รายงานภาวะเศรษฐกิจรายสัปดาห์ระหว่างวันที่ 30 มีนาคม - 3 เมษายน 2552

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday April 7, 2009 12:04 —กระทรวงการคลัง

Economic Indicators: This Week

อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือน มี.ค. 52 หดตัวร้อยละ -0.2 ต่อปี เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่หดตัวร้อยละ -0.1 ต่อปี นับเป็นการหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่สาม แต่หากพิจารณาเทียบกับเดือนก่อนหน้า พบว่าดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปในเดือนนี้ขยายตัวร้อยละ 0.5 โดยมีปัจจัยสำคัญคือราคาน้ำมันเชื้อเพลิงสูงขึ้นร้อยละ 4.7 ตามการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบโลก ประกอบกับดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่มปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 เนื่องจากราคาผักและผลไม้เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4 สาเหตุจากสภาพอากาศที่แห้งแล้งในช่วงฤดูร้อนทำให้ผลผลิตออกสู่ตลาดน้อยลง ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเดือนมี.ค. 52 ขยายตัวที่ร้อยละ 1.5 ต่อปี

ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างในเดือน มี.ค. 52 หดตัวร้อยละ -12.0 ต่อปีส่งผลให้ไตรมาสแรกหดตัวร้อยละ -9.1 ต่อปี โดยสาเหตุที่ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างหดตัวลดลงมาจาก การลดลงของดัชนีวัสดุก่อสร้างในหมวดเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กหดตัวร้อยละ -32.7 ต่อปี ซึ่งเป็นการลดลงในส่วนของเหล็กชนิดโครงสร้างรูปพรรณต่างๆ ที่ใช้ในการก่อสร้างเป็นหลัก อันเป็นไปตามความตอ้ งการซื้อวัสดุกอ่ สร้างที่ลดลง หลังจากภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจได้ทำให้การลงทุนก่อสร้างชะลอลงมาก

สินเชื่อภาคเอกชนและเงินฝากของสถาบันรับฝากเงินปรับตัวลดลงในเดือน ก.พ. 2552 สถาบันรับฝากเงิน (ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน สถาบันการเงินเฉพาะกิจ สหกรณ์ออมทรัพย์ และกองทุนรวมตลาดเงิน) มีสินเชื่อในเดือน ก.พ. 2552 ขยายตัวร้อยละ 6.8 ลดลงจากในเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ร้อยละ 9.0 โดยสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ระดับ 8,436.4 พันล้านบาท ต่ำกว่าเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 8,513.4 พันล้านบาท หรือคิดเป็นการหดตัวที่ร้อยละ -0.9 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน เป็นการชะลอลงในสินเชื่อที่ให้แก่ภาคธุรกิจตามภาวะเศรษฐกิจและจากการที่สถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ขณะเดียวกัน เงินฝากของสถาบันรับฝากเงินในเดือน ก.พ. 2552 ชะลอลงมาอยู่ที่ร้อยละ 6.0 จากเดิมขยายตัวร้อยละ 7.1 ในเดือน ก่อนหน้า จากการย้ายเงินฝากในธนาคารพาณิชย์มาลงทุนในสินทรัพย์อื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า โดยในเดือน ก.พ. 2552 มีเงินฝากจำนวน 9,364.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 9,298.4 พันล้านบาท หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 0.7 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน

ยอดจำหน่ายปูนซีเมนต์และเหล็กในประเทศเดือน ก.พ. 52 หดตัวลงร้อยละ -13.8 และ -43.8 ต่อปี ตามลำดับ หดตัวลดลงต่อเนื่องจากปีก่อน โดยเป็นผลมาจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยที่หดตัวลงอย่างมาก กระทบต่อการจ้างงานที่ลดลง รวมถึงการบริโภค การลงทุนภายในประเทศที่ชะลอลง โดยเฉพาะการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ลดลง ส่งผลให้ยอดจำหน่ายปูนซีเมนต์และเหล็กหดตัวลงตามภาวะดังกล่าว

