Economic Indicators: This Week
อัตราการว่างงานเดือน เม.ย. 52 อยู่ที่ร้อยละ 2.1 ของกำลังแรงงานรวม เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้าที่ร้อยละ 1.9 ของกำลังแรงงานรวม โดยมีจำนวนผู้ว่างงานอยู่ที่ 8.2 แสนคน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่อยู่ที่ 7.1 แสนคน เมื่อพิจารณาด้านการจ้างงานพบว่า การจ้างงานรวมเดือนเม.ย. 52 ขยายตัวร้อยละ 1.7 ต่อปี ชะลอลงจากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 2.2 ต่อปี โดยเป็นผลจากการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมที่ยังคงหดตัวต่อเนื่อง จากปัญหาการหดตัวทางเศรษฐกิจภายในประเทศ และปัญหาการหดตัวของประเทศคู่ค้า ที่ส่งผลให้ยอดคำสั่งซื้อสินค้าอุตสาหกรรมลดลงขณะที่การจ้างงานภาคเกษตรและภาคบริการยังสามารถขยายตัวได้โดยเฉพาะในสาขาค้าส่งค้าปลีกและสาขาโรงแรมและภัตตาคาร
ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมเดือนพ.ค. 52 อยู่ที่ระดับ 64.3 ลงจากระดับ 65.1 ในเดือนก่อนหน้า และถือเป็นการลดลงต่ำสุดในรอบ 90 เดือน นับตั้งแต่ ม.ค. 45 อันเป็นผลมาจากความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจในไตรมาส 1 ปี 52 ที่หดตัวลงมากกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ (หดตัวที่ร้อยละ -7.1 ต่อปี) ประกอบกับราคาน้ำมันขายปลีกปรับเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ คาดว่าในเดือนถัดไปดัชนีความเชื่อมั่นฯ น่าจะยังคงได้รับผลกระทบทางลบจาก 1) ราคาน้ำมันที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้น และ 2) ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ส่วนปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อดัชนีความเชื่อมั่นฯ ในด้านบวก คือ 1) เม็ดเงินจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 ที่พร้อมจะลงสู่ระบบเศรษฐกิจ ซึ่งจะสามารถกระตุ้นการลงทุนและการจ้างงาน และ2) ภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มมีสัญญาณดีขึ้นบ้าง จากภาวะเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่เริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวในบางประเทศ เช่น สหรัฐฯ จีน กลุ่มประเทศยูโรโซน ออสเตรเลีย และเกาหลีใต้ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบในเชิงบวกต่อการส่งออกของไทย
ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรในเดือน พ.ค. 52 หดตัวที่ร้อยละ -8.7 ต่อปีลดลงจากเดือนก่อนที่หดตัวร้อยละ -1.7 ต่อปี ตามการผลิตที่หดตัวลงของผลผลิตสำคัญ โดยเฉพาะข้าวนาปรัง เนื่องจากปัจจัยฐานสูงเมื่อปีที่แล้วที่ราคาข้าวขยายตัวในระดับสูงจึงจูงใจให้เกษตรกรทำการเพาะปลูกเพิ่มขึ้นประกอบกับฝนที่ตกชุกในช่วงนี้ส่งผลให้ความชื้นสูง ทำให้ผลผลิตข้าวลดลงในขณะที่ผลผลิตอ้อยลดลงผลจากพื้นที่เพาะปลูกที่ลดลง เนื่องจากในปีก่อนราคาน้ำ มันขยายตัวในระดับสูง ทำ ให้มีขยายพื้นที่เพาะปลูกพืชน้ำ มันโดยเฉพาะมันสำปะหลังเพิ่มขึ้นจนมาทดแทนพื้นที่ปลูกอ้อย
Economic Indicators: Next Week
ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (TISI) เดือน พ.ค.52 คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 78.0 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ระดับ 76.3 เนื่องจากผู้ประกอบการคาดว่าความเชื่อมั่นในด้านยอดคำสั่งซื้อและยอดขายทั้งตลาดในและต่างประเทศจะปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะตลาดต่างประเทศเนื่องจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าบางประเทศเริ่มมีสัญญาณการขยายตัวในเกณฑ์ที่ดีขึ้นบ้าง อย่างไรก็ดี ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่า100 ซึ่งถือเป็นระดับที่แสดงว่าผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเชื่อว่าภาวการณ์จะแย่ลง เนื่องจากผู้ประกอบการยังคงมีความกังวลต่อแนวโน้มอุตสาหกรรมในอนาคตจากภาวะเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศยังคงซบเซาอยู่
ปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่งในเดือน พ.ค. 52 คาดว่าจะหดตัวลงที่ร้อยละ -15.0 ต่อปี จากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 4.2 ต่อปี โดยสาเหตุหลักมาจาก 1.ปัจจัยฐานสูงของช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า ที่รัฐบาลได้ปรับลดภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์รุ่นใหม่ที่ใช้เชื้อเพลิง E20 ส่งผลให้ประชาชนเร่งการซื้อในช่วงดังกล่าวมากขึ้น 2. ผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก ที่อาจส่งผลให้รายได้จากการส่งออกหดตัวลง และรายได้ประชาชนโดยรวมลดลง ทำให้ประชาชนลดการบริโภคสินค้าคงทน โดยเฉพาะรถยนต์ลง และ 3. ปัญหาราคาน้ำมันที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้นอาจส่งผลให้ประชาชนตัดสินใจชะลอการซื้อรถใหม่ได้
Foreign Exchange Review
ค่าเงินสกุลหลักของโลกได้แก่ ค่าเงินเยน ยูโร ปอนด์สเตอร์ลิงค์ และค่าเงินในภูมิภาคได้แก่ ค่าเงินบาทและดอลลาร์สิงค์โปร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ค่าเงินภูมิภาคสกุลอื่น ๆ อ่อนค่าลง
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงตามความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เริ่มฟื้นตัวขึ้นหลังจากที่กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ว่าสถาบันการเงิน 10 แห่ง ที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการ Trouble Asset Relief Programme : TARP ได้รับอนุญาตให้สามารถซื้อคืนหุ้นบุริมสิทธิ์ (preferred shares) จากกองทุน TARPที่มีมูลค่ารวมประมาณ 68 พันล้านดอลลาร์สหรัฐได้ ซึ่งเป็นสัญญาณดีต่อภาคการเงินสหรัฐฯและบ่งชี้ว่าภาคการเงินอาจฟื้นตัวได้เร็วกว่าที่คาดไว้
นอกจากนั้น ค่าเงินยูโรและปอนด์สเตอลิงค์แข็งค่าขึ้นมากเนื่องจากภาคอสังหาริมทรัพย์ของประเทศอังกฤษมีสัญญาณที่ดีขึ้นหลังจากตัวเลขราคาบ้าน(RICS house price) ปรับตัวดีขึ้นกว่าที่คาดไว้ ประกอบกับตัวเลขการลงทุนภาคอุตสาหกรรมในเดือน เม.ย. ของอังกฤษปรับตัวดีขึ้นมากเช่นกัน ในขณะที่ดุลการค้าของประเทศเยอรมันในเดือน เม.ย. ยังคงเกินดุลต่อเนื่อง ซึ่งเป็นปัจจัยทำให้ค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้นเช่นกัน
ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้นหลังจากที่ทางการญี่ปุ่นประกาศปรับลดอัตราการหดตัวทางเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสแรกของปี 52 จากเดิมที่หดตัวร้อยละ -15.2 ต่อ ไตรมาส (Q-o-Q annualized) และร้อยละ -9.1 ต่อปี (Y-o-Y) มาเป็นหดตัวร้อยละ -14.2 ต่อไตรมาส (Q-o-Q annualized) และร้อยละ -8.8 ต่อปี (Y-o-Y) ซึ่งเป็นการหดตัวที่ต่ำกว่าที่ทางการญี่ปุ่นคาดไว้เดิมที่ร้อยละ -15.0 ต่อปี ซึ่งเป็นปัจจัยบวกทำให้ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้น
อัตราการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นการแข็งค่าขึ้นมากกว่าค่าเงินสกุลอื่นๆ ในภูมิภาคส่วนใหญ่ อาทิเช่น ค่าเงินริงกิตมาเลเซีย เปโซฟิลิปปินส์ หยวน วอนและดอลลาร์ฮ่องกง
สาเหตุที่ค่าเงินภูมิภาคส่วนใหญ่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มาจากการที่บริษัทการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ S&P ประกาศว่าประเทศในเอเชียอาจจะโดนปรับลดความน่าเชื่อถือได้ในอนาคตจากปัญหาการขาดดุลทางการคลัง นอกจากนั้น ค่าเงินรูเปียห์ที่อ่อนค่าลงมากนั้นมาจากการที่บริษัทในอินโดนิเซียเข้าซื้อดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อนำไปชำระหนี้กลางปี ในขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประกาศว่าเศรษฐกิจฟิลิปปินส์จะหดตัวร้อยละ -1 ในปี 52 ซึ่งเป็นปัจจัยทำให้ค่าเงินรูเปียห์และค่าเงินเปโซอ่อนค่าลงมาก
