Economic Indicators: This Week
อัตราการว่างงานในเดือน มิ.ย. 52 อยู่ที่ร้อยละ 1.4 ของกำลังแรงงานลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ร้อยละ 1.7 ของกำลังแรงงานรวม โดยที่มีจำนวนผู้ว่างงานอยู่ที่ 5.5 แสนคน เมื่อพิจารณาด้านการจ้างงานพบว่าการจ้างงานรวมเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนเพิ่มขึ้น 1 ล้านคน คิดเป็นการเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 อันเป็นเป็นผลจากการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นในภาคเกษตรเนื่องจากเป็นช่วงฤดูเก็บเกี่ยวข้าวนาปรัง ขณะที่การจ้างงานในภาคการผลิตยังคงหดตัวลงต่อเนื่องเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ตามภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวลงแต่ในบางสาขาการผลิตเช่นเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และเคมีภัณฑ์ เริ่มมีการจ้างานกลับเข้ามาแล้ว
ยอดจำหน่ายปูนซีเมนต์ในเดือนมิ.ย. 52 ขยายตัวร้อยละ 5.5 ต่อปีจากเดือนก่อนที่หดตัวร้อยละ -13.0 ต่อปี เนื่องจากปัจจัยฐานต่ำเมื่อปีที่แล้วที่การลงทุนโดยเฉพาะการลงทุนในหมวดการก่อสร้างชะลอตัวตามเศรษฐกิจในประเทศและเศรษฐกิจโลก ทั้งนี้ ยอดจำหน่ายปูนซีเมนต์ในไตรมาสที่ 2 ปี 52 หดตัวลดลงที่ร้อยละ -6.7 ต่อปี จากไตรมาสก่อนหน้าที่หดตัวร้อยละ -12.5 ต่อปี ในขณะที่ยอดจำหน่ายเหล็กในเดือนมิ.ย. 52 หดตัวที่ร้อยละ -31.6 ต่อปี ใกล้เคียงกับเดือนก่อนหน้า ส่งผลให้ไตรมาสที่ 2 ปี 52 ยอดจำหน่ายเหล็กหดตัวที่ร้อยละ -34.6 ต่อปี จากไตรมาสก่อนที่หดตัวร้อยละ -39.4 ต่อปี ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศ โดยเฉพาะการลงทุนในหมวดก่อสร้าง สะท้อนว่าภาคการก่อสร้างปรับตัวดีขึ้น และคาดว่าในช่วงครึ่งหลังปี 52 ยอดจำหน่ายปูนซีเมนต์และยอดเหล็กจะปรับตัวดีขึ้นตามนโยบายภาครัฐที่ออกมากระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างในเดือนก.ค. 52 หดตัวร้อยละ -22.4 ต่อปี เป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน (ธ.ค.51 — ก.ค.52) โดยสาเหตุมาจากการลดลงของดัชนีหมวดเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กที่หดตัวลงร้อยละ-44.7 ต่อปี ในขณะที่ผลิตภัณฑ์คอนกรีตหดตัวลงเช่นกันที่ร้อยละ -8.2 ต่อปีโดยได้รับแรงกดดันจากอุปสงค์ที่ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่หดตัวลง อย่างไรก็ตาม การลดลงของดัชนีวัสดุก่อสร้างดังกล่าว จะเป็นปัจจัยบวกในการลงทุนในหมวดการก่อสร้างในระยะต่อไป
Economic Indicators: Next Week
ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรในเดือน ก.ค. 52 คาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 3.0 ต่อปี จากเดือนก่อนที่ขยายตัวที่ร้อยละ 1.7 ต่อปี ตามการผลิตที่เพิ่มขึ้นของผลผลิตสำคัญ โดยเฉพาะยางพารา เนื่องจากสภาพภูมิอากาศเอื้ออำนวยต่อการผลิต ประกอบกับราคายางพาราอยู่ในเกณฑ์ดี จูงใจให้เกษตรกรทำการผลิตและเก็บเกี่ยวเพิ่มขึ้น ในขณะที่ผลผลิตข้าวนาปรังยังหดตัวต่อเนื่อง เนื่องจากปัจจัยฐานสูงเมื่อปีที่แล้วที่ราคาข้าวขยายตัวในระดับสูงจึงจูงใจให้เกษตรกรทำการเพาะปลูกเพิ่มขึ้น ประกอบกับฝนที่ตกชุกในช่วงนี้ส่งผลให้ความชื้นสูง ทำให้ผลผลิตข้าวลดลง
ปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่งในเดือนก.ค. 52 คาดว่าจะหดตัวลดลงที่ร้อยละ -5.0 ต่อปี จากเดือนก่อนที่หดตัวร้อยละ -8.9 ต่อปี เนื่องจากเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปี 52 จะมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ตามนโยบายรัฐบาลที่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ทำ ให้คาดว่าการบริโภคภาคเอกชนในครึ่งปีหลังของปีจะปรับตัวดีขึ้นตาม ทั้งนี้ ในปี 52 คาดว่าปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่งจะหดตัวที่ร้อยละ -10.0 ต่อปี
ปริมาณจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ในเดือนก.ค. 52 คาดว่าจะหดตัวร้อยละ -17.0 ต่อปี จากเดือนก่อนที่หดตัวร้อยละ -16.5 ต่อปี ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชนที่คาดว่าจะยังคงฟื้นตัวช้ากว่าการบริโภคภาคเอกชนที่มีสัญญาณการฟื้นตัวชัดเจนกว่าในช่วงครึ่งหลังของปี แต่อย่างไรก็ตาม การผลิตภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นจะมีส่วนผลักดันให้ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ปรับตัวดีขึ้นในระยะต่อไป
Foreign Exchange Review
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นในช่วงสัปดาห์นี้มีแนวโน้มอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับเงินสกลอื่นๆส่วนใหญ่ตามความเชื่อมั่นของตลาดต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่มีเพิ่มมากขึ้นหลังจากการประกาศตัวเลข GDP ของสหรัฐฯประจำไตรมาสที่ 2 ของปี 52 ที่หดตัวน้อยที่ร้อยละ -1.0 ต่อปี (Q-o-Q annualized) ซึ่งเป็นการหดตัวน้อยกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ร้อยละ -1.5 ต่อปี ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมาตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวอาทิ (1) ตัวเลขดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (ISM Manufacturing) ของสหรัฐฯประจำเดือน ก.ค. ที่ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ในระดับที่สูงที่สุดในรอบ 12 เดือนที่ 48.9 (2) ตัวเลขยอดขายบ้าน (Pending home sales) ของสหรัฐในเดือน มิ.ย. ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 ที่ร้อยละ 3.6 ต่อเดือนและสูงกว่าที่คาดไว้ที่ร้อยละ 0.7 ต่อเดือนและ (3) ผลประกอบการส่วนใหญ่ของบริษัทจดทะเบียนของสหรัฐฯปรับตัวดีขึ้น โดยปัจจัยดังกล่าวได้ส่งผลให้ตลาดมีความต้องการที่จะถือสินทรัพย์ในสกุลที่มีความเสี่ยงมากขึ้น (high yielding currencies) และลดการถือสินทรัพย์ในสกุลที่มองว่ามีความปลอดภัยสูง (safe haven) อาทิดอลลาร์สหรัฐและเยนลง ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐและค่าเงินเยนมีแนวโน้มอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลของประเทศคู่ค้าอื่นๆ