ดุลบัญชีเดินสะพัดเดือน ก.พ. 52 เกินดุล 4.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่เกินดุล 2.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากดุลการค้าเกินดุล 3.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพราะมูลค่านำเข้าลดลงเร็วกว่ามูลค่าส่งออก ขณะที่ ดุลบริการเกินดุลเล็กน้อยที่ 0.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

Economic Indicators: Next Week

การประชุมคณะกรรมการการกำหนดนโยบายในวันที่ 8 เม.ย. 52 คาดว่า ธปท.จะมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.50 ต่อปีคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบาย RP 1 วัน จะปรับลดจากร้อยละ 1.50 มาเป็นร้อยละ 1.00 ต่อปี โดยมีปัจจัยสำคัญจากการที่ความเสี่ยงต่อการหดตัวทางเศรษฐกิจยังเพิ่มสูงขึ้น อัตราเงินเฟ้อปรับตัวลดลง รวมถึงการคาดการณ์ของตลาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายน่าจะปรับลดลงในระยะต่อไปจากการที่อัตราดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ได้ปรับตัวลดลงโดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรทุกช่วงอายุปรับตัวลดลงในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา โดยผลตอบแทนพันธบัตร 1 ปี และ 10 ปี ใน 1 เดือนที่ผ่านมาปรับตัวลดลงร้อยละ -0.23 และ -0.34

Foreign Exchange Review

ค่าเงินสกุลคู่ค้าหลักของไทยเทียบกับดอลลาร์สหรัฐในสัปดาห์ที่ผ่านมาแข็งค่าขึ้นแทบทุกสกุลยกเว้นค่าเงินเยน หยวนและดอลลาร์ฮ่องกง

ค่าเงินของประเทศคู่ค้าหลักของไทยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องจากช่วงสัปดาห์ก่อนหน้าเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐโดยได้รับปัจจัยหลักมาจากผลการประชุมผู้นำประเทศ G-20 ที่มีมติเห็นชอบร่วมกันให้เงินสนับสนุน Emergency stimulus มูลค่า 1.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐซึ่งจะให้กับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ 850 พันล้านดอลลาร์สหรัฐและที่เหลือเป็นเงินช่วยเหลือเกี่ยวกับ Global trade financing นอกจากนี้ ยังหารือเรื่องการเพิ่มความเข้มงวดในการกำกับดูแลตลาดการเงิน และมาตรการในการแก้ไขเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก ซึ่งผลการประชุมดังกล่าวเป็นปัจจัยบวกทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจที่จะลงทุนมากขึ้น จึงหันไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ทำให้ค่าเงินยูโร และค่าเงินเอเชียแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ

นอกจากนั้นตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ประกาศออกมาในช่วงปลายเดือนมี.ค. เริ่มมีแนวโน้มดีขึ้น เช่น ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม (ISM Index) ยอดขายบ้านกำลังจะสร้าง (Pending Home Sale) ยอดขายรถยนต์นั่ง คำสั่งสินค้าโรงงานและดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจใกล้จุดต่ำ สุด และมีแนวโน้มเริ่มฟื้นตัวขึ้นในช่วงต่อไป ทำให้นักลงทุนเริ่มเชื่อมั่นที่จะลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมากขึ้น นักลงทุนจึงลดความต้องการถือครองเงินดอลลาร์สหรัฐในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย (safe haven) ลง ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลอื่น ๆ

