) เกินดุลจำนวน 8.4 พันล้านปอนด์ (เทียบกับที่เกินดุลถึง 15.3 พันล้านปอนด์ในเดือนมกราคมของปีที่แล้ว) หรือเกินดุลลดลงร้อยละ 46.0 และเมื่อรวมกับในเดือนนี้รัฐบาลมียอดลงทุนสุทธิจำนวน 5.0 พันล้านปอนด์ จึงทำให้ฐานะดุลงบปรระมาณโดยรวมในเดือนนี้มียอดเกินดุลสุทธิทั้งสิ้นเพียง 3.3 พันล้านปอนด์ (เทียบกับที่เกินดุลถึง 13.9 พันล้านปอนด์เมื่อปีที่แล้ว) หรือเท่ากับเกินดุลลดลงถึงร้อยละ 76.0 โดยในส่วนของรัฐบาลกลาง (central government account) สามารถจัดแก็บรายได้ในเดือนนี้จำนวน 53.8 พันล้านปอนด์ (ลดลงร้อยละ 11.0 จากปีที่แล้ว) ขณะที่งบรายจ่ายประจำและงบลงทุนของรัฐบาลกลางมียอดรวม 52.2 พันล้านปอนด์ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.3 จากปีที่แล้ว) ทำให้รัฐัฐบาลกลางมีฐานะเกินดุลงบประมาณเพียง 1.1 พันล้านปอนด์ (เทียบกับปีที่แล้วที่มีฐานะเกินดุลถึง 16.2 พันล้านปอนด์)

ทั้งนี้ ในช่วง 10 เดือนแรกขของปีงบประมาณ รัฐบาลจัดเก็บรายไดด้ทั้งสิ้น 411.7 พันล้านปอนด์ ลดลงร้อยละ 8.8 ขณะที่รายจ่ายประจำและรายจ่ายลลงทุนมีทั้งสิ้น 478.9 พันล้านปอนนด์ เพิ่มขึ้นร้ออยละ 7.9 ทำให้ยอดขาดดดุลงบประมาณสะสมมีจำนวน 67.2 พันล้านปอนด์ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึงร้อยละ 290.7 หรือคิดเป็นการขาดดุลร้อยละ 86.6 ของประมาณการขาดดุลทั้งสิ้นในปีงบประมาณปัจจุบันที่คาดว่าจะมีจำนวนทั้งสิ้น 77.6 พันล้านปอนด์ โดยสาเหตุหลักมาจากการที่รัฐบาลจัดเก็บภาษีได้น้อยลง

Debt/GDP : เดือนมกราคมอยู่ที่ระดับร้อยละ 47.8

ณ สิ้นเดือนมกราคม ยอดคงค้างหนี้สาธารณะอยู่ที่ระดับ 703.4 พันล้านปอนดด์ หรือเท่ากับร้อยละ 47.8 ของ GDP (เทียบกับร้อยละ 49.5 ในเดือนที่แล้ว) เนื่องจากในเดือนนี้เป็นเดือนที่มีการจัดเก็บรายได้ภาษีทำให้รัฐบาลมีการเกินดุลงบประมาณในเดือนนี้แต่เนื่องจากการเกินดุลงบปประมาณในเดือนนี้ลดลงจากปีที่แล้วถึงร้อยละ 76.0 จึงส่งผลให้ยอดหนี้สาธารณะลดลงจากเดือนที่แล้วไม่มากนัก โดยยอดหนี้สาธารณะของประเทศปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นผลมาจากภาระจากการแทรกแซงเพื่อรักษาเสถียรภาพของภาคการเงินไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือเพิ่มทุนให้กับสถาบันการเงิน มาตรการแก้ปัญหาสินเชื่อตึงตัว เป็นต้น และคาดว่าภาระหหนี้ของรัฐบาลจะเพิ่มสูงขึ้นอีกเนื่องจากสำนักงานสถิติกำลังงรวบรวมภารระของรัฐบาลลในธนาคาร Royal Bank of Scotland (RBS) และ Lloyds Banking Group (HBOS และ Lloyds TSB) เข้าเป็นของรัฐด้วยนับจากเดือนตุลาคม 2008 เป็นต้นไปซึ่งเป็นเดือนที่รัฐบาลมีสถานะเป็นผู้ถือหุ้นหลักอย่างมีนัยสำคัญในทั้ง 2 สถาบันการเงิน) อนึ่ง ในการแถลง Pre-Budget Report 2008 เมื่อเดือนพฤศจิกายน กระทรวงการคลังประมาณการว่า ณ สิ้นปีงบประมาณ 2008/09 ยอดหนี้สาธารณะจะอยู่ที่ระดับ 602 พันล้านปอนด์ หรือเท่ากับร้อยละ 41.2 ของ GDP

ดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลการชำระเงิน

ดุลการค้าและบริการ: ธันวาคมอังกฤษขาดดุล 3.6 พันล้านปอนนด์

เดือนธันวาคม อังกฤษมียอดส่งออกสินค้าและบริการรวม 32.8 พันล้านปอนดด์ (เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 3.0) แต่มีการนำเข้ารวม 36.5 พันล้านปอนด์ (เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 1.3) ทำให้มียอดขาดดุลการค้าและบริการรวม 3.6 พันล้านปอนด์ (ขาดดุลลดลงจากปีที่แล้วร้อยละ 12.5) แยกเป็นการขาดดุลการค้าจำนวน 7.4 พันล้านปอนด์ (ขาดดุลลดลงจากปีที่แล้วร้อยละ 8.3) แต่มีการเกินดุลบริการจำนวน 3.8 พันล้านปอนด์ (เกินดุลลดลงจากปีที่แล้วร้อยละ 3.8)

โดยการขาดดุลในเดือนนี้นีแยกเป็นการขาดดุลการค้าสินค้ากับประเทศในกลุ่ม EU (27 ประเทศ) จำนวน 3.2 พันล้านปอนด์ (ลดลงร้อยละ 16.3 จากเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว) ขณะที่มีการขาดดุลกับประเทศนอกกลุ่ม EU จำนวน 4.2 พันล้านปอนด์ (ขาดดุลดลงร้อยละ 1.3 จากเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว)

สำหรับการค้ากับประเทศไทยในเดือนธันวาคม อังกฤษส่งออกสินค้าไปประเทศไทยจำนวน 60 ล้านปอนด์ แต่มีการนำเข้าจำนวน 210 ล้านปอนด์ ทำให้ขาดดุลการค้ากับประเทศไทยจำนวน 150 ล้านปอนด์ ขาดดุลเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 10.3 โดยปี 2008 ทั้งปี อังกฤษส่งออกสินนค้าไปประเทศไทยรวม 751 ล้านปอนด์ เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 23.9 แต่มีการนำเข้าจากประเทศไทยรวม 2,408 ล้านปอนด์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.1 ทำให้มียอดขาดดุลการค้ากับประเทศไทยรวม 1,657 ล้านปอนด์ ขาดดุลเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.4

โดยรวมแล้วในปี 2008 อังกฤษมียอดส่งออกสินค้าและบริการรวม 413.5 พันล้านปอนด์ (เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 11.7) และมีการนำเข้ารวม 459.6 พันล้านปอนด์ (เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 10.3) ทำให้ขาดดุลการค้าและบริการทั้งสิ้น 46.1 พันล้านปอนด์ (ขาดดุลลดลงจากปีก่อนหน้าเล็กน้อยร้อยละ 1.1) แยกแป็นการขาดดุลการค้า 93.2 พันล้านปอนด์ (ขาดดุลเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4) แต่เกินดุลบริการ 47.1 พันล้านปอนด์ (เกินดุลเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.4))

