Macro Morning Focus ประจำวันที่ 20 ส.ค. 2552
SUMMARY:
1. พาณิชย์เผยส่งออกก.ค.หดตัวร้อยละ -25.7 ต่อปี
2. นักลงทุนจีนมั่นใจไทยร่วมลงทุนมูลค่า 827 ล้านดอลลาร์
3. ราคาน้ำมันดิบร่วง หลังปริมาณน้ำมันดิบคงคลังเพิ่มสูงขึ้น
HIGHLIGHT:
1. พาณิชย์เผยส่งออก ก.ค. 52 หดตัวร้อยละ -25.7 ต่อปี
- ปลัดกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า มูลค่าการส่งออกในเดือน ก.ค.52 อยู่ที่ 12,908 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นการหดตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ -25.7 ต่อปี ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 12,202 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นการหดตัวร้อยละ -32.5 ต่อปี ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล 706 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ มูลค่าการส่งออกเดือนเดือน ก.ค. 52 ถือว่ามีมูลค่าสูงสุดนับตั้งแต่ต้นปี 52 และคาดว่าการส่งออกตั้งแต่เดือน ส.ค. 52 เป็นต้นไป จะมีมูลค่าสูงเกินกว่า 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม ในปีนี้กระทรวงพาณิชย์จะพยายามผลักดันการส่งออกให้ติดลบน้อยที่สุด หรือให้ใกล้เคียงระดับร้อยละ -10.0 ต่อปี
- สศค. วิเคราะห์ว่า การส่งออกของไทยในเดือน ก.ค. 52 หดตัวที่ร้อยละ -25.7 ต่อปี หดตัวชะลอลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนที่หดตัวร้อยละ -25.9 ต่อปี โดยสินค้าที่หดตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ สินค้าเกษตร อุตสาหกรรมเกษตร และเชื้อเพลิง ขณะที่สินค้าอุตสาหกรรมโดยเฉพาะชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าหดตัวชะลอลง ขณะที่การนำเข้าหดตัวเพิ่มขึ้นจากผลของการนำเข้าวัตถุดิบที่หดตัวถึงร้อยละ -33.8 ต่อปี และหากพิจารณาเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าขจัดฤดูกาล พบว่า ส่งออกสินค้ารวมขยายตัวเป็นเดือนที่ 2 ที่ร้อยละ 2.6 ต่อเดือน โดยได้แรงขับเคลื่อนจากการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม (อิเล็กทรอนิกส์ ไฟฟ้า ยานยนต์ สิ่งทอ พลาสติก เป็นต้น) และอุตสาหกรรมเกษตร ทั้งนี้ สศค. คาดว่าการส่งออกของไทยในปี 52 จะหดตัวที่ร้อยละ -20.2 ต่อปี
2. นักลงทุนจีนมั่นใจไทยร่วมลงทุนมูลค่า 827 ล้านดอลลาร์
- ประธานสภาธุรกิจไทยจีนเปิดเผยถึงการเชิญนักธุรกิจจากมณฑลเหอหนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน เข้ามาเยือนเมืองไทยกว่า 170 ราย เพื่อเข้ามาหาโอกาสความร่วมมือทางการค้า และการลงทุน โดยเจรจาจับคู่ธุรกิจกับไทย และเพื่อต้องการสร้างความเชื่อมั่นและบรรยากาศในการลงทุนของไทยให้กับนักธุรกิจต่างชาติในภาวะเศรษฐกิจโลกตกต่ำ พบว่าก่อให้เกิดการลงนามโครงการความร่วมมือทางด้านการค้าและการลงทุนในประเทศจีน 9 โครงการ มูลค่า 827 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ
- สศค. วิเคราะห์ว่า การร่วมลงทุนระหว่างธุรกิจไทยและธุรกิจจีนในประเทศจีนถือเป็นจังหวะที่เหมาะสม เพราะจีนมีเงินลงทุนมหาศาลและต้องการใช้ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อขยายตลาดในภูมิภาค อีกทั้ง ไทยยังต้องการเม็ดเงินลงทุนต่างชาติเข้ามาสร้างการผลิต สร้างงาน และต้องการเป็น Hub ในหลายๆ การผลิต นอกจากนี้ เศรษฐกิจจีนยังเป็นคู่ค้าที่มีศักยภาพ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกครั้งนี้ไม่มากนัก โดยในไตรมาส 2 ปี 52 เศรษฐกิจจีนสามารถขยายตัวที่ร้อยละ 7.9 ต่อปี เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 6.1 ต่อปี โดยได้รับอานิสงค์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศของรัฐบาลจีนเป็นสำคัญ
3. ราคาน้ำมันดิบร่วง หลังปริมาณน้ำมันดิบคงคลังเพิ่มสูงขึ้น
- ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสได้ปรับตัวลดลงจากระดับสูงสุดในรอบเกือบ 2 เดือนที่ 71.97 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล มาปิดที่ 69.19 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ในวันที่ 18 ส.ค. 52 เนื่องจากได้รับแรงกดดันจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่กลับมาแข็งค่าขึ้นอีกครั้ง ประกอบกับตัวเลขปริมาณน้ำมันดิบคงคลังของสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้นอีก 1.7 ล้านบาร์เรล เนื่องจากโรงกลั่นปรับลดกำลังการผลิตลงมาอยู่ที่ร้อยละ 84.5 ของกำลังการผลิตรวม
- สศค. วิเคราะห์ว่า ปัจจัยหลักที่ทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นผลจากการประกาศตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในสหรัฐฯ ในเดือน ส.ค. 52 ที่ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 63.2 จากระดับ 66.0 ในเดือน ก.ค. 52 ทำให้นักลงทุนกังวลถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ จึงมีการเทขายหุ้น รวมทั้งสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทน้ำมันในตลาดซื้อขายล่วงหน้า และเคลื่อนย้ายเงินไปลงทุนในตลาดเงินที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า ทั้งนี้ สศค. คาดว่าราคาน้ำมันดิบในช่วงที่เหลือของปี 52 จะเคลื่อนไหวผันผวนอยู่ในกรอบกว้าง 60-80 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
ที่มา: Macroeconomic Analysis Group: Fiscal Policy Office
Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th