นอกจากนั้น ค่าเงินยูโรเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐได้รับปัจจัยบวกจากความต้องการที่จะถือสินทรัพย์เสี่ยงมีมากขึ้น แม้ว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลงเพียงร้อยละ 0.25 ต่ำกว่าที่ตลาดคาดก็ตาม ในขณะที่ค่าเงินปอนด์สเตอลิงค์ต่อดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นมากถึงร้อยละ 2.7 เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อน เนื่องจากตัวเลขราคาบ้านของอังกฤษ (Nationwide House price)ขยายตัวร้อยละ 0.9 ซึ่งเป็นการขยายตัวครั้งแรกในรอบ 2 ปี และตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคของอังกฤษที่ประกาศออกมาสูงกว่าคาดเล็กน้อย

ด้านค่าเงินเยนในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาอ่อนค่าลงมาต่อเนื่องที่ระดับค่อนข้างมากที่ร้อยละ 2.2 เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจากปัจจัยภาวะเศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่นที่ยังมีแนวโน้มแย่ลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์นี้มีการประกาศตัวเลขการว่างงานของประเทศญี่ปุ่นซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นมาสูงที่สุดในรอบ 3 ปีที่ร้อยละ 4.4 ของกำลังแรงงานรวมในเดือน ก.พ.และดัชนีความเชื่อมั่นต่อภาคธุรกิจ Tankan ประจำเดือน มี.ค. 52 ที่ยังคงลดต่ำลงมามากที่สุดในรอบ 35 ปีที่ -58 จุดประกอบกับปริมาณเงินส่งกลับในช่วงสิ้นปีงบประมาณของญี่ปุ่นเริ่มเบาบางลงทำให้ปริมาณธุรกรรมไม่หนาแน่นมากนัก

ด้านสกุลเงินเอเชียแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐโดยมีปัจจัยหลักได้แก่การลดการถือดอลลาร์สหรัฐในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัยเพื่อมาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ในภูมิภาคมากขึ้น โดยตลาดหลักทรัพย์ในภูมิภาคปรับตัวขึ้นค่อนข้างมากในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาจากความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้นจากผลการประชุมผู้นำ G-20 และตัวเลขที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐ ฯ ซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้ผ่านจุดที่ตกต่ำที่สุดไปแล้วและกำลังจะปรับตัวดีขึ้น

ในขณะที่ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐโดยแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยที่ร้อยละ 0.3 และยังคงอยู่ในช่วงระดับ 35.2 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับค่าเงินสกุลอื่นในภูมิภาคดัชนีค่าเงินบาท (NEER) เมื่อเทียบกับคู่ค้าหลัก 12 สกุลเงิน (ดอลลาร์สหรัฐยูโร เยน หยวน ดอลลาร์ฮ่องกง ดอลลาร์ไต้หวัน วอนเกาหลี ดอลลาร์สิงคโปร์รูเปียห์อินโดนีเซีย ริงกิตมาเลเซีย และเปโซฟิลิปปินส์) ณ วันที่ 3 เม.ย. 52แข็งค่าขึ้นจากค่าเงิน ณ วันที่ 1 ม.ค. 52 ที่ร้อยละ 2.16 และแข็งค่าขึ้นจากสัปดาห์ที่แล้วเล็กน้อยที่อยู่ที่ร้อยละ 1.92

เงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยน (ร้อยละ 8.6) รูเปียห์อินโดนิเซีย(ร้อยละ 4.3) ดอลลาร์สิงคโปร์ (ร้อยละ 2.7) วอนเกาหลี (ร้อยละ 2.9) ยูโร (ร้อยละ 2.3) ริงกิตมาเลเซีย (ร้อยละ 2.0) ดอลลาร์ไต้หวัน (ร้อยละ -0.1) แต่อ่อนค่าเมื่อเทียบกับปอนด์สเตอลิงค์ (ร้อยละ -2.2) ดอลลาร์สหรัฐ (ร้อยละ -1.4) ดอลลาร์ฮ่องกง (ร้อยละ -1.4) หยวน (ร้อยละ -1.3) และเปโซฟิลิปปินส์ (ร้อยละ -0.7)ตามลำดับ

