ภาวะเศรษฐกิจสหภาพยุโรป เมษายน 2552

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday May 21, 2009 14:42 —กระทรวงการคลัง

ภาพรวมเศรษฐกิจ (เมษายน 2552)

ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม : เดือนกุมภาพันธ์ทรุดลงเหลือเพียง 92.1 จุด

ดัชนีชี้วัดผลผลลิตภาคอุตสาหกรรม (Industrial Production Index: IPI) ที่ปรับตามฤดูกาลแล้วประจำเดือนกุมภาพันธ์ของกลุ่ม EU16 ยังลดลงต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้าโดยลงมาอยู่ที่ระดับ 92.1 ลดลงร้อยละ 2.2 จากเดือนก่อนหน้า และลดลงถึงร้อยละ 18.4 จากเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว ถือเป็นระดับดัชนีที่ต่ำที่สุดนับจากเดือนตุลาคม 1999 โดยในเดือนนี้ดัชนีการผลิตยังคงลดลงจากเดือนก่อนหน้าในเกือบทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นสินค้าขั้นกลาง สินค้าหมวดพลังงาน และสินค้าบริโภคชนิดไม่คงทน หดตัวลงร้อยละ 0.9 0.7 และ 0.3 ตามลำดับ ขณะที่สินค้าทุนและสินค้าบริโภคชนิดคงทนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยร้อยละ 0.0 และ 0.3 ตามลำดับ โดยเป็นที่น่าสังเกตว่าอัตราการหดตัวเริ่มชะลอลงจากเมื่อช่วงก่อนหน้า

ขณะที่ดัชนีชี้วัดทางด้านอุปสงค์ของกลุ่ม EU16 ประจำเดือนเมษายนเริ่มปรับตัวดีขึ้นเป็นครั้งแรก โดยดัชนีผลสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจ (Economic Sentiment Index: ESI) ประจำเดือนเมษายนขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 67.2 จุดถือเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบบ 22 เดือน หหลังจากดัชนีลดลงต่อเนื่องและลงไปต่ำสุดเมื่อเดือนที่แล้วที่ระดับ 64.7 จุด ทั้งนี้ ดัชนี ESI เคยขึ้นไปสูงสุดที่ระดับ 111.6 จุดเมื่อเดือนพฤษภาคม 2007 ซึ่งการที่ดัชนีเริ่มมปรับตัวดีขึ้นนเป็นครั้งแรกนี้อาจจะเร็วแกินไปที่จะชี้ว่าความเชื่อมั่นเรริ่มฟื้นตัวแต่คงต้องรอดูทิศทางในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้าจึงพอยืนยันถึงจุดแปลี่ยนได้ว่าความเชื่อมั่นได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว

อัตราเงินเฟ้อ : เดือนมีนาคมชะลอลงแรงเหลือร้อยละ 0.6

ดัชนีราคาผู้บริโภค (Harmonised Index of Consumer Prices: HICP) ของพื้นที่ยุโรป (Euro Area: 16 ประเททศ) ประจำเดือนมีนาคมชะลอลงแรงลงมาอยู่ที่ระดับร้อยละ 0.6 หลังจากกระเตื้องขึ้นมาอยู่ที่ระดับร้อยละ 1.2 อย่างเหนือความคาดหมายในเดือนที่แล้ว ถือเป็นสถิติของอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์นับจากการรวมสกุลเงินยูโรเมื่อปี 1999 โดยหมวดราคาสินค้าที่ส่งผลต่อการเพิ่มของเงินเฟ้อเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้วมาจากหมวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาสูบ (+3.4%) และหมวดโรงแรมและภัตตาคาร (+2.2%) ขณะที่หมวดรายจ่ายที่ส่งผลต่อการชะลอตัวของเงินเฟ้อเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ได้แก่ หมวดคมนาคมขนส่ง (-4.3%) หมวดสื่อสารโทรคมนาคม (-1.8%) และหมวดสันธนาการ (+0.0%) สำหรับประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อสูงสุด 5 อันดับแรกในเดือนนี้ ได้แก่ Malta Finland Slovakia Netherlands และ Slovenia ที่มีอัตราเงินเฟ้อร้อยละ 3.9, 2.0, 1.8, 1.8 และ 1.6 ตามลำดับ ขณะที่ประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อต่ำสุด ได้แก่ Ireland Portugal Luxembourg และ Spain ที่อัตราเงินเฟ้อติดลบร้อยละ -0.7, -0.6, -0.3 และ -0.1 ตามลำดับ

สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคของประเทศยูโร 27 ประเทศ (EU 27) ชะลอตัวลงอีกเล็กน้อยเหลือร้อยละ 1.3 จากร้อยละ 1.7 เมื่อเดือนที่แล้ว โดยประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อสูงสุดในกลุ่ม EU27 ยังคงเป็นประเทศ Latvia Lithuania และ Romania ที่มีอัตราเงินเฟ้อสูงถึงร้อยละ 7.9 7.4 และ 6.7 ตามลำดับ

อัตราการว่างงาน : เดือนมีนาคมพุ่งถึงร้อยละ 8.9 ครั้งแรกนับจากกันยายน 2005

ในเดือนมีนาคม Euro area 16 ประเทศ มียอดผู้ว่างงานที่ปรับตามฤดูกาลแล้วรวมกันทั้งสิ้น 14.158 ล้านคน (เพิ่มขึ้น 419,000 คนจากเดือนที่แล้ว) และเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้วจำนวนผู้ว่างงานเพิ่มขึ้นถึง 2.74 ล้านคน ส่งผลให้อัตราการว่างงานในเดือนนี้เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากเดือนที่แล้วขึ้นมาอยู่ที่ระดับร้อยละ 8.9 เทียบกับร้อยละ 8.7 ในเดือนที่แล้ว เป็นครั้งแรกนับจากเดือนกันยายน 2005 ที่อัตราการว่างงานอยู่ที่ระดับร้อยละ 8.9 ทั้งนี้อัตราการว่างงานของ Euro area เพิ่มขึ้นต่อเนื่องหลังจากที่เคยลงไปอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับร้อยละ 7.2 เมื่อเดือนมีนาคม 2008 การที่ทั้งจำนวนผู้ว่างงานและอัตราการผู้ว่างงานปรับสูงขึ้นต่อเนื่องเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่กำลังครอบคลุมเศรษฐกิจของยุโรป

ขณะที่ยอดผู้ว่างงานของ EU 27 ประเทศก็เพิ่มขึ้นเป็น 20.154 ล้านคน หรือคิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 8.3 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 8.1 เมื่อเดือนที่แล้ว

อัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยนน

ECB ลดอัตราดอกเบี้ยลงเหลือร้อยละ 1.25 ต่ำสุดนับจากปี 1999 ขณะที่ปริมาณเงินและสินเชื่อยังชะลอตัวโดยลำดับ

เมื่อวันที่ 2 เมษายน คณะกรรมการธนาคารกลางสหภาพยุโรป มีมติลดอัตราดอกเบี้ย Refinancing Operations (MRO) ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายขออง ECB ลงร้อยละ 0.25 เหลือร้อยละ 1.25 ส่งผลให้อัตตราดอกเบี้ยนโยบายปรับลดลงรวมแล้วเท่ากับร้อยละ 3.0 นับจากเดือนตุลาคมปีที่แล้ว โดย ECB ได้ให้เหตุผลประกอบการตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ว่าเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังคงลดลงอันเป็นผลมาจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกลดลง รวมทั้งการหดตัวลงเศรษฐกิจยุโรปและเศรษฐกิจโลกโดยเชื่อว่าอุปสงค์จะยังอ่อนแอในนปี 2009 ก่อนที่จะฟื้นตัวออย่างช้าๆ ในนปี 2010 นอกจากนี้การชะลอตัวของปริมาณเงินและสินเชื่อเป็นสิ่งยืนยันถึงแนวโน้มการชะลอตัวของเงินเฟ้อ ทำให้มั่นใจว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ต่ำกว่าระดับเป้าหมายร้อยละ 2.0 ในระยะปานกลาง ซึ่งจะส่งผลดีต่อกำลังซื้อของประชาชน โดยการประชุมครั้งต่อไปจะมีขึ้นในวันนที่ 7 พฤษภาคม 2552