อย่างไรก็ตาม เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นสวนทางกับค่าเงินภูมิภาคในสัปดาห์นี้เนื่องจากยังคงมีกระแสการไหลเข้าของเงินทุนมาสู่ตลาดหลักทรัพย์ไทยอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ดัชนี SET ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาถึงกว่า 25 จุด ประกอบกับภาคการส่งออกมีทิศทางปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้ยังคงมีเงินทุนไหลเข้าประเทศอย่างต่อเนื่องทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น
เงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยน (ร้อยละ 9.7) ริงกิตมาเลเซีย(ร้อยละ 3.4) ดอลลาร์สิงคโปร์ (ร้อยละ 2.7) หยวน (ร้อยละ 2.0) ดอลลาร์สหรัฐ(ร้อยละ 1.9) ดอลลาร์ฮ่องกง (ร้อยละ 1.9) เปโซฟิลิปปินส์ (ร้อยละ 1.9) ดอลลาร์ไต้หวัน (ร้อยละ 1.7) วอนเกาหลี (ร้อยละ 1.1) ยูโร (ร้อยละ 1.1) แต่อ่อนค่าเมื่อเทียบกับ ปอนด์สเตอลิงค์ (ร้อยละ -10.2) และรูเปียห์อินโดนิเซีย (ร้อยละ -5.3)ตามลำดับ
Foreign Exchange and Reserves
ในสัปดาห์ก่อน ณ วันที่ 5 มิ.ย. 52 ทุนสำรองระหว่างประเทศ (Net Reserve) ลดลงสุทธิ 0.03 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากสัปดาห์ก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 127.73 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นการลดลงของ Gross Reserve จำนวน 0.94 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเป็นการเพิ่มขึ้นของ Forward bligation จำนวน 0.91 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสาเหตุที่ทำให้ทุนสำรองเพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการที่ธปท.เข้าดูแลเสถียรภาพค่าเงินในสภาวะที่มีเงินลงทุนไหลเข้าอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งมีมูลค่าการซื้อสุทธิที่ประมาณ 0.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม การแข็งค่าขึ้นของค่าเงินบาทในสัปดาห์ดังกล่าวสะท้อนว่า ผลจากการเข้าแทรกแซงของทางการมีน้อยกว่าความต้องซื้อเงินบาทของนักลงทุนต่างชาติ จึงทำให้ค่าเงินบาทในสัปดาห์ที่ผ่านมาแข็งค่าขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า (29 พ.ค.52) ร้อยละ -0.68 บาท จาก 34.33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เป็น 34.10 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในสัปดาห์นี้
Major Trading Partners’ Economies: This Week
ตัวเลขตำ แหน่งงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯ เดือนพ.ค.52 ลดลง 345,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นการหดตัวเป็นเดือนที่ 17 ติดต่อกัน แต่เป็นการปรับลดที่น้อยที่สุดในรอบ 8 เดือน โดยชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่ลดลง 504,000 ตำแหน่ง (ตัวเลขปรับปรุง) โดยตำแหน่งงานในภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการลดลงถึง 156,000 และ 120,000 ตำแหน่งตามลำดับ ในขณะที่ตำแหน่งงานในภาคการศึกษาและสาธารณสุขเพิ่มขึ้น 44,000 ตำแหน่ง โดยนับตั้งแต่เศรษฐกิจสหรัฐฯเข้าสู่ภาวะถดถอย ผู้จ้างงานปรับลดตำแหน่งงานนอกภาคเกษตรลงถึง 6.0 ล้านตำแหน่ง ส่งผลให้อัตราการว่างงานพุ่งสูงขึ้นที่ร้อยละ 9.4 ซึ่งสูงสุดในรอบ 26 ปี
ตัวเลข GDP ปรับปรุงของญี่ปุ่นในไตรมาส 1 ปี 52 หดตัวร้อยละ -3.8 ต่อไตรมาส (หรือร้อยละ -8.8 ต่อปี) หดตัวชะลอลงเมื่อเทียบกับตัวเลขที่แถลงก่อนหน้านี้ เนื่องจากการใช้จ่ายเพื่อการลงทุนปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ดียังคงเป็นการหดตัวติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 4 สะท้อนว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงอยู่ในภาวะหดตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยหลักจากการลดการใช้จ่ายลงจากปัญหาการว่างงาน การปิดโรงงานและการลดการใช้จ่ายด้านการผลิต