ประเด็นข่าววสำคัญ ๆ ในรอบเดือนที่ผ่านมา
  • ผลสำรวจราคาที่อยู่อาศัยของ Halifax ประจำเดือนมกราคมพบว่าราคาเฉลี่ยของที่อยู่อาศัยทั่วประเทศเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าร้อยละ 1.9 แต่ยังคงลดลงร้อยละ 17.2 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 11 เดือนที่ราคาเฉลี่ยของที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า อย่างไรก็ดี หากเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้าแล้ว ราคาที่อยู่อาศัยยังคงลดลงเป็นเดือนที่ 10 ติดต่อกันและถือเป็นเดือนที่มีอัตราการลดลงที่สูงที่สุด (5 กุมภาพันธ์ 2009)
  • กระทรวงการคลังกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขกการเข้าร่วมโครงการให้คววามคุ้มครองผลขาดทุนในททรัพย์สินที่สถถาบันการเงินนมีอยู่ หรือ Asset Protection Scheme หลังจากที่รัฐบาลบรรจุมาตรกการนี้ในคราววประกาศมาตตรการฟื้นฟูภภาคการเงินรรอบที่สองเมื่ออเดือนมกราคคมที่ผ่านมา โดยสถาบันการเงินทที่เข้าโครงการจะต้องรับผลขาดทุนร้อยละ 10 แรกของมูลค่าสินทรัพย์ ผลขาดทุนส่วนที่เหลือจะแบ่งกันระหว่างสถาบันการเงินและรัฐบาลในอัตราร้อยละ 10 และ 90 ตามลำดับ รัฐบาลจะคิดค่าธรรมเนียมในอัตราร้อยยละ 2 ของมูลค่ากองสินทรัพย์ที่ได้รับความคุ้มครอง แลละสถาบันการเงินต้องให้สัญญาว่าจะเพิ่มปริมาณสินเชื่อเข้าระบบเศรษฐกิจในปี 2009 และ 2010 โดย RBS เป็นธนาคารแรกที่ส่งสินทรัพย์ 325 พันล้านปอนด์เข้าร่วมโครงการและคาดว่าทั้ง Lloyds Banking Group และ Barclays Bank จะนำสินทรัพย์เข้าร่วมโครงการติดตามมา (26 กุมภาพันธ์ 2009)
  • กระทรวงการคลังช่วยเพิ่มเงินกองทุนชั้นที่ 1 (Core Tier 1) ให้กับ RBS จำนวน 19.5 พันล้านปอนด์และผูกพันที่จะเพิ่มให้อีก 6 พันล้านปอนด์หากจำเป็น โดยการรับซื้อหุ้น B Share ของธนาคารซึ่งเป็นหุ้นประเภทที่มีบุริมสิทธิในเงินปันผล ทำให้ยอดเงินเพิ่มทุนของรัฐบาลให้กับ RBS รวมเป็น 39.5 พันล้านปอนด์ หลังจากที่ก่อนหน้านี้เคยช่วยเพิ่มทุนไปแล้ว 20 พันล้านปอนด์ทั้งในรูปของหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ซึ่งการช่วยเหลือเพิ่มครั้งนี้คาดว่าจะทำให้ Core Tier 1 เพิ่มจากร้อยละ 6.8 เมื่อตอนสิ้นปี 2008 เป็นร้อยละ 12.4 โดยในวันเดียวกัน RBS ประกาศผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 24.1 พันล้านปอนด์ เนื่องจากขาดทุนจากการลงทุนในตราสาร ABS และการซื้อกิจการธนาคารABN Amro เมื่อต้นปี 2008 (26 กุมภาพันธ์ 2009)
  • Financial Services Authority (FSA) ออกแนวปฏิบัติที่ดีเกี่ยวกับการจ่ายผลตอบแทนของสถาบันการเงิน (Code of practice on remuneration policies) เพื่อให้สถาบันการเงินถือปฏิบัติ โดย FSA ได้กำหนดเป็นหลักการทั่วไป (general principle) ว่า "สถาบันการเงินต้องทำให้มั่นใจได้ว่านโยบายเกี่ยวกับการจ่ายผลตอบแทนจะต้องเป็นไปโดยสอดคล้องกับการจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ" ทั้งนี้ FSA เห็นว่าการที่สถาบันการเงินมีนโยบายการจ่ายผลตอบแทนให้พนักงานหรือผู้บริหารไม่สอดคล้องกับการจัดการกับความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว จะเป็นตัวบั่นทอนกิจการ (26 กุมภาพันธ์ 2009)

ที่มา : Macroeconomic Analysis Group : Fiscal Policy Office

Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