ค่าเงินยูโรและค่าเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐตามความต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงที่มีมากขึ้นตามปัจจัยความเชื่อมั่น (risk appetite) ข้างต้น นอกจากนั้นค่าเงินสกุลยูโรยังได้รับอานิสงส์จากแถลงการณ์ของผู้ว่าการธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่มองว่าภาวการณ์ถดถอยของเศรษฐกิจในกลุ่ม ประเทศยูโรโซนนั้นจะสิ้นสุดลงภายในปี ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนค่าเงินยูโรให้แข็งค่าขึ้น ในขณะที่ค่าเงินปอนด์สเตอลิงค์ในสัปดาห์นี้ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการประกาศ ตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (GFK Consumer confidence) ของอังกฤษประจำเดือน ก.ค. ที่หดตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ -25 ซึ่งถือได้ว่าเป็นระดับที่สูงที่สุดใน รอบ 16 เดือนและการประกาศตัวเลขดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (CIPS/Markit Manufacturing PMI) ประจำเดือน ก.ค. ทีปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 50.8 ซึ่งจาก ระดับ 47.0 ในเดือนก่อนหน้าและสูงกว่าระดับที่ตลาดคาดไว้ที่ 47.7 ส่งผลให้นักลงทุนมีความมั่นใจต่อเศรษฐกิจอังกฤษมากขึ้น
ในขณะเดียวกัน ค่าเงินเยนอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจากปัจจัยความต้องการลดการถือสินทรัพย์ในสกุลที่มองว่ามีความปลอดภัยสูงค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นที่ร้อยละ 0.18 นับจากช่วงสัปดาห์ก่อนหน้าและแข็งค่าขึ้นที่ร้อยละ 0.21 นับจากช่วงต้นเดือน
อัตราการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาทดังกล่าวสอดคล้องกับค่าเงินภูมิภาคที่ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่แข็งค่าขึ้นตามแรงไหลเข้าของเงินทุนที่มีเพิ่มมากขึ้นตามปัจจัยความเชื่อมั่นของตลาดที่มีเพิ่มมากขึ้นและปัจจัยการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศในภูมิภาคส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตามค่าเงินในหลายประเทศคู่ค้าไม่แข็งค่าขึ้นเท่าที่ควรเนื่องจากธนาคารกลางของหลายประเทศอาทิ เกาหลีใต้และไต้หวันที่เข้าดูแลเสถียรภาพของค่าเงินวอนและดอลลาร์ไต้หวันเพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้ส่งออก
ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นที่ร้อยละ 0.18 จากสัปดาห์ก่อนซึ่งสอดคล้องกับเงินทุนไหลเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ไทยสุทธิที่มีมูลค่าสูงถึงประมาณ 5 พันล้านบาท อย่างไรก็ตาม ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวค่อนข้างมีเสถียรภาพมากขึ้นหลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เข้าดูแลเสถียรภาพของค่าเงิน
เงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยน (ร้อยละ 7.5) ริงกิตมาเลเซีย (ร้อยละ 3.6)เปโซฟิลิปปินส์ (ร้อยละ 2.8) หยวน (ร้อยละ 2.3) ดอลลาร์สหรัฐ (ร้อยละ 2.2)ดอลลาร์ฮ่องกง (ร้อยละ 2.2) สิงคโปร์ (ร้อยละ 2.1) ดอลลาร์ไต้หวัน (ร้อยละ 2.0)แต่อ่อนค่าเมื่อเทียบกับ ปอนด์สเตอลิงค์ (ร้อยละ -11.1) และรูเปียห์อินโดนิเซีย (ร้อยละ -7.0) วอนเกาหลี (ร้อยละ -0.7) ยูโร (ร้อยละ -0.4) ตามลำดับ
Foreign Exchange and Reserves
