ภาวะเศรษฐกิจสหราชอาณาจักร มีนาคม 2553

ข่าวเศรษฐกิจ Friday April 9, 2010 12:02 —กระทรวงการคลัง

ภาพรวมเศรษฐกิจ (มีนาคม 2553)

บทสรุป

ภาวะเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักร ประจำเดือนมีนาคม พบว่าเสถียรภาพภายใน (internal stability) ยังทรงตัวแต่ก็มีความเปราะบางขาดความแน่นอนเมื่อดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีขึ้นมาต่อเนื่อง 4 เดือนก่อนหน้ากลับหดตัวลงในเดือนมกราคมอย่างผิดความคาดหมาย แต่ดัชนีค้าปลีกในเดือนกุมภาพันธ์กลับขยายตัวดีขึ้นร้อยละ 2.1 จากที่หดตัวแรงถึงร้อยละ 3.0 ในเดือนมกราคม ขณะที่ราคาที่อยู่อาศัยในเดือนกุมภาพันธ์กลับชะลอลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน แม้การเปรียบเทียบปีต่อปีจะยังดีขึ้นก็ตาม ในส่วนของการว่างงานแม้จะอยู่ในระดับสูงแต่ก็ถือว่ามีเสถียรภาพดีขึ้นต่อเนื่องโดยที่อัตราการว่างงานเดือนมกราคมทรงตัวที่ร้อยละ 7.8 เป็นเดือนที่ 4 และจำนวนผู้ว่างงานก็ลดลงเล็กน้อยต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อผ่อนคลายลงในเดือนกุมภาพันธ์เมื่อเงินเฟ้ออ่อนตัวลงมาอยู่ที่ร้อยละ 3.0 จากร้อยละ 3.5 ในเดือนที่แล้วจากผลของปัจจัยระยะสั้น เช่น ราคาน้ำมัน อัตราภาษี VAT และการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้านำเข้า ภาคการเงิน เดือนมีนาคม Bank of England คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Bank rate) ไว้ที่ร้อยละ 0.5 เป็นเดือนที่ 12 และคงวงเงิน QE จำนวน 200 พันล้านปอนด์ไว้ตามเดิม แม้อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นจะทรงตัวในระดับต่ำแต่อัตราผลตอบแทนระยะยาวขยับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 สะท้อนความเสี่ยงจากฐานะการคลังของประเทศ โดยภาพรวมสินเชื่อเริ่มมีสัญญาณที่ขัดแย้งกันเนื่องจากสินเชื่อภาคธุรกิจเดือนกุมภาพันธ์ยังคงหดตัวแรง แต่สินเชื่อภาคครัวเรือนกลับขยายตัวอย่างแข็งแรงเป็นเดือนที่ 3 โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย เสถียรภาพภายนอก (external stability) เริ่มน่ากังวลเมื่อการขาดดุลการค้าและบริการในเดือนมกราคมพุ่งขึ้นถึง 3.8 พันล้านปอนด์ จาก 2.6 พันล้านปอนด์ในเดือนที่แล้วแม้เงินปอนด์มีทิศทางที่อ่อนค่าลงตลอดนับจากปลายปีที่แล้วก็ตาม สำหรับค่าเงินปอนด์ในเดือนมีนาคมอ่อนค่ากับเงินทุกสกุลจากความเสี่ยงของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังมีอยู่ และปัญหาการขาดดุลการคลัง

ฐานะการคลัง เดือนกุมภาพันธ์รัฐบาลขาดดุลงบประมาณ 12.4 พันล้านปอนด์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 41.0 จากปีที่แล้ว ส่งผลให้ยอดหนี้สาธารณะต่อ GDP ขึ้นมาอยู่ที่ระดับร้อยละ 60.3 เทียบกับร้อยละ 50.5 ในปีที่แล้ว

ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมกราคมหดตัวลงครั้งแรกรอบ 5 เดือน