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคญี่ปุ่นเดือนพ.ค.52 ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาอยู่ที่ระดับ 35.7 จุด จาก 32.4 จุดในเดือนเม.ย. 52 แต่ยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 50 เนื่องจากยังคงมีความกังวลในประเด็นของรายได้ ประกอบกับราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจในการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค
การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรในเขตเมืองของจีนถึงเดือนพ.ค.52 ขยายตัวถึงร้อยละ 32.9 ต่อปี เร่งขึ้นจากช่วง 4 เดือนแรกของปีที่ขยายตัวร้อยละ 30.5 ต่อปี โดยการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ขยายตัวเร่งขึ้นที่ร้อยละ 6.8 ต่อปี และการลงทุนในโครงการของรัฐบาลกลางและท้องถิ่นในช่วง 5 เดือนแรกของปีขยายตัวถึงร้อยละ 28.0 และ 33.4 ต่อปี ตามลำ ดับผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เน้นการสร้างสาธารณูปโภคในเขตเมือง
มูลค่าการส่งออกและนำ เข้าสินค้าของจีนเดือนพ.ค. 52 หดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 7 โดยมูลค่าการส่งออกหดตัวร้อยละ -26.4 ต่อปีหดตัวเร่งขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ร้อยละ -22.6 ต่อปี โดยในแง่มิติคู่ค้า การส่งออกไปยังสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น หดตัวเร่งขึ้นอย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ -16.9 -24.8 และ -19.9 ต่อปี ตามลำดับ ในขณะที่มูลค่าการนำเข้าหดตัวที่ร้อยละ -25.2 ต่อปี เร่งขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ร้อยละ -23.0 ต่อปีโดยดุลการค้าจีนเดือนพ.ค. 52 ยังคงเกินดุลที่ 13.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐใกล้เคียงกับเดือนก่อนหน้าที่เกินดุลที่ 13.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
มูลค่าการส่งออกและนำเข้าสินค้าของไต้หวันเดือนพ.ค.52 หดตัวต่อเนื่องเ ป็นเดือนที่ 9 ที่ร้อ ยละ -31.4 และร้อยละ -39.1 ต่อปีตามลำดับ หดตัวชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่หดตัวที่ร้อยละ -34.3 และร้อยละ -41.2 ต่อปี ตามลำดับ โดยในแง่มิติสินค้า การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลัก หดตัวชะลอลงที่ร้อยละ -18.6 ต่อปีในขณะที่ในแง่มิติคู่ค้า การส่งออกไปยังจีน (รวมฮ่องกง) และสหรัฐฯ ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของไต้หวัน หดตัวที่ร้อยละ -32.4 และ -28.0 ต่อปี ตามลำดับทำให้ดุลการค้าไต้หวันเดือนก.พ. 52 เกินดุลที่ 3.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่เกินดุล 2.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคออสเตรเลียเดือนมิ.ย. 52 อยู่ที่ระดับ 100.1 สูงสุดในรอบ 16 เดือน เนื่องจากผู้บริโภคตอบรับกับตัวเลข GDP ในไตรมาส แรกที่ขยายตัวร้อยละ 0.4 ต่อปี และร้อยละ 0.4 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ทำให้เศรษฐกิจออสเตรเลียไม่ได้เข้าสู่ภาวะถดถอย
ผลผลิตอุตสาหกรรมของประเทศมาเลเซียเดือนเม.ย. 52 หดตัวร้อยละ-11.4 ต่อปี ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ร้อยละ -12.7 ต่อปี โดยภาคการผลิตซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 2 ใน 3 ของผลผลิตอุตสาหกรรมทั้งหมด มีการหดตัวที่ร้อยละ -15.7 ต่อปี ลดลงจากเดือนก่อนที่หดตัวร้อยละ -17.0 ต่อปี
มูลค่าการส่งออกสินค้าของฟิลิปปินส์เดือนเม.ย. 52 หดตัวร้อยละ -35.2 ต่อปี หดตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่หดตัวร้อยละ -30.8 ต่อปี โดยการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลัก หดตัวชะลอลงที่ร้อยละ-33.2 ต่อปี ทั้งนี้ การส่งออกไปยังสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และจีน ประเทศคู่ค้ารายใหญ่ของฟิลิปปินส์ หดตัวร้อยละ -35.3 -34.7 และ -41.1 ต่อปี จากเดือนก่อนที่หดตัวร้อยละ -26.5 -37.6 และ -43.9 ต่อปี ตามลำดับ
ที่มา: Macroeconomic Analysis Group: Fiscal Policy Office
Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th