ในสัปดาห์ก่อน ณ วันที่ 31 ก.ค.52 ทุนสำรองระหว่างประเทศ (Net Reserve)เพิ่มขึ้นสุทธิ 1.87 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากสัปดาห์ก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 134.77 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของ Gross Reserve จำนวน 0.96 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และ Forward Obligation จำนวน 0.91 พันล้านดอลลาร์สหรัฐสาเหตุส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้าดูแลเสถียรภาพค่าเงินเพื่อไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมากนัก ในภาวะที่มีเงินไหลเข้า โดยในตลาดหลักทรัพย์ พบว่าต่างชาติมีการซื้อสุทธิที่ประมาณ 0.22 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ประกอบกับคาดว่าผู้ส่งออกยังคงมีความต้องการขายเงินดอลลาร์สหรัฐจากการที่ยังคงมีการเกินดุลการค้า ทั้งนี้ การเข้าดูแลค่าเงินบาทของธปท.มีมากกว่าความต้องการขายเงินดอลลาร์สหรัฐโดยรวม จึงทำให้ค่าเงินบาทในสัปดาห์ที่ผ่านมาอ่อนค่าลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า (24 ก.ค. 52) ร้อยละ 0.14 บาท จาก 33.94 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เป็น 33.99 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในสัปดาห์นี้
Major Trading Partners’ Economies: This Week
ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคอุตสาหกรรมสหรัฐฯ (ISM Mfg PMI)เดือนก.ค. 52 ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ที่ระดับ 48.9 สูงขึ้นมากจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 44.8 โดยดัชนียอดคำสั่งซื้อสินค้าใหม่และดัชนีการผลิตปรับตัวสูงขึ้นเกินระดับ 50 บ่งชี้ว่าคำสั่งซื้อและการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมกลับมาขยายตัวได้อีกครั้ง ส่งสัญญาณว่าภาคอุตสาหกรรมสหรัฐฯ น่าจะกลับมาขยายตัวได้อีกในอนาคตอันใกล้ ถึงแม้ว่าตัวเลขปัจจุบันจะยังคงต่ำกว่าระดับ 50 บ่งชี้ว่าภาคอุตสาหกรรมยังคงอยู่ในภาวะหดตัวก็ตาม
ดัชนีการจัดซื้อภาคอุตสาหกรรม (Mfg PMI) ของยูโรโซนเดือน ก.ค.52 อยู่ที่ระดับ 46.3 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 42.6 และเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่เดือน ส.ค. 51 เนื่องจากผู้ประกอบการระบายสินค้าคงคลังออกไปได้เป็นจำนวนมากอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ ภาคอุตสาหกรรมของยูโรโซนมีแนวโน้มที่ดีขึ้น เห็นได้จากดัชนีคำสั่งซื้อสินค้าอุตสาหกรรมในเดือนก.ค. อยู่ที่ระดับ 49.8 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 49.3
ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคอุตสาหกรรมจีนเดือนก.ค. 52 โดยทางการจีน อยู่ที่ระดับ 53.3 สูงขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ53.2 ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับดัชนีที่รวบรวมโดยบริษัท CLSA ที่อยู่ที่ระดับ 52.8 โดยดัชนีที่มากกว่าระดับ 50 สะท้อนให้เห็นถึงการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมจีนอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 (จากตัวเลขของทางการจีน)
ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคอุตสาหกรรมของฮ่องกง (PMI) เดือนก.ค. 52 ปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบ 1 ปีที่ระดับ 49.9 จากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 47.1 โดยดัชนีที่ปรับตัวสูงขึ้นใกล้แตะระดับ 50 เป็นสัญญาณว่าภาคอุตสาหกรรมฮ่องกงใกล้จะกลับมาขยายตัวได้อีกครั้ง
