ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจที่น่าสนใจ ดังนี้
Cabinet Office ได้เปิดเผยว่า GDP ประจำไตรมาส 2 ปีนี้ ขยายตัวร้อยละ 3.7 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ซึ่งการเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรก หลังจากที่ถดถอยมาตลอดในรอบ 5 ไตรมาสที่ผ่านมาเนื่องจากการส่งออกเพิ่มขึ้นและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลส่งผลดีต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น โดยสาเหตุมาจาก 1) การลดภาษีรถยนต์ eco car ทำให้มีจำนวนรถยนต์ที่จดทะเบียนเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 4 เดือนแล้ว 2) จำนวนเงินลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 5 เดือนแล้ว และ 3) โครงการสะสม Eco Point เมื่อซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดพลังงานและเงินช่วยเหลือที่ให้ประชาชนทำให้ยอดจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นนับจากปลายเดือน พ.ค.52 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ อุปสงค์ภายนอกประเทศ (External Demand) ส่งผลให้ GDP เพิ่มขึ้น 1.6 จุด ขณะที่อุปสงค์ภายในประเทศ (Domestic Demand) ประกอบด้วย การใช้จ่ายผู้บริโภค (Consumer Spending) และการลงทุนภาคเอกชน (Capital Investment) ทำให้ GDP ลดลง 0.7 จุด
ส่วนการใช้จ่ายภาคเอกชน (Private Consumption) ที่มีสัดส่วนร้อยละ 55 ของ GDP เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.8 เนื่องจากยอดจำหน่ายรถยนต์และโทรทัศน์เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.6 จากไตรมาสก่อน ขณะที่การลงทุนภาคเอกชน (Private Investment) โดยเฉพาะการลงทุนด้านที่อยู่อาศัยลดลงร้อยละ 4.3 และ9.5 ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ยังมีความกังวลจากหลาย ฝ่ายว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงเปราะบางเพราะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรปยังอ่อนแอมาก ซึ่งจะมีผลให้การส่งออกของญี่ปุ่นยังมีความไม่แน่นอนสูง
Small and Medium Enterprise Agency ภายใต้กระทรวง METI ได้เปิดเผยว่า จำนวนบริษัทที่เข้าร่วมแผนฟื้นฟู SMEs ระหว่างเดือนเม.ย — มิ.ย.52 มีจำนวน 96 รายเพิ่มขึ้นร้อยละ 70 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนหน้าที่มีจำนวน 56 ราย โดยบริษัทที่ขอปรับเปลี่ยนเงื่อนไขหนี้สินกับสถาบันการเงินมีจำนวนถึงร้อยละ 90 แต่จำนวนการไม่จ่ายคืนหนี้ของบริษัทนั้นลดลงเหลือเพียงร้อยละ 5 ซึ่งภายหลังที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ นับตั้งแต่ช่วงสิ้นปี 51 ที่ผ่านมา METI ได้เสนอผ่อนปรนกฎการตรวจสอบทางด้านการเงิน ทำให้สถาบันการเงินสามารถช่วยเหลือและตอบสนองความต้องการของ SMEs ได้มากขึ้น โดยบริษัทที่เข้าร่วมแผนฟื้นฟูจำนวนร้อยละ 55.2 นั้น ได้ใช้วิธีการลดค่าใช้จ่ายแทนการเลิกจ้างงาน จึงทำให้สามารถรักษาสถานะการจ้างงานได้ถึง 5,536 คนมากกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนหน้าถึง 2.5 เท่า จากข้อมูลผู้เข้าร่วมแผนฟื้นฟูในปีนี้ปรากฎว่า บริษัทขนาดใหญ่ที่มีรายได้มากกว่า 500 ล้านเยนเข้าร่วมแผนฟื้นฟูเป็นจำนวนร้อยละ 57.3 เพิ่มมากขึ้นกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนหน้าที่มีจำนวนเท่ากับร้อยละ 36.3 แสดงให้เห็นว่าบริษัท SMEs ที่มีขนาดใหญ่นั้นประสบปัญหาเพิ่มมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา
สำนักงานที่ปรึกษาเศรษฐกิจและการคลัง ณ กรุงโตเกียว
ที่มา: Macroeconomic Analysis Group: Fiscal Policy Office
Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th