ณ สิ้นเดือนมีนนาคม สภาพคคล่องในระบบเศรษฐกิจของ Euro Area ยังคงเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอลงต่อเนื่อง โดยยอดคงค้างของปริมาณเงินตามคความหมายกวว้าง หรือ M3 อยู่ที่ระดับ 9.40 ล้านล้านยูโร ลดลง 34 พันล้านยูโรจากเดือนที่แล้ว โดยปริมาณเงินขยายตัววร้อยละ 5.1 จากปีที่แล้ว (เดือนกุมภาพันธ์เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.8) ขณะที่ยอดคงค้างสินเชื่อที่สถาบันการเงิน (MFI) ให้กู้กับภาคเอกชน (loan to private sector) มียอดคงค้าง ณ สิ้นเดือนมีนาคมที่ระดับ 10.816 ล้านล้านยูโร ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 5 พันล้านยูโร โดยยอดคงค้างสินเชื่อเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 3.2 (เดือนกุมภาพันธ์ขยายตัวร้อยละ 4.2) สะท้อนถึงความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินและความมต้องการสินเชื่อที่ชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจ

สำหรับค่าเฉลี่ยของอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงิน (Monney market interest rates) ในเดือนเมษายนลดลงเล็กน้อยต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้าโดยอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอายุไม่เกิน 1 ปีลดลงระหว่าง 14 - 26 basis points ขณะที่อัตราผลตอบแทนระยะยาวอายุ 5 ปีและ 10 ปีลดลงเล็กน้อย 1 - 6 basis points แต่เมื่อเปรียบเทียบกับโครงสร้างอัตราผลตตอบแทนในเดือนเดียวกันปีที่แล้วพบว่าอัตราผลตตอบแทนในเดดือนนี้อยู่ในระดับต่ำกว่าปีที่แล้วระหว่าง 305 - 336 basis points ตามการทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ ECB นับจากช่วงต้นไตรมาสที่ 3 ของปีที่แล้วเป็นต้นมา นอกจากนี้เส้นโครงสร้างอัตราผลตอบแทนก็มีลักษณะปกติ (normal yield curve) มากกว่าปีที่แล้ว เนื่องจากปัญหาสภาพคล่องตึงตัวในตลาดเงินระยะสั้นเมื่อปีที่แล้วมีความรุนแรงจึงส่งผลให้อัตราผลตอบแทนระยะสั้นสูงกว่าผลตอบแทนระยะยาว