ยอดค้าปลีกของออสเตรเลียเดือนมิ.ย.52 หดตัวลงที่ร้อยละ -1.4 จากเดือนก่อนหน้า เปรียบเทียบกับเดือนพ.ค.52 ที่ขยายตัวร้อยละ 1.0 จาก เดือนก่อนหน้า โดยสาเหตุหลักมาจากการที่ยอดขายสินค้าไม่คงทนเช่นเสื้อผ้า หดตัวลง
มูลค่าส่งออกสินค้าของเกาหลีใต้เดือนก.ค.52 หดตัวเร่งขึ้นที่ร้อยละ-20.1 ต่อปี จากเดือนก่อนหน้าที่หดตัวร้อยละ -12.4 ต่อปี ผลจากวันทำการ ที่ไม่เท่ากันกับปีก่อนหน้า และมูลค่านำเข้าสินค้าหดตัวที่ร้อยละ -35.8ต่อปี จากเดือนก่อนหน้าหดตัวที่ร้อยละ -32.9 ต่อปี โดยการนำเข้าสินค้าทุนหดตัวเพียงร้อยละ -13.1 ต่อปี น้อยกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงครึ่งปีแรกที่ร้อยละ-26.3 ต่อปี บ่งชี้ถึงเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ที่มีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดีขึ้น
มูลค่าการส่งออกสินค้าของมาเลเซียเดือนมิ.ย. 52 หดตัวร้อยละ-22.6 ต่อปี ชะลอลงจากเดือนก่อนที่ร้อยละ -29.7 ต่อปี โดยในแง่มิติสินค้าการส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าซึ่งเป็นสินค้าหลักหดตัวร้อยละ -17.0 ต่อปี ส่วนการส่งออกไปยังประเทศคู่ค้ารายใหญ่ ซึ่งได้แก่ อาเซียน จีน และสหรัฐฯ หดตัวร้อยละ -19.7 -8.5 และ -29.3 ต่อปี ตามลำดับ ในขณะที่มูลค่าการนำเข้าสินค้าในเดือนมิ.ย. 52 หดตัวร้อยละ -20.8 ต่อปี ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่ร้อยละ -27.8 ต่อปี และดุลการค้าเกินดุล 9.1 พันล้านริงกิต
มูลค่าการส่งออกสินค้าของเวียดนามในเดือนก.ค. 52 หดตัวเร่งขึ้นที่ร้อยละ -24.0 ต่อปี จากเดือนก่อนที่หดตัวร้อยละ -13.9 ต่อปี โดยเป็นผลจากการหดตัวของสินค้าสำ คัญโดยเฉพาะสินค้าเกษตร เช่น ข้าว และผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ ที่หดตัวลงร้อยละ -33.5 และ -4.7 ต่อปี ตามลำ ดับในขณะที่การนำเข้าสินค้าในเดือนก.ค.52 หดตัวลงที่ร้อยละ -14.9 ต่อปี จากการหดตัวของการนำ เข้าสินค้าวัตถุดิบและปิโตรเลียม ส่งผลให้ดุลการค้าเวียดนามในเดือนก.ค.52 ขาดดุลที่ 1.25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
มูลค่าการส่งออกสินค้าของอินโดนีเซียเดือนมิ.ย. 52 หดตัวร้อยละ-27.2 ต่อปี ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้าที่หดตัวร้อยละ -28.3ต่อปี ด้านคู่ค้า การส่งออกสินค้าที่หักเชื้อเพลิงไปยังญี่ปุ่นขยายตัวร้อยละ 4.0ต่อปี ในขณะที่ตลาดสหรัฐฯ ยุโรป และจีน หดตัวร้อยละ -25.4 -28.5 และ-4.0 ต่อปี ตามลำดับ ขณะที่มูลค่าการนำเข้าสินค้าหดตัวร้อยละ -34.4ต่อปี เร่งขึ้นจากเดือนก่อนที่ร้อยละ -32.7 ต่อปี ส่วนดุลการค้าเกินดุล 1.38พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ธนาคารกลางอินโดนีเซียปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเหลือร้อยละ 6.50 ต่อปี จากร้อยละ 6.75 ต่อปี จากภาวะเงินเฟ้อที่ปรับตัวลดลง และค่าเงินรู เปียห์ที่แข็งค่าขึ้น
ที่มา: Macroeconomic Analysis Group: Fiscal Policy Office
Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th