Foreign Exchange and Reserves

ในสัปดาห์ก่อน ณ วันที่ 27 มี.ค.52 ทุนสำรองระหว่างประเทศ (Net Reserve)ลดลงสุทธิ -0.85 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากสัปดาห์ก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับ 120.04 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นการลดลงของ Gross Reserve จำนวน -0.62 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และ Forward Obligation จำนวน -0.24 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสาเหตุที่ทำให้ทุนสำรองลดลงส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการตีค่ามูลค่าทุนสำรองในรูปดอลลาร์สหรัฐลดลง (Valuation Loss) จากการที่ค่าเงิน EU และ JPY อ่อนค่าลงในช่วงสัปดาห์ดังกล่าวถึงร้อยละ -2.07 และ 2.03 ตามลำดับ ประกอบกับคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) น่าจะเข้าบริหารค่าเงินบาทเพื่อให้มีเสถียรภาพในสภาวะเศรษฐกิจโลกมีความผันผวน อย่างไรก็ตาม ค่าเงินบาทในสัปดาห์ที่ผ่านมาแข็งค่าขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า (20 มี.ค.52) ร้อยละ -0.27 จาก 35.34 บาท ต่อดอลลาร์สหรัฐ เป็น 35.25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในสัปดาห์นี้

Major Trading Partners’ Economies: This Week

ISM Manufacturing Index ของสหรัฐฯเดือนมี.ค. 52 ลดลงต่อเนื่องต่ำ กว่าระดับ 40 เป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกัน อยู่ที่ 36.3 ปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 35.8 แต่ยังเป็นสัญญาณว่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมและการจ้างงานของสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะถดถอย

Manufacturing PMI ของกลุ่มประเทศยูโรโซนเดือน ก.พ. 52 อยู่ที่ระดับ 33.5 ลดลงจากเดือน ม.ค. 52 ที่ระดับ 34.4 ผลจากภาวะเศรษฐกิจ ถดถอยของกลุ่มประเทศยูโรโซนที่ยังคงไม่มีสัญญานฟื้นตัวขึ้นในอนาคตอันใกล้ ส่งผลให้ยอดคำสั่งซื้อสินค้าลดลง และผู้ประกอบการลดปริมาณการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมลง ทั้งนี้ สัญญานความอ่อนแอของภาคอุตสาหกรรมยูโรโซนยังส่งผลให้ผู้ประกอบการลดการจ้างงานเป็นจำนวนมากอีกด้วย

ดัชนีอุตสาหกรรมจีนโดยบริษัท CLSA เดือนมี.ค.52 อยู่ที่ระดับต่ำกว่า 50 เป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกันที่ระดับ 44.8 ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 45.1 สะท้อนให้เห็นถึงการหดตัวของภาคอุตสาหกรรมจีนอย่างต่อเนื่องถึงแม้ทางการจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมก็ตาม

ดัชนีการจัดซื้อจากโรงงาน (PMI) ของญี่ปุ่นในเดือน มี.ค.52 ได้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 33.8 จาก 31.6 ในเดือนก่อนหน้า แต่ยังคงต่ำกว่า 50 เป็นเดือนที่ 13 ติดต่อกัน สะท้อนว่าการผลิตของอุตสาหกรรมญี่ปุ่นยังคงอยู่ในภาวะหดตัว เนื่องจากภาวะอุปสงค์ต่อสินค้าญี่ปุ่นในตลาดโลกยังคงอยู่ในภาวะหดตัว

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ เดือนมี.ค.52 อยู่ที่ระดับ 26.0 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 25.3 แสดงให้เห็นถึงความกังวลเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯในปัจจุบัน โดยเฉพาะผลจากภาวะว่างงาน แนวโน้มการทำธุรกิจ และความมั่งคั่งที่ลดลง อย่างไรก็ตามความคาดหวังในอนาคตปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย สะท้อนว่าแผนกระตุ้นเศรษฐกิจและภาคการเงินน่าจะช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นผู้บริโภคได้ในอนาคต

ดัชนีทังคันของญี่ปุ่นในส่วนของภาคการผลิตติดลบถึงร้อยละ -58 ในไตรมาส 1 ของปี 52 จาก -24 ในช่วงไตรมาสก่อนหน้า สะท้อนความเชื่อมั่นที่ตกต่ำที่สุดของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ หลังจากที่ประเทศเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยนับจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมาขณะที่ภาคที่มิใช่ภาคอุตสาหกรรม ลดลงร้อยละ -38 โดยรวมทั้ง 2 ภาคแล้วหดตัวลงร้อยละ -46

อัตราเงินเฟ้อของกลุ่มประเทศยูโรโซนเดือนมีนาคมอยู่ที่ร้อยละ 0.6 ต่อปี ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ร้อยละ 1.2 ต่อปี และเป็นระดับต่ำสุดในประวัติศาสตร์ ผลจากการลดลงของราคาน้ำมันและอาหาร และปัจจัยฐานสูง นอกจากนี้ อุปสงค์ที่ลดลงจากปัญหาการว่างงานที่เพิ่มขึ้นยังส่งผลให้ผู้ประกอบการไม่สามารถปรับเพิ่มราคาสินค้าได้มากนัก

มูลค่าการส่งออกสินค้าและนำเข้าสินค้าของเกาหลีใต้เดือนมี.ค.52 หดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 ที่ร้อยละ -21.2 และ -36.0 ต่อปี ตามลำดับหดตัวเร่งขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ร้อยละ -18.3 และ -30.9 ต่อปี ตามลำดับอย่างไรก็ตาม การส่งออกของเกาหลีใต้เริ่มมีแนวโน้มดีขึ้น จากยอดส่งออกต่อวันทำการในเดือนมี.ค.ที่ปรับตัวสูงขึ้นที่ 1.18 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากเดือนม.ค.และก.พ.52 ที่ 0.99 และ 1.16 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับทั้งนี้ การนำเข้าที่หดตัวเร่งมากกว่าการส่งออก ทำให้ดุลการค้าเกาหลีใต้เดือนมี.ค.52 เกินดุลที่ 4.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่เกินดุลที่ 2.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

GDP เวียดนามไตรมาส 1 ปี 52 ขยายตัวที่ร้อยละ 3.1 ต่อปี ชะลอลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 5.5 ต่อปี ผลจากการชะลอตัวลงมากในด้านการผลิต โดยเฉพาะผลผลิตอุตสาหกรรมและผลผลิตเกษตรที่ขยายตัวร้อยละ 0.5 และร้อยละ 0.6 ต่อปี จากไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 6.4 และร้อยละ 3.9 ต่อปี ตามลำดับ ในขณะที่ด้านการบริการ พบว่าขยายตัวชะลอลงเล็กน้อยที่ร้อยละ 5.6 จากร้อยละ 7.1 ในไตรมาสก่อนหน้า

มูลค่าการส่งออกสินค้าของอินโดนีเซียเดือน ก.พ. 52 หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ที่ร้อยละ -32.9 ต่อปี ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่หดตัวร้อยละ -36.1 ต่อปี โดยมูลค่าการส่งออกที่หักสินค้าพลังงานไปยังสหรัฐฯและญี่ปุ่นหดตัวร้อยละ -31.1 และ -31.4 ต่อปี ตามลำดับ ในขณะที่การส่งออกไปจีน ขยายตัวร้อยละ 20.3 ต่อปี มูลค่าการนำเข้าสินค้าในเดือนก.พ.52 ขยายตัวร้อยละ -40.9 ต่อปี จากเดือนก่อนที่หดตัวร้อยละ -34.0ต่อปี โดยสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าวัตถุดิบ และสินค้าทุน หดตัวร้อยละ -43.9 -46.3 และ -10.3 ต่อปี

ที่มา: Macroeconomic Analysis Group: Fiscal Policy Office

Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