ภาวะเศรษฐกิจสหราชอาณาจักร มีนาคม 2552

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday April 16, 2009 13:09 —กระทรวงการคลัง

ภาพรวมเศรษฐกิจ ( มีนาคม 2552 )

ดัชนีชี้วัดการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมกราคมหดตัวลงแรงถึงร้อยละ 5.6

ดัชนีชี้วัดการผลิตภาคอุตสาหกรรม (Industrial Production Index: IPI) ในเดือนมกราคมซึ่งเป็นเดือนแรกของปีปรับตัวลดลงค่อนข้างแรงถึง 2.3 จุดจากเดือนก่อนหน้ามาอยยู่ที่ระดับ 89.3 จุด โดยหากกพิจารณาจากค่าเฉลี่ยของดัชนีช่วง 3 เดือน (พฤศจิกายน-มกราคม) พบว่าลดลงจากค่าเฉลี่ยของช่วง 3 เดือนก่อนหน้า (สิงหาคม-ตุลาคมม) ถึงร้อยละ 5.6 เทียบกับที่ลดลงร้อยละ 4.55 เมื่อเดือนที่แล้ว นับเป็นครั้งแรกนับจากปี 1993 ที่ดัชนีอยู่ต่ำกว่าระดับ 90 จุด สะท้อนความเป็นไปได้ว่าผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาสแรกของปีนี้อาจจะหดตัวลงแรงกว่าที่หดตัวในไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว นับเป็นเดือนที่ 13 ติดต่อกันที่ดัชนีหดตัวลงต่อเนื่อง โดยในเดือนนี้ดัชนนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมในสาขาสินค้าอุตสาหกรรรม (Manufacturing) ซึ่งมีน้ำหนักร้อยละ 79 ลดลงแรงถึงร้อยละ 6.4 จากช่วง 3 เดือนก่อนหน้า นับเป็นเดือนที่ 10 ติดต่อกันที่ดัชนีขยายตัวติดลบดัชนีผลผผลิตด้านพลังงานไฟฟ้า น้ำ และ ก๊าซ ซึ่งมีน้ำหนักร้อยละ 9 ลดลงถึงร้อยละ 1.0 ขณะที่ดัชนีผลผลิตภาคเหมืองแร่ ทรัพยากร ธรรมชาติ และน้ำมัน ซึ่งมีน้ำหนักร้อยละ 12 หดตัวลงถึงร้อยละ 3.1

ทั้งนี้ หากพิจารณาดัชนีการผลิตตามระดับขั้นของผลผลิตพบว่าค่าเฉลี่ย 3 เดือนของทุกหมวดลดลงแรงจากค่าเฉลี่ยของ 3 เดือนก่อนหน้า โดยดัชนีผลผลิตสินค้าขั้นกลางและพลังงาน (Intermediate goods and energy) ซึ่งมีน้ำหนักร้อยลละ 48 ลดลงจจากรอบ 3 เดือนก่อนหน้าร้อยละ 6.3 ดัชนีผลผลิตสินค้าเพื่อการบริโภคที่ไม่คงทน (Consumer non-durable) ซึ่งมีน้ำหนักร้ออยละ 27 ลดลงร้อยละ 2.5 และสินค้าทุน (Capital goods) ซึ่งมีน้ำหนักร้อยละ 21 ในเดือนนี้ยังคงลดลงค่อนแรงต่อเนื่องถึงร้อยละ 7.4 จากรอบ 3 เดือนก่อนหน้า และดัชนีสินค้าเพื่อการบริโภคที่คงทน(Consumer durable) ซึ่งมีน้ำหนักร้อยละ 3.6 ลดลงแรงถึงร้อยละ 8.9

อัตราแงินเฟ้อ : CPI เดือนกุมมภาพันธ์กลลับเพิ่มขึ้นเป็ป็นร้อยละ 3.2

ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในเดือนกุมภาพันธ์กลับปรับเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 3.2 เหนือความคาดหมายของตลาดที่เชื่อว่าเงินเฟ้ออน่าจะปรับลดลงเหลือเพียงร้อยละ 2.6 จากที่อยู่ที่ระดับร้อยละ 3.0 ในเดือนมกราคม เนื่องจากก่อนหน้านี้อัตราเงินเฟ้อมีการปรับตัวลดลงโดยตลอดติดตต่อกัน 4 เดือน ซึ่งเหตุผลหลักที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อในเดือนนี้ไม่ลดลงแต่กลับสูงขึ้นน่าจะเป็นผลมาจากการที่ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลงมากในนช่วงที่ผ่านมาทำให้ราคาสินค้านำเข้าเพิ่มสูงขึ้นโดยเฉพาะในหมวดสินค้าประเภทอาหาร โดยหมวดรายจ่ายที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อในเดือนนี้เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีที่แล้วมาจากหมวดอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.5 เทียบกับร้อยละ 10.2 ในเดือนที่แล้ว หมวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาสูบที่เร่งตัวขึ้นเป็นร้อยละ 5.7 จากร้อยละ 5.3 ในแดือนที่แล้ว หมวดเฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์ตกแต่งบ้านที่เร่งตัวขึ้นเป็นร้อยละ 3.2 จากร้อยละ 2.2 เมื่อเดือนที่แล้ว สำหรับหมวดสินค้าที่มีระดับราคาลดลงเมื่อเทียบกับปีที่แล้วยังคงได้แก่หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้าที่มีระดับราคาลดลงร้อยละ 9.3 หมวดขนส่งคมนาคมมีราคาลดลงร้อยละ 1.4 และหมวดสื่อสารราคาลดลงร้อยละ 0.7

ทางด้านดัชนี (Retail Price Index: RPI) ในเดือนนี้ลดลงเล็กน้อยจากเดือนที่แล้วโดยลงมาเหลือเพียงร้อยละ 0.0 จากร้อยละ 0.1 ในเดือนที่แล้ว โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อในเดือนนี้มาจากหมวดอาหารและภัตตาคารที่มีระดับราคาเร่งตัวขึ้นเป็นขึ้นร้อยละ 9.1 เทียบกับร้อยละ 8.0 ในเดือนที่แล้ว หมวดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และยาสูบที่เร่งตัวขึ้นเป็นร้อยละ 5.1 เทียบกับร้อยละ 5.0 ในเดือนที่แล้ว ขณะที่ราคาสินค้าหมวดอื่นๆ ที่เหลือมีราคาลดลงจากปีที่แล้วทั้งสสิ้น ไม่ว่าจะเป็นหมวดที่อยู่อาศัยและรายจ่ายในครัวเรือนลดลงร้อยละ 2.7 เทียบกับที่ลดลงร้อยละ 1.3 ในเดือนที่แล้วส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่อัตราดอกเบี้ยทยอยลดลงอย่างต่อเนื่องประกอบกับค่าเช่าบ้านก็เริ่มลดลงตามการซบเซาของภาคอสังหาริมทรัพย์ หมวดท่องเที่ยวและการหย่อนใจลดลจากปีที่แล้วร้อยละ 2.3 เทียบกับที่ลดลงร้อยละ 3.3 ในเดือนที่แล้ว และหมวดรายจ่ายส่วนบุคคลลดลงร้อยละ 1.7 โดยเดือนที่แล้วลดลงร้อยละ 2.4

อัตราการว่างงาน : เดือนมกราคมขยับขึ้นเกิน 2 ล้านคน

ในรอบ 3 เดือนสิ้นสุดเดือนมกราคม (พฤศจิกายน-มกราคม) ทั้งจำนวนผู้มีงานทำและอัตราการจ้างงานต่างก็ลดลง กล่าวคือ จำนวนผู้มีงานทำ (employment level) มีจำนวน 29.379 ล้านคน ไม่เปลี่ยนแปลงจากรอบ 3 เดือนก่อนหน้า (สิงหาคม-ตุลาคม) แต่ลดลงถึง 75,000 คน หรือลดลงร้อยละ 0.3 จากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว ทำให้อัตราการจ้างงานในเดือนนี้ลดลงเล็กน้อยเหลือร้อยละ 74.1 ของผู้ที่อยู่ในวัยทำงานทั้งหมด (working age employment rate) หรือลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าร้อยละ 0.1

ทางด้านจำนวนผู้ว่างงานและอัตราการว่างงานในรอบสามเดือนจนถึงเดือนมกราคมยังคงขยับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องต่อไป โดยมียอดผู้ว่างงานเฉลี่ย 2.03 ล้านคน เพิ่มขึ้น 165,000 คนจากรอบไตรมาสก่อนหน้า หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 8.9 และเพิ่มขึ้นถึง 421,000 คนจากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.2 ส่งผลให้อัตราการว่างงานเฉลี่ยในรอบไตรมาสนี้เพิ่มขึ้นแตะระดับร้อยละ 6.5 เทียบกับร้อยละ 6.0 ในรอบไตรมาสก่อนหน้า นับเป็นครั้งแรกที่จำนวนผู้ว่างงานอยู่เหนือระดับ 2 ล้านคน นับจากเดือนกรกฎาคม 1997

สำหรับดัชนีชี้วัดรายได้เฉลี่ยของแรงงานไม่รวมเงินโบนัส (GB average earnings index: AEI) ในรอบไตรมาสสิ้นสุดเดือนมกราคมเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5 จากปีที่แล้ว (ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าเล็กน้อย) ขณะที่ดัชนีที่รวมรายได้จากโบนัสเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 จากปีที่แล้ว (ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าร้อยละ 1.3)

ปริมาณเงินและสินเชื่อ : M4 ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่สินเชื่อชะลอตัวลง

ปริมาณเงินตามความหมายกว้าง (M4) ในเดือนกุมภาพันธ์เพิ่มขึ้น 28.8 พันล้านปอนด์ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.8 จากเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว เทียบกับที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.4 เมื่อเดือนมกราคม ขณะที่ปริมาณสินเชื่อตามความหมายกว้าง (M4 lending) ในเดือนกุมภาพันธ์เพิ่มขึ้นเพียง 21.7 พันล้านปอนด์ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.0 เพิ่มขึ้นในอัตราเดียวกันกับเดือนที่แล้ว

อย่างไรก็ดี หากวิเคราะห์ลงในรายละเอียดของการปปล่อยสินเชื่อขของสถาบันการเงินไปสสู่ภาคเศรษฐกกิจ (sectoral analysis) พบว่ามีการชะลอตัวลงอย่างชัดเจน โดยยสินเชื่อที่ให้แก่ภาคธุรกิจ (M4 lending to privatee non-financcial corporattions) มียอดคงค้าง 500,290 ล้านปอนด์ ขยายตัวจากปีที่แล้วร้อยละ 3.2 ลดลงจากกร้อยละ 4.8 ในเดือนก่อนหน้า ขณะที่สินเชื่อที่ให้แก่ภาคครัวเรือน (M4 lending to household sector) มียอดคงค้าง 948,605 ล้านปอนด์ คิดเป็นอัตราการขยายตัวติดลบร้อยละ 5.0 จากปีที่แล้ว เทียบกับที่ติดลลบร้อยละ 4.4 ในเดือนที่แล้ว

อัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยน

Bank of England ลดอัตราดอกเบี้ยลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้งเหลือเพียงร้อยละ 0.5 ขณะทื่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไม่ลดลงตามสัดส่วน

เมื่อวันที่ 5 มีนาคม คณะกรรมการนโยบบายการเงิน (MPC) ของธนาคารกลางงอังกฤษ มีมตติเอกฉันท์ 9:0 ให้ลดอัตราดอกเบี้ย Bank rate ลงออีกร้อยละ 0.50 เหลือร้อยละ 0.50 ทำสสถิติเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้งนับตั้งแต่มีการก่อตั้ง Bank of England ในปี 1694 หรือ 315 ปีมาแล้ว ซึ่งคณะกรรมการได้ให้เหตุผลของการลดอัตราดอกเบี้ยลงในครั้งนี้ว่าภาวะเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 ของปีหดตัวลงค่อนลึกและผลสำรวจก็บ่งชี้ว่าสภาพดังกล่าวจะยังดำรงอยู่ในช่วงแรกของปี 2009 ประกอบกับภาคธุรกิจและครัวเรือนกำลังประสบปัญหาการเข้มงวดจากการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินเป็นอย่างมากส่งผลต่อการชะลอตัวของการใช้จ่ายของผู้บริโภค การลดการลงทุนและการจ้างงานของภาคธุรกิจพร้อมกับชี้ว่าการดำเนินนโยบายการเงินและนโยบายการคลังแบบผ่อนคลายในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับการอ่อนค่าของเงินปอนด์และแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่ชะลอลงจะเป็นตัวกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กำลังถดถอย อย่างไรก็ดี โอกาสที่อัตราเงินเฟ้อจะลดลงต่ำกว่าร้อยลละ 2 ลึกมากเกินไป (undershoot) ณ ระดับอัตราดอกเบี้ยในขณะนี้ยังคงมีความเป็นไปได้สูง จึงเห็นควรลดลงอัตราดอกเบี้ยลงอีกร้อยละ 0.50 นอกจากนี้ คณะกรรมการยังงเห็นควรกำหหนดวงเงินรับซื้อสินททรัพย์ภาคเอกชนตามโครงการ Asset Purchased Facility เป็นจำนวน 75 พันล้านปอนด์ ตามนโยบายเพิ่มปริมาณเงิน Quantitative Monetary Easing โดยการประชุมครั้งต่อไปจะมีขึ้นในวันที่ 9 เมษายน 2009

ในเดือนกุมภาพันธ์อัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยชนิดลอยตัว (flexible rate) อยู่ที่ระดับร้อยละ 4.41 ลดลง 32 basis points จากเดือนมกราคมตามการลดลงขออง Bank rate ของธนาคารกลางอังกกฤษ ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยชนิดที่อิงอัตราดอกเบี้ยพื้นฐาน (base rate tracker mortgage) อยู่ที่ระดับร้อยละ 4.32 ลดลง 19 basis points จากเดือนที่แล้ว อย่างไรก็ดี ส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยทั้งประเภท flexible rate และ tracker rate กับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Bank rate) ยังคงมีอยู่สูงร้อยละ 3.33 และ 3.24 ตามลำดับ ซึ่งสะท้อนถึงการที่สถาบันการเงินไม่ได้ส่งผ่านผลของการลดอัตราดอกเบี้ย Bank rate ทั้งหมดให้กับลูกค้าเงินกู้ ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลมาจากความเสี่ยงจากการปล่อยสินเชื่อยังคงอยู่ในระดับสูง ประกอบกับต้นทุนทางการเงินขอองธนาคารจะอิงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมระหว่างธนาคาร (interbank rate) เป็นหลักมากกว่า bank rate

สำหรับโครงสร้างอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย (average yield curve) ประจำเดือนมีนาคมพบว่าอัตราผลตออบแทนระยะสั้นอายุต่ำกว่า 1 ปีมีการปรับลดลงระหว่าง 5-28 basis points ต่อเนื่องจากเดือนนก่อนหน้า ขณะที่อัตราผลตอบแทนระยะยาวอายุ 5 ปี 10 ปี และ 20 ปีปรับตัวลดลงระหหว่าง 24-44 basis points ซึ่งโดยรวมแล้วโครงสร้างอัตราผลตอบแทนลดลงโดยตลอดตามการลดลงของอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Bank of England ที่ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมามีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงถึงร้อยละ 4.0 และส่งผลให้เส้นโครงสร้างอัตราผลตอบแทนมีลักษณะเป็นปกติมากขึ้น (normal yield curve) กล่าวคือ อัตราผลตอบแทนระยะสั้นต่ำกว่าอัตราผลลตอบแทนระยะยาว แม้อัตราผลตอบแทนระยะสั้นต่ำกว่า 1 ปีจะมีลักษณะแบบนราบ (flat yield curve) ก็ตาม

อัตราแลกเปลี่ยน : เงินปอนด์กลับอ่อนค่าลงอีกครั้งหลังกระเตื้องเล็กน้อยเดือนที่แล้ว

เงินปอนด์เมื่อแทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ. ในเดือนนี้ยังคงผันผวนนในทิศทางที่อ่อนค่าลงเล็กน้อยแต่นับเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกันที่อ่อนค่าลง โดยเงินปอนด์มีระดับปิดตลาดวันแรกของเดือนที่ 1.4006 $/ปอนด์ และอ่อนค่าลงต่อเนื่องจากปลายเดือนที่แล้วจนลงมามีระดับปิดที่ต่ำที่สุดของเดือนที่ระดับ 1.3756 $/ปอนด์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดใกล้เคียงกับระดับที่ต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์เมื่อปลายเดือนมกราคม อย่างไรก็ดีค่าเงินดอลลาร์ สรอ.เริ่มอ่อนค่าลงในช่วงกลางเดือนเมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยไว้ตามเดิมแต่มีแผนจะเพิ่มปริมาณเงินหรือ quantitative easing ด้วยการซื้อพันธบัตรรัฐบาลแป็นวงเงินถึง 300 พันล้านดอลลาร์ สรอ.ภายใน 6 เดือน ส่งผลอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวลดลง จึงทำให้มีการเทขายเงินดอลลาร์ สรอ.ออกมาโดยเงินปอนด์แข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์ สรอ. ถึงระดับ 1.4728 $/ปอนด์ ก่อนที่จะอ่อนตัวลงอีกครั้งเมี่อนาย Tim Geithner รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ประกาศรายละเอียดของมาตรการซื้อหนี้เสียออกจากสถาบันการเงินที่คาดว่าจะซื้อได้สูงสุดถึง 1,000 พันล้านดอลลาร์ สรอ.ซึ่งจะส่งผลดีต่อฐานะงบดุลของสถาบันการเงินทำให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น และแม้ว่าดอลลาร์ สรอ. จะได้รับผลกระทบจากความเห็นของธนาคารกลางสาธารณะประชาชนจีนที่เสนอให้พัฒนา SDR ของ IMF ขึ้นเป็นสกุลเงินสำหรับเงินสำรองระหว่างประเทศแทนที่เงินดอลลาร์ สรอ.ที่ในอนาคตจะได้รับผลกระทบจากภาระหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เพิ่มสูงขึ้นมหาศาลบ้าง แต่ก็ยังคงฟื้นตัวได้ในช่วงท้ายและปิดตลาดวันสุดท้ายของเดือนทที่ระดับ 1.4331 $/ปอนด์ ทำให้ค่าเฉลี่ยของเงินปอนด์ในเดือนนี้อ่อนค่าลงจากเดือนที่แล้วอีกเล็กน้อยร้อยละ 1.6 แต่อ่อนค่าถึงร้อยละ 27.8 ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา

เงินปอนด์เมื่อเทียบกับยูโรกลับอ่อนค่าลงอีกครั้งหลังจากกระเตื้องขึ้นบ้างเมื่อเดือนที่แล้ว โดยเงินปอนด์มีระดับปิดตลาดวันแรกที่ระดับ 1.1125 ยูโร/ปอนด์ จากนั้นก็อ่อนค่าลงโดยตลอดจนมีระดับปิดต่ำสุดขอองเดือนที่ระดับ 1.0622 ยูโร/ปอนด์ ก่อนที่เงินปอนด์จะเริ่มกระเตื้องขึ้นมาเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 1.06-1.08 ยูโร/ปอนด์ หลังจากที่เงินยูโรได้รับแรงกดดันจากการที่นาย Peer Steinbruck รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของเยอรมันกล่าวเตือนว่าหากประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปไม่รับผิดชอบต่อวินัยทางการคลังแล้วจะส่งผลต่อความเสี่ยงของการรวมสกุลเงินเดียว โดยเงินปอนด์ปิดตลาดวันสุดท้ายของเดือนที่ระดับ 1.0794 ยูโร/ปอนด์ ส่งผลให้ค่าเฉลี่ยของเงินปอนด์ในเดือนนี้อ่อนค่าลงถึงร้ออยละ 3.5 แต่ก็ยังอ่อนค่าอยู่ร้อยละ 18.4 ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา

เมื่อเทียบกับเงินบาทแล้ว เงินปอนด์ในเดือนนี้เคลื่อนไหวในกรอบบแคบ ๆ ระหว่าง 50-52 Baht/ปอนด์ ใกล้เคียงกับเดือนที่แล้ว โดยเงินปอนด์มีระดับปิดตลาดวันแรกของเดือนที่ระดับ 50.7928 Baht/ปอนด์ จากนั้นก็อ่อนค่าลงมาเคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับ 50 Baht/ปอนด์ ในช่วงสั้นๆ ก่อนจะเริ่มแข็งค่าขึ้นตลอดในช่วงกลางเดือนโดยขึ้นไปมีระดับปิดสูงสุดของเดือนที่ระดับ 52.1445 Baht/ปอนด์ ก่อนที่จะชะลอตัวลงปิดตลาดที่ระดับเล็กน้อยมาเคลื่อนไหวใกล้เคียงระดับ 50 Baht/ปอนด์ และเริ่มกระเตื้องขึ้นอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของเดือนและปิดตลาดวันสุดท้ายของเดือนที่ระดับ 50.4235 Baht/ปอนด์ ซึ่งเป็นระดับใกล้เคียงกับเดือนที่แล้ว โดยค่าเฉลี่ยของเงินปอนด์ในเดือนนี้อ่อนค่าลงเทียบกับเงินบาทร้อยลละ 0.5 แต่เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้วเงินปอนด์ยังอ่อนค่าอยู่ร้อยละ 17.2

ดุลงบประมาณ: เดือนกุมภาพันธ์รัฐบาลขาดดุลเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 700

ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งเป็นเดือนที่ 11 ของปีงบประมาณปัจจุบัน (2008/09) รัฐบาลมีดุลงบรายจ่ายประจำ (current budget) ขาดดุลจำนวน 1.8 พันล้านปอนด์ (เทียบกับที่เกินดุลถึง 4.6 พันล้านปอนด์ในเดือนกุมภาพันธ์ของปีที่แล้ว) และเมื่อรวมกับในเดือนนี้รัฐบบาลมียอดลงทุนสุทธิจำนนวน 7.1 พันล้านปอนด์ จึงทำให้ฐานะดุลงบประมาณโดยรวมในเดือนนี้มียอดขาดดุลสุทธิถึง 9.0 พันล้านปอนด์ (เทียบกับที่ขาดดุลเพียง 1.1 พันล้านปอนด์เมื่อปีที่แล้ว) หรือเท่ากับขาดดุลเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 710.7 โดยในส่วนของรัฐบาลกลาง (central government account) สามารถจัดเก็บรายได้ในเดือนนี้จำนวน 40.7 พันล้านปอนด์ (ลดลงร้อยละ 9.7 จากปีปีที่แล้ว) ขณะที่งบรายจ่ายประจำและงบลงทุนของรัฐบาลกลางมียอดรวม 48.3 พันล้านปอนด์ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.2 จากปีที่แล้ว) ทำให้รัฐบาลกลางมีฐานะขาดดุลงบประมาณ 8.1 พันล้านปอนด์ (ขาดดุลเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึงร้อยละ 694.9)

ทั้งนี้ ในช่วง 11 เดือนแรกขของปีงบประมาณ รัฐบาลจัดเก็บรายได้ทั้งสิ้น 452.6 พันล้านปอนด์ ลดลงร้อยละ 3.1 ขณะที่รายจ่ายประจำและรายจ่ายลลงทุนกลับสูงถึง 531.4 พันล้านปอนด์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.6 ทำให้ยอดขาดดุลงบประมาณสะสมมีจำนวน 75.2 พันล้านปอนด์ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึงร้อยละ 327.0 หรือคิดเป็นยอดขาดดุลร้อยละ 96.9 ของประมาณการขาดดุลทั้งสิ้นในปีงบประมาณปัจจุบันที่คาดดว่าจะมีจำนวนทั้งสิ้น 77.6 พันล้านปอนด์ โดยสาเหตุหลักมาจากการที่รัฐบาลจัดเก็บรายได้ลดลงขณะที่รายจ่ายกลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเนื่องจากภาระในการฟื้นฟูภาคการเงินและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

Debt/GDP : เดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ระดับร้อยละ 49.0

ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ยอดคงค้างหนี้สาธารณะอยู่ที่ระดับ 717.3 พันล้านปอนด์ หรือเท่ากับร้อยละ 49.0 ของ GDP (เทียบกับร้อยละ 48.6 ในเดือนที่แล้ว) โดยการที่ยอดหนี้สาธารณะของประเทศปรับเพิ่มขึ้นอย่างงรวดเร็วเป็นผลมาจากภาระในการกระตุ้นเศรษฐกิจและบรรเทาความเดือนร้อนของประชาชน ขณะเดียวกัน ก็ยังมีภาระจากการแทรกแซงเพื่อรักษาเสถียรภาพของภาคการเงินไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือเพิ่มทุนให้กับสถาบันการเงิน มาตรการแก้ป้ปัญหาสินเชื่อตึงตัว เป็นต้น และคาดว่าภาระหนี้ของรัฐบาลจะเพิ่มสูงขึ้นอีกเนื่องจากสำนักงานสถิติกำลังรวบรวมภาระของรัฐบาลในธนาคาร Royal Bank of Scotland (RBS) และ Lloyds Banking Group (HBOS และ Lloyds TSB) เข้าเป็นของรัฐด้วยนับจากเดือนตุลาคม 2008 เป็นต้นไปซึ่งเป็นเดือนที่รัฐบาลมีสถานะเป็นผู้ถือหุ้นหลักอย่างมีนัยสำคัญในทั้ง 2 สถาบันการเงิน) ซึ่งยอดคงค้างหนี้สาธารณะในขณะนี้อยู่ในระดับที่สูงเกินกว่าที่กระทรวงการคลังประมาณการไว้ในคราวแถลง Pre-Budget Report 2008 เมื่อเดือนพฤศจิกายนว่า ณ สิ้นปีงบประมาณ 2008/09 ยอดหนี้สาธารณะจะอยู่ที่ระดับ 602 พันล้านปอนด์ หรือเท่ากับร้อยละ 41.2 ของ GDP

ดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลการชำระเงิน

ดุลการค้าและบริการ: มกราคมอังกฤษขาดดุล 3.6 พพันล้านปอนนด์

เดือนมกราคม อังกฤษมียอดส่งออกสินค้าและบริการรวม 32.6 พันล้านปอนด์ (ลดลงร้อยละ 2.8) แต่มีการนำเข้ารวม 36.2 พันล้านปอนด์ (ลดลงร้อยละ 4.3) ทำให้มียอดขาดดุลการค้าและบริการรวม 3.6 พันล้านปอนด์ (ขาดดุลลดลงจากปีที่แล้วร้อยละ 16.5) แยกเป็นการขาดดุลการค้าจำนวน 7.7 พันล้านปอนด์ (ขาดดุลลดลงจากปีที่แล้วร้อยละ 3.3) แต่มีการเกินดุลบริการจำนวน 4.2 พันล้านปอนด์ (เกินดุลเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.0) โดยการขาดดุลประเทศในกลุ่ม EU (27 ประเทศ) จำนวน 2.0 พันล้านปอนด์ (ขาดดุลลดลงร้อยละ 46.9 จากเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว) ขณะที่มีการขาดดุลกับประเทศนอกกลุ่ม EU จำนวน 5.7 พันล้านปอนด์ (ขาดดุลเพิ่มขึ้นร้อยละ 37.0 จากเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว)

สำหรับการค้ากับประเทศไทยในเดือนมกราคม อังกฤษส่งออกสินค้าไปประเทศไทยจำนวน 39 ล้านปอนด์ (ลดลงร้อยละ 20.4 จากปีที่แล้ว) ขณะที่มีการนำเข้าจำนวน 202 ล้านปอนด์ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.1) ทำให้ขาดดุลการค้ากับประเทศไทยจำนวน 163 ล้านปอนด์ (ขาดดุลเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 27.3) อนึ่งในปี 2008 อังกฤษส่งออกสินค้าไปประเทศไทยรวม 760 ล้านปอนด์ (เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 25.4) แต่มีการนำเข้าจากประเทศไทยรวม 2,427 ล้านปอนด์ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.0) ทำให้มียอดขาดดุลการค้ากับประเทศไทยทั้งสิ้น 1,667 ล้านปอนด์ (ขาดดุลเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.2)

ประเด็นข่าวสำคัญ ๆ ในรอบเดือนที่ผ่านมา
  • ผลสำรวจราคาที่อยู่อาศัยของ Halifax ประจำเดือนกุมภาพันธ์พบว่าราคาเฉลี่ยของที่อยู่อาศัยทั่วประเทศลดลงจากเดือนก่อนหน้าร้อยละ 2.3 หลังจากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0 ในเดือนที่แล้วอย่างเหนือความคาดหมาย อย่างไรก็ดี ราคาที่อยู่อาศัยยังคงลดลงร้อยละ 17.7 ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาที่อยู่อาศัยลดลงเป็นเดือนที่ 11 ติดต่อกันและทำสถิติอัตราการลดลงที่สูงที่สุดต่อไป (5 มีนาคม 2009)
  • นาย Mervyn King ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษกล่าวว่าฐานะการคลังของอังกฤษจะขาดดุลเป็นจำนวนมหาศาลในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า และไม่อยู่ในสภาพที่จะจัดทำงบประมาณขาดดุล เป็นจำนวนมากเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้งหนึ่งได้ นับเป็นครั้งแรกที่ผู้ว่าการธนาคารกลางฝืนธรรมเนียมปฏิบัติในอดีตที่มักจะไม่กล่าวถึงเรื่องการคลัง และที่สำคัญเป็นการกล่าวก่อนที่ นายกรัฐมนตรี Gordon Brown จะจัดประชุมสุดยอดกลุ่ม G20 ในวันที่ 2 เมษายน และก่อนที่รัฐบาลจะเสนอร่างกฎหมายงบประมาณต่อรัฐสภาในช่วงปลายเดือนเมษายน (24 มีนาคม 2009)
  • Office for National Statistics (ONS) ได้ปรับลดอัตราการขยายตัวของ GDP ไตรมาสที่ 4 ของปี 2008 จากที่ติดลบร้อยละ 1.5 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 เป็นติดลบร้อยละ 1.6 และติดลบร้อยละ 2.0 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว ลดลงจากเดิมที่เคยประกาศว่าติดลบร้อยละ 1.9 (27 มีนาคม 2009)
  • ผลการประเมินฐานะเงินกองทุนภายใต้สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด (stress test) ของธนาคาร Barclays โดย FSA พบว่าธนาคารมีฐานะเงินกองทุนเพียงพอโดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุนเพิ่มเติมถึงแม้ภาวะเศรษฐกิจจะตกต่ำต่อเนื่อง 2 ปีก็ตาม ส่งผลให้ราคาหุ้นของธนาคารปรับเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 24 เนื่องจากธนาคารไม่จำเป็นต้องเข้ารับความช่วยเหลือทางการเงินจากรัฐบาลหลังจากที่ก่อนหน้านี้ทั้ง RBS และ HBOS ประสบปัญหาการขาดทุนจากหนี้เสียจนต้องเข้ารับความช่วยเหลือทางการเงินจากรัฐบาล (27 มีนาคม 2009)

ที่มา : Macroeconomic Analysis Group : Fiscal Policy Office

Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