อัตราแลกเปลี่ยน : ยูโรแข็งค่าเล็กน้อยกับทุกสกุลยกเว้นปอนด์

ค่าเงินยูโรเมื่อแทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ.ในเดือนเมษายนแข็งค่าต่อเนื่องจากเดือนที่แล้วโดยเงินยูโรปิดตลาดวันแรกของเดือนที่ระดับ 1.3246 $/ยูโร จากนั้นก็แข็งค่าขึ้นตลอดช่วงสัปดาห์แรกเนื่องจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ สรอ. และเยน เป็นหลักโดยที่ตลาดเริ่มลดดความสำคัญของเงินทั้งสองสกุลลงในฐานนะที่เป็นสกุลเงินที่มีความปลอดภัยหลังการประชุมม G20 ที่มีความตกลงในการเพิ่มเงินททุนให้กับ IMF เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโลก รวมถึงการที่ ECB ลดอัตราดอกเบี้ยลงเพียงร้อยละ 0.25 น้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์โดยเงินยูโรขึ้นไปมีระดับับปิดสูงสุดของเดือนนที่ 1.3496 $/ยูโร หลังจากนนั้นเงินยูโรก็ทยอยอ่อนค่าลงตลอดใน 2 สัปดาห์ต่อมาโดยลงมามีระดับปิดต่ำสุดของเดือนที่ 1.2932 $/ยูโร เมื่อนักลงทุนเริ่มหันกลับไปหาเงินดอลลาร์ สรอ. อีกครั้งหลังจากราคาหุ้นนปรับตัวลดลงเมื่อบบริษัทต่างๆ เริ่มทยอยประกาศผลประกอบการของไตรมาสแรกกออกมาไม่ดดีนัก ประกอบกับตัวเลขอัตรราเงินเฟ้อประจำเดือนมีนาคมของสหภภาพยุโรปที่ออกมาต่ำมากเพียงร้อยละ 0.6 ทำให้ตลาดเชื่อมั่นว่า ECB คงต้องลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกครั้งในการประชุมต้นเดือนพฤษภาคม ในช่วงท้ายของเดือนเงิน ยูโรเคลื่อนไหวผันผวนแต่ก็ได้รับผลดีจากข่าวเกี่ยวกับการแพร่กระจายของ swine flu จาก Mexico ทำให้นักลงทุนหนีจากเงินดอลลาร์ สรอ. และหันไปลงทุนในสกุลเงินอื่นแทน โดยเงินยูโรปิดตลาดวันสุดท้ายของเดือนที่ระดับบ 1.3275 $/ยูโร ส่งผลให้โดยรวมแล้วค่าเฉลี่ยของเงินยูโรเมื่อเทียบกับดอลลาร์ สรอ.ในเดือนนี้แข็งค่าขึ้นจากค่าเฉลี่ยของเดือนที่แล้วร้อยละ 1.1 แต่ก็ยังอ่ออนค่ากับเงินดอลลาร์ สรอ.อยู่ร้อยละ 16.2 ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา

เงินยูโรเมื่อเทียบกับเงินปอนด์ในเดือนนี้กลับอ่อนค่าลงอีกครั้งหลังจากแข็งค่าขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว โดยเงินยูโรปิดตลาดวันันแรกของปีที่ระดับ 0.9206 ปอนด์/ยูโร จากนนั้นก็อ่อนค่าลงต่อเนื่องจากช่วงปลายเดือนที่แล้วจนลงมาต่ำกว่าระดับ 0.90 ปอนด์/ยูโร โดยลงมามีระดับปิดที่ต่ำที่สุดของเดือนที่ระดับ 0.8821 ปอนด์/ยูโร ในช่วงกลางเดือนก่อนที่จะกลับแข็งค่าขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่สามโดยกลับขึ้นมาอยู่เหนือรระดับ 0.90 ปอนด์/ยูโร ได้อีกครั้งในช่วงสั้นๆ และอ่อนตัวลงมาปิดตลาดวันสุดท้ายของเดือนที่ระดับ 0.89335 ปอนด์/ยูโร โดยค่าเฉลี่ยของเงินยูโรในเดือนนี้อ่อนค่าลงจากเดือนที่แล้วร้อยละ 2.4 อย่างไรก็ดี เงินยูโรยังแข็งค่าอยู่ร้อยละ 16.3 ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา

เมื่อเทียบกับเงินเยนแล้ว ค่าเฉลี่ยของเงินยูโรในเดือนนี้เริ่มแข็งค่าขึ้นเป็นเดือนที่สองหลังจากที่ลดลงต่อเนื่องติดต่ออกัน 7 เดือนก่อนหน้านั้น โดยเงินยูโรมีระดับปิดวันแรกของเดือนที่ระดับ 130.86 เยน/ยูโร จากนั้นเงินก็แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องจากเดือนที่แล้วจนขึ้นไปทำระดับปิดที่สูงที่สุดของเดือนที่ระดับ 136.02 เยน/ยูโร ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับจากเดือนตุลาคมปีที่แล้ว อย่างไรก็ดี หลังจากที่แข็งค่าขึ้นโดยตลอดนับจากเดืออนกุมภาพันธ์เงินยูโรก็เริ่มอ่อนค่าลงตลอดในช่วงที่เหลือของเดือนโดยลงมาปิดต่ำสุดของเดือนนที่ระดับ 125.08 เยน/ยูโร เนื่อองจากนักลงททุนเริ่มหันกลลับมาหาสกุลเงินเยนอีกครรั้งในฐานะ safe haven currency โดยเงินนยูโรสามารถถกลับขึ้นมาปิปิดตลาดวันสสุดท้ายของเดดือนที่ระดับ 130.34 เยน/ยูโร ส่งผลให้เงิน ยูโรในเดือนนี้แข็งค่าขึ้นเล็กน้น้อยร้อยละ 2.0 แต่ก็ยังคงอ่อนค่าอยู่ร้ออยละ 19.5 ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา

ค่าเฉลี่ยของเงินยูโรในเดือนนี้ค่อนข้างมีเสถียรภาพแมื่อเทียบกับเงินบาท โดยเงินยูโรมีระดับปิดตลาดวันแรกของเดืออนที่ 47.043 ฿/ยูโร จากนั้นก็ขึ้นไปปิดสสูงสุดของเดือนที่ระดับ 47.607 ฿/ยูโร ในสัปดาห์แรกของเดือน หลังจากนั้นก็ลงมาเคลื่อนไหวในกรอบ 46-47 ฿/ยูโร ตลอดช่วงที่เหลือของเดือนและปิดตลาดวันสุดท้ายของเดือนที่ระดับ 46.808 ฿/ยูโร ส่งผลให้ค่าเฉลี่ยของเงินยูโรในเดือนนี้แข็งค่าเล็กน้อยเพียงร้อยละ 0.2 แต่ยังอ่อนค่าร้อยละ 6.1 ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา

ดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลการชำระเงิน

เดือนกุมภาพันธ์: Euro Area ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดลดลง

ณ สิ้นเดือนกุมมภาพันธ์ Euro area มีฐานะดุลบัญชีเดินสะพัดที่ปรับตามฤดูกาลแล้ว (seasonaly adjusted current account balance) ขาดดุลจำนวน 8.1 พันล้านยูโร (หรือเท่ากับขาดดุล 2.3 พันล้านยูโร กรณีเป็นข้อมูลที่ยังไม่ได้ปรับตามฤดูกกาล) โดยแม้ Euro area จะเกินดุลการค้า (goods trade) และดุลบริการ (services) จำนวน 0.1 และ 3.0 พันล้านยูโร ตามลำดับก็ตาม แต่กลับมีการขาดดุลรายได้ (income) และดุลเงินโอน (current transfer) จำนวน 4.7 และ 6.5 พันล้านยูโร ตามลำดับ จึงทำให้ฐานะโดยรวมขาดดุลดังกล่าว และนับเป็นเดือนที่สิบบสองติดต่อกันที่ Euro area มีฐานะดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล

ทั้งนี้ ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา ดุลบัญญชีเดินสะพัดขของ Euro area มีฐานะขาดดุลบัญชีเดินสะพัดรวม 107.0 พันล้านนยูโร หรือเท่ากับร้อยละ 1.2 ของ Eurro GDP ต่างจากรอบ 12 เดือนก่อนหน้าที่มีฐานะเกินนดุลบัญชีเดินนสะพัดจำนวน 6.0 พันล้านยูโร การทที่ฐานะดุลบัญชีเดินสะพัดสะสมกลับบมาขาดดุลในนรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา มีสาเหตุหลักมาจากการที่ Euro area กลับสถานะจากที่เคย เกินดุลการค้าเป็นจำนวนมากกลายมาเป็นมีฐานะขาดดุลการค้า รวมทั้งดุลรายได้มีการขาดดุลมากขึ้น

