ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจที่น่าสนใจ ดังนี้
1. Cabinet Office ทบทวนตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจประจำปีงบประมาณ 2552 ใหม่ว่าเลวร้ายกว่าเดิม เศรษฐกิจถดถอยมากที่สุดในประวัติการณ์
2. รัฐบาลขยายระบบประกันการส่งออและนำเข้าให้ครอบคลุมถึงสำนักงานและบริษัทลูกญี่ปุ่นในต่างประเทศ จากเดิมที่บริษัทแม่ในญี่ปุ่นเท่านั้นที่สามารถใช้ได้
3. รัฐบาลเตรียมงบประมาณ 16.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ชดเชยการขาดทุนแก่ธนาคารเฉพาะกิจที่เข้าช่วยบริษัทเอกชนที่ประสบปัญหาสภาพคล่อง
-------------------------------------------------
เมื่อ 27 เม.ย.52 Cabinet Officeได้รายงานประมาณการเศรษฐกิจญี่ปุ่นใหม่ว่าในปีงบประมาณ 2552 จะถดถอยร้อยละ -3.3 จากเดิม 0.3 ที่ได้ประมาณการไว้เมื่อ ธ.ค.51 ซึ่งเป็นการลดลงต่ำที่สุดในประวัติการณ์ อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 4.7 เป็นร้อยละ 5.2 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมลดต่ำลงถึงร้อยละ -23.4 จากเดิมร้อยละ -4.8 ส่วนตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคอยู่ที่ร้อยละ -1.3 จากเดิม -0.4 แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มภาวะเงินฝืด
นาย Kaoru Yosano รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ให้สัมภาษณ์ว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นขึ้นอยู่กับการจัดการหนี้เสียและฟื้นฟูฐานะการเงินของสถาบันการเงินใน สหรัฐฯและยุโรป แต่ปัจจุบันตัวเลขเศรษฐกิจยังคงมีแนวโน้มถดถอยต่อไป ซึ่งหวังว่าหากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมที่เพิ่งประกาศใช้ได้ผลหลังจากเดือนก.ค. — ก.ย.52 ก็อาจมีโอกาสทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 ได้
ณ ธ.ค.51 ณ 27 เม.ย. 52
GDP 0.3% -3.3% อัตราว่างงาน 4.7% 5.2% ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม -4.8% -23.4% ดัชนีราคาผู้บริโภค -0.4% -1.3% ที่มา Cabinet Office 2. ขยายระบบประกันการส่งออกและนำเข้าให้ครอบคลุมถึงสำนักงานและบริษัทลูกญี่ปุ่นในต่างประเทศ
รัฐบาลได้สนับสนุนการส่งออกและนำเข้าไปยังประเทศกำลังพัฒนาที่กำลังประสบปัญหาภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว โดยให้บริษัทลูกและสาขาในต่างประเทศของบริษัทญี่ปุ่นยื่นความจำนงใช้ระบบประกันส่งออกและนำเข้าภายในเดือนพ.ค.ศกนี้
ภายใต้ระบบประกันการส่งออกและนำเข้านี้ หากบริษัทญี่ปุ่นไม่สามารถเรียกเก็บเงินจากการส่งออกจากลูกค้าได้ เนื่องจากประเทศของลูกค้าประสบปัญหาสถานการณ์การเมืองหรือปิดกิจการ รัฐบาลจะชดเชยการขาดทุนของบริษัทญี่ปุ่นโดยใช้ระบบประกันการส่งออกและนำเข้า ทั้งนี้ตามกฎระเบียบในปัจจุบัน หากบริษัทแม่ทำสัญญาซื้อและขายสินค้ากับลูกค้าต่างชาติโดยตรง จะสามารถใช้ระบบประกันนี้ได้ แต่หากสำนักงานในต่างประเทศหรือบริษัทลูกของบริษัทญี่ปุ่นทำสัญญากับลูกค้า รัฐบาลไม่ค้ำประกันการส่งออกและนำเข้าให้
กระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรม (METI ) แสดงความเป็นกังวล บริษัทส่งออกและนำเข้าของญี่ปุ่นไปยังประเทศกำลังพัฒนาที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ ทำให้มีความเสี่ยงสูง จนทำให้บริษัทลูกและสาขาในประเทศต่างๆ ปิดกิจการเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะการลดลงของการส่งออก กระทรวง METI จึงเสนอให้บริษัทลูกและสาขาของบริษัทญี่ปุ่นในต่างประเทศสามารถใช้ระบบการประกันของรัฐได้
นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีแผนที่จะให้เงินช่วยเหลือแก่สถาบันการเงินในประเทศกำลังพัฒนา โดยผ่านทาง Japan Bank of International Cooperation (JBIC) มีวงเงิน 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อนำไปช่วยเหลือเพิ่มสภาพคล่องแก่บริษัทลูกหรือสาขาของบริษัทญี่ปุ่นในประเทศนั้นๆ โดยการปล่อยเงินกู้เพื่อให้บริษัทนำไปชำระค่าส่งสินค้า และออกใบรับรองสินเชื่อให้แก่บริษัทด้วย
เมื่อวันที่ 30 เม.ย.ที่ผ่านมา รัฐบาลโดยกระทรวง METI ได้ออกมาตรการใหม่ที่จะใช้เงินงบประมาณเข้าช่วยเพิ่มทุนบริษัทเอกชน โดยได้มีการแก้ไขกฎหมาย Law on Special Measures for Industrial Revitalisation ให้บริษัทญี่ปุ่นที่มีพนักงาน 5,000 คนหรือมากกว่า ยื่นความจำนงค์ขอใช้เงินงบประมาณเข้าช่วยเพิ่มทุนบริษัทเอกชน โดยมีเงื่อนไข ดังนี้
1) บริษัทมียอดขายลดลงร้อยละ 20 หรือมากกว่าในรอบไตรมาส
2) หรือยอดขายลดลงร้อยละ 15 หรือมากกว่าในรอบครึ่งปี อันเป็นผลจากวิกฤตเศรษฐกิจและการเงินโลก
3) บริษัทที่มีคุณสมบัติตามข้อ 1) จะต้องเสนอแผนฟื้นฟูกิจการ 3 ปี เพื่อเพิ่มรายได้
4) ภายหลังได้รับการตรวจคุณสมบัติครบถ้วนแล้ว สามารถขอใช้เงินรัฐบาลผ่านธนาคารเพื่อการพัฒนาญี่ปุ่นหรือ (Development Bank of Japan: DBJ) ซึ่งเป็นธนาคารเฉพาะกิจของรัฐฯ และหากบริษัทดังกล่าวล้มละลาย รัฐบาลจะเข้าชดเชยการขาดทุนแก่ DBJ ร้อยละ 80 ทั้งนี้ ได้เตรียมงบประมาณ 1.6 ล้านล้านเยนหรือ 16.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เข้าชดเชยการขาดทุนดังกล่าวไว้แล้ว
สำนักงานที่ปรึกษาเศรษฐกิจและการคลัง ณ กรุงโตเกียว
ที่มา: Macroeconomic Analysis Group: Fiscal Policy Office
Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th