ดัชนีชี้วัดการผลิตภาคอุตสาหกรรม (Industrial Production Index: IPI) ในเดือนมกราคมชะลงสู่ระดับ 87.0 จุด ลดลงร้อยละ 0.4 จากเดือนที่แล้ว ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือนที่ดัชนีปรับตัวลดลงหลังจากโดยดัชนีเพิ่มขึ้นโดยตลอด 4 เดือนก่อนหน้า เนื่องจากการหดตัวของการผลิตหมวดสินค้าอุตสาหกรรมที่หดตัวลงร้อยละ 0.9 ขณะที่การผลิตในหมวดอื่นไม่ว่าจะเป็นการผลิตหมวดเหมืองแร่ ทรัพยากร ธรรมชาติ และน้ำมัน หมวดพลังงานไฟฟ้า น้ำ และก๊าซ และหมวดการผลิตน้ำมันและก๊าสที่ขยายตัวร้อยละ 1.4 1.3 และ 1.1 ตามลำดับ ซึ่งการที่ดัชนีในเดือนแรกของปีกลับหดตัวลงสะท้อนถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังคงเปราะบาง แม้ว่าเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวในไตรมาสที่ 4 ของปีที่แล้วก็ตาม

House Price Index ลดลงจากเดือนที่แล้วร้อยละ 1.5 ครั้งแรกในรอบ 8 เดือน

ดัชนีราคาที่อยู่อาศัยเฉลี่ยทั่วประเทศวัดโดย Halifax House Price Index (HPI) ประจำเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ระดับ 540.0 จุด ลดลงจากเดือนที่แล้วร้อยละ 1.5 ถือเป็นเดือนแรกที่ลดลงหลังจากเพิ่มขึ้น 7 เดือนติดต่อกันก่อนหน้านี้ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว ราคาที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.5 ถือเป็นเดือนที่ 3 ที่ปรับเพิ่มขึ้นหลังจากก่อนหน้านี้ติดลบ 21 เดือนติดต่อกันนับจากเดือนสิงหาคม 2007 โดยค่าเฉลี่ยของราคาที่อยู่อาศัยในเดือนนี้อยู่ที่ระดับ 166,857 ปอนด์ต่อหลัง ทั้งนี้ ดัชนีในเดือนนี้อยู่ต่ำกว่าจุดสูงสุดเมื่อเดือนสิงหาคม 2007 อยู่ร้อยละ 16.4 ซึ่งสาเหตุที่ราคาที่อยู่อาศัยในเดือนนี้ลดลงจากเดือนที่แล้วมาจากการที่มีอุปทานที่อยู่อาศัยเข้าสู่ตลาดเพิ่มมากขึ้น การที่สภาพอากาศหนาวจัดในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ และการกลับมาใช้บังคับของอากรแสตมป์ขั้นต่ำสำหรับการโอนบ้านที่มีราคาขั้นต่ำ 125,000 ปอนด์ขึ้นไปก็มีส่วนต่อการชะลอตัวลงของราคาที่อยู่อาศัย

CPI เดือนกุมภาพันธ์อ่อนตัวลงเหลือ 3.0% ขณะที่ RPI ทรงตัว 3.7%

ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ระดับร้อยละ 3.0 ชะลอลงจากร้อยละ 3.5 ในเดือนที่แล้ว โดยราคาสินค้ามีการปรับเพิ่มขึ้นเกือบทุกหมวดในเดือนนี้ ยกเว้นหมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า และหมวดสาธารณูปโภคภายในครัวเรือนที่ระดับราคาลดลงจากปีก่อน ขณะที่ดัชนี Retail Price Index (RPI) ยังคงทรงตัวร้อยละ 3.7 เท่ากับเดือนที่แล้ว โดยสาเหตุหลักที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อยังทรงตัวในระดับสูงแม้จะชะลอตัวลงบ้างก็ตาม ยังคงมาจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ราคาน้ำมัน การปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 17.5 เมื่อเดือนมกราคม และสินค้านำเข้าปรับตัวสูงจากการอ่อนค่าของเงินปอนด์

อัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 7.8% เป็นเดือนที่ 4 โดยยอดผู้ว่างงานลดลงเล็กน้อยเป็นเดือนที่ 3

ในรอบ 3 เดือนสิ้นสุดเดือนมกราคม (พฤศจิกายน-มกราคม) จำนวนผู้มีงานทำ (employment level) มีจำนวน 28.860 ล้านคน ลดลง 54,000 คน หรือร้อยละ 0.2 จากรอบ 3 เดือนก่อนหน้า (สิงหาคม-ตุลาคม) แต่เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้วจำนวนผู้มีงานทำลดลง 482,000 คน หรือลดลงร้อยละ 1.6 โดยอัตราการมีงานทำอยู่ที่ระดับร้อยละ 72.2 ของผู้ที่อยู่ในวัยทำงานทั้งหมด (working age employment rate) ลดลงร้อยละ 0.2 จากไตรมาสก่อนหน้า