ทางด้านดุลบัญชีเงินทุนเคลื่อนย้าย (financial account) ที่ยังไม่ปรับตามฤดูกาล (non-seasonal adjusted) ประจำเดือนกุมภาพันธ์ พบว่า Euro area มีฐานะบัญชีเงินทุทุนไหลออกสุทธิ 5.4 พันล้านยูโร (เทียบกับที่เกินดดุลถึง 51.2 พันล้านยูโรในเดือนก่อนหน้า) แม้ว่าเงินลลงทุนในหลักกทรัพย์ (portfolio investment) จะมียอดไหลเข้าสุทธิรวม 61.2 พันล้านยูโร แต่เนื่องจากมีการไหลออกของเงินลงทุนทางตรง (direct investment) และการที่สถาบันการเงินและภาคเอกชนอื่นกลับมามีฐานะแป็นผู้ให้กู้ยืมเงินสุทธิถึง 57.4 พันล้านยูโร จึงทำให้ดุลบัญชีเงินทุนเคลื่อนย้ายมีฐานะไหลออกสุทธิดังกล่าว

สำหรับยอดสะสมในรอบ 12 เดือน Euro area มีฐานะดุลบัญชีเงินทุนเคลื่อนย้าย (accumulated financial account) ไหลเข้าสุทธิถึง 331.9 พันล้านยูโร (เทียบกับรอบ 12 เดือนก่อนหน้าที่มีฐานะเงินทุนไหลเข้าสุทธิเพียง 35.1 พันล้านยูโร) เนื่องจากแม้เงินลงทุนทางตรงสุทธิ (net direct investments) จะไหลออกมาขึ้น แต่เงินลงทุนในหลักทรัพย์ (net portfolio investments) และยอดเงินกู้ยืมของสถาบันการเงินและภาคเอกชนอื่นมีการไหลเข้าเป็นจำนวนมาก จึงทำให้ Euro area มีฐานะเงินทุนไหลเข้าสุทธิสะสมมากกว่าปีก่อนถึงเกือบ 10 เท่าตัว

ประเด็นข่าวสำคัญ ๆ ในรอบเดือนที่ผ่านมา
  • European Commission เสนอกรอบการกำกับดูแลผู้จัดการกองทุนประเภทที่ไม่ได้อยู่ภายใต้กรอบการกำกับดูแลในปัจจุบัน (non-UCITS Directive) เช่น hedge funds หรือ private equity funds เป็นต้น โดยเรียกว่า Alternative Investment Fund Managers Directive (AIFM) หากผู้จัดการกองทุนรายใดมีมูลค่าเงิน ลงทุนที่อยู่ภายใต้การบริหารรวมแล้วเกินกว่า 100 ล้านยูโร โดยกำหนดให้ต้องได้รับอนุญาตและอยู่ภายใต้เกณฑ์กำกับที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน รวมถึงความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจ (29 เมษายน 2009)
  • นาย Karl-Theodor zu Guttenberg รัฐบมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจแถลงปรับคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจปี 2009 ว่าจะหดตัวลงถึงร้อยละ 6.0 จากเดิมที่เคยประเมินเมื่อปีที่แล้วว่าจะหดตัวเพียงร้อยละ 2.25 โดยให้เหตุผลว่ามีสาเหตุหลักมาจากการชะลอตัวของการส่งออกเนื่องจากการหดตัวของเศรษฐกิจโลก โดยล่าสุดเดือนกุมภาพันธ์ยอดการส่งออกของเยอรมันติดลบร้อยละ 23.1 พร้อมกันนี้นาย Guttenberg ปฎิเสธถึงการจัดทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นครั้งที่ 3 โดยอ้างว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 2 ครั้งแรกกำลังส่งผล (29 เมษายน 2009)

ที่มา : Macroeconomic Analysis Group : Fiscal Policy Office

Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