ทางด้านจำนวนผู้ว่างงานและอัตราการว่างงานมีสัญญาณดีขึ้นต่อเนื่อง เมื่ออัตราการว่างงานในเดือนนี้ทรงตัวที่ระดับร้อยละ 7.8 เป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน ขณะที่ยอดผู้ว่างงานเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 2.449 ล้านคน ลดลง 33,000 คนจากไตรมาสก่อนหน้า นับเป็นเดือนที่ 3 ที่จำนวนผู้ว่างงานลดลง หลังจากที่จำนวนผู้ว่างงานเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 18 เดือนก่อนหน้านั้น อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้วยอดผู้ว่างงานยังคงเพิ่มขึ้น 383,000 คน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.5 ชะลอลงจากเดือนที่แล้ว

อัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยน

Bank of England คงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับร้อยละ 0.5 เป็นเดือนที่ 12 และคงมาตรการ QE จำนวน 200 พันล้านปอนด์ตามเดิม

เมื่อวันที่ 4 มีนาคม คณะกรรมการนโยบายการเงิน (MPC) ของธนาคารกลางอังกฤษ มีมติเอกฉันท์ 9:0 ให้คงอัตราดอกเบี้ย Bank rate ไว้ตามเดิมที่ระดับร้อยละ 0.50 เป็นเดือนที่ 12 ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำที่สุดนับจากก่อตั้ง Bank of England ในปี 1694 พร้อมกับคงยอดคงค้างการรับซื้อตราสารหนี้ภาครัฐและเอกชน (Asset Purchased Facility) จำนวน 200 พันล้านปอนด์ตามมาตรการ Quantitative Easing ไว้ตามเดิม ทั้งนี้ คณะกรรมการเห็นว่าข้อมูลล่าสุดที่มีออกบ่งชี้ว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังคงไม่มีความแน่นอน เนื่องจากแม้เงินปอนด์จะอ่อนค่าแต่การส่งออกกลับได้รับผลกระทบจากการที่ความต้องการของประเทศคู่ค้าในสหภาพยุโรปถูกบั่นทอนลงจากปัญหาวิกฤตการคลัง การชะลอสินเชื่อของสถาบันการเงิน รวมถึงข้อจำกัดทางด้านนโยบายการคลังของรัฐบาลเองเริ่มมีมากขึ้น แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อในช่วงนี้จะเร่งตัวขึ้นเร็วโดยในเดือนมกราคมอัตราเงินเฟ้อขึ้นไปถึงร้อยละ 3.5 เนื่องจากผลของปัจจัยระยะสั้นไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มของราคาน้ำมัน การเพิ่ม VAT และราคาสินค้านำเข้าที่สูงขึ้นจากการที่เงินปอนด์อ่อนค่าและคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะยังสูงอยู่ต่อไปในระยะ 2-3 ไตรมาสข้างหน้า ซึ่งต้องติดตามดูว่าจะส่งผลให้เกิดการปรับการคาดการณ์ต่ออัตราเงินเฟ้อ (inflation expectation) ของประชาชนมากน้อยเพียงใด อย่างไรก็ดี คณะกรรมการเห็นว่ากำลังการผลิตส่วนเกินในระบบเศรษฐกิจยังมีอยู่ประกอบกับภาวะสินเชื่อที่ยังชะลอตัวจึงเห็นว่ายังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนนโยบายในขณะนี้ โดยการประชุมครั้งต่อไปจะมีขึ้นในวันที่ 8 เมษายน

ในเดือนกุมภาพันธ์ค่าเฉลี่ยของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อที่อยู่ค่อนข้างทรงตัวเท่ากับเดือนที่แล้ว โดยสินเชื่อชนิดอัตราดอกเบี้ยลอยตัว (flexible rate) อยู่ที่ระดับร้อยละ 4.05 ขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่อิงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (bank rate tracker mortgage) อยู่ที่ระดับร้อยละ 3.70 ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยทั้ง 2 ประเภทสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ระดับ 355 และ 320 basis points ตามลำดับ กว้างกว่าในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับสูงในช่วงปี 2008

โครงสร้างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรเฉลี่ย (average yield curve) ประจำเดือนมีนาคมพบว่าโดยรวมแล้วอัตราผลตอบแทนระยะสั้นไม่เกิน 1 ปีอยู่ในระดับใกล้เคียงกับเดือนที่แล้วโดยเพิ่มขึ้นเพียง 1 basis point ยกเว้นอายุ 1 ปีที่ลดลง 1 basis point ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 5 ปี ลดลง 6 basis points แต่พันธบัตรอายุ 10 ปี และ 20 ปี เพิ่มขึ้น 0 และ 5 basis points ตามลำดับ นับเป็นเดือนที่ 5 ที่อัตราผลตอบแทนระยะยาวอายุ 10 ปีและ 20 ปีปรับเพิ่มขึ้นซึ่งน่าจะสะท้อนถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากการที่รัฐบาลมีฐานะการคลังขาดดุลค่อนข้างมากและยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลงในอนาคตอันใกล้

ปริมาณเงินยังคงชะลอตัวเช่นเดียวกับภาวะสินเชื่อ โดยสินสินเชื่อธุรกิจกลับหดตัวลงอีก แต่สินเชื่อครัวเรือนดีขึ้นต่อเนื่อง

ปริมาณเงินตามความหมายกว้าง (M4) ในเดือนกุมภาพันธ์เพิ่มขึ้น 4.4 พันล้านปอนด์ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 จากเดือนที่แล้วและเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.6 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งอัตราการเพิ่มของปริมาณเงินยังคงชะลอตัวลงต่อเนื่อง (เดือนที่แล้ว +4.7%) ขณะที่ปริมาณสินเชื่อตามความหมายกว้าง (M4 lending) ในเดือนนี้ลดลงจากเดือนที่แล้ง 5.3 พันล้านปอนด์ หรือลดลงร้อยละ 0.2 แต่ยังคงเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยยอดคงค้างสินเชื่อยังคงมีในอัตราการเพิ่มที่ชะลอลงต่อไปเช่นกัน (เดือนที่แล้ว +5.5%)

การปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินสู่ภาคธุรกิจ (lending to private corporation) มียอดคงค้าง 481,481 ล้านปอนด์ หดตัวร้อยละ 0.8 จากเดือนที่แล้ว และหดตัวร้อยละ 4.1 จากปีก่อนหน้า โดยเดือนนี้หดตัวค่อนข้างแรงและถือเป็นการหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 10 นับจากสินเชื่อเริ่มมีการชะลอตัวตั้งแต่กลางปี 2008 อย่างไรก็ดี สินเชื่อสู่ภาคครัวเรือน (lending to household sector) ที่มียอดคงค้าง 1,212,031 ล้านปอนด์ ขยายตัวร้อยละ 0.2 จากเดือนที่แล้ว และขยายตัวร้อยละ 3.6 จากเดือนที่แล้ว เป็นเดือนที่ 3 ที่สินเชื่อภาคครัวเรือนขยายตัว โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ขณะที่สินเชื่อบัตรเครดิตเริ่มฟื้นตัวเล็กน้อยเป็นเดือนแรก การปรับตัวดีขึ้นของสินเชื่อภาคครัวเรือนน่าจะส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชนในระยะต่อไป

อัตราแลกเปลี่ยน : เงินปอนด์อ่อนค่ากับทุกสกุลไม่เว้นแม้กับเงินยูโร

เงินปอนด์เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ. ในเดือนมีนาคมอ่อนค่าลงเป็นเดือนที่ 4 และทำสถิติอ่อนค่าสุดในรอบ 10 เดือนเมื่อเงินปอนด์มีระดับปิดวันแรกของเดือนต่ำกว่า 1.50 $/ปอนด์ นับจากเดือนพฤษภาคม 2009 แต่เงินปอนด์ก็สามารถกลับขึ้นมาเหนือระดับ 1.50 $/ปอนด์ ได้ในช่วง 2 สัปดาห์แรกโดยสามารถขึ้นไปปิดสูงสุดของเดือนที่ระดับ 1.5295 $/ปอนด์ จากนั้นเงินปอนด์ก็กลับอ่อนค่าลงจนหลุดระดับ 1.50 $/ปอนด์ อีกครั้งในสัปดาห์ที่ 3 โดยลงมาปิดต่ำสุดของเดือนที่ระดับ 1.4885 $/ปอนด์ ก่อนที่จะฟื้นตัวขึ้นมาปิดตลาดวันสุดท้ายของเดือนที่ระดับ 1.5167 $/ปอนด์ โดยสาเหตุที่ทำให้เงินปอนด์อ่อนค่าในเดือนนี้ยังคงมาจากความกังวลถึงภาวะเศรษฐกิจของอังกฤษที่ยังคงอ่อนแอหลังจากดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมประจำเดือนมกราคมออกมาแย่กว่าที่ตลาดคาดไว้มาก ปัญหาการขาดดุลการคลัง และการขาดดุลการค้าในเดือนมกราคมที่เพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ดี ในช่วงท้ายเดือนเงินปอนด์ได้รับข่าวดีจากการทบทวนตัวเลขอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจประจำไตรมาสที่ 4 ออกมาเพิ่มเป็นร้อยละ 0.4 จากที่ประกาศไว้เดิมร้อยละ 0.3 รวมถึงการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในไตรมาสที่ 4 ที่หดแคบลงกว่าที่ประมาณการไว้เดิม โดยเงินปอนด์ในเดือนนี้อ่อนค่าลงร้อยละ 3.6 แต่เมื่อเทียบกับเดือนมีนาคมของปีที่แล้วเงินปอนด์ยังแข็งค่าอยู่ร้อยละ 6.2

เงินปอนด์เมื่อเทียบกับยูโรในอ่อนค่าลงเป็นครั้งแรกหลังจากแข็งค่าตลอดในช่วง 4 เดือนก่อนหน้าโดยเป็นการอ่อนค่าลงต่อเนื่องจากช่วงปลายเดือนที่แล้วโดยในช่วง 2 สัปดาห์แรกเงินปอนด์อ่อนค่าลงมาเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ ระหว่าง 1.10 — 1.11 ยูโร/ปอนด์ จากนั้นก็ขยับขึ้นไปเคลื่อนไหวในกรอบ 1.11 — 1.12 ยูโร/ปอนด์ ในช่วงสัปดาห์ที่ 3 และขึ้นไปปิดตลาดวันสุดท้ายของเดือนที่ระดับ 1.1208 ยูโร/ปอนด์ โดยค่าเฉลี่ยของเงินปอนด์ในเดือนนี้อ่อนค่าลงจากเดือนที่แล้วร้อยละ 2.8 แต่ยังแข็งค่าร้อยละ 2.1 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งการอ่อนค่าของเงินปอนด์ในเดือนนี้ยังคงมีสาเหตุมาจากปัญหาการขาดดุลการคลังและการที่ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนมกราคมออกมาแย่กว่าที่คาด แม้ว่าเงินยูโรจะถูกกดดันจากปัญหาวิกฤตการคลังของกรีซก็ตาม

เมื่อเทียบกับเงินบาท เงินปอนด์อ่อนค่าลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 ในทิศทางเดียวกับที่อ่อนค่ากับดอลลาร์ สรอ. โดยเงินปอนด์มีระดับปิดตลาดวันแรกของเดือนที่ระดับ 49.0298 Baht/ปอนด์ ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 13 เดือนที่เงินปอนด์อยู่ระดับต่ำกว่า 50 Baht/ปอนด์ และเคลื่อนไหวอยู่ในระดับใกล้เคียง 49 Baht/ปอนด์ ตลอดช่วง 3 สัปดาห์แรกจากนั้นก็อ่อนค่าลงอีกโดยลงมาเคลื่อนไหวเหนือระดับ 48 Baht/ปอนด์ เพียงเล็กน้อยโดยมีระดับต่ำสุดของเดือนที่ระดับ 48.22 Baht/ปอนด์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับจากเดือนมกราคม 2009 โดยเงินปอนด์ปิดตลาดวันสุดท้ายของเดือนที่ระดับ 49.1487 Baht/ปอนด์ โดยค่าเฉลี่ยของเงินปอนด์ในเดือนนี้อยู่ที่ระดับ 48.935 Baht/ปอนด์ อ่อนค่าลงค่อนข้างมากถึงร้อยละ 5.4 จากเดือนที่แล้ว ซึ่งในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมาเงินปอนด์อ่อนค่ากับเงินบาทถึงร้อยละ 11.8 อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบกับ 12 เดือนที่ผ่านมาเงินปอนด์อ่อนค่ากับเงินบาทร้อยละ 3.5

เดือนกุมภาพันธ์รัฐบาลกลับขาดดุล 12.4 พันล้านปอนด์ ส่งผลให้ Debt/GDP ขยับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 60.3%

ณ สิ้นเดือนมกราคมซึ่งเป็นเดือนที่ 11 ของปีงบประมาณปัจจุบัน (2009/10) รัฐบาลมีดุลงบรายจ่ายประจำ (current budget) ขาดดุลจำนวน 6.0 พันล้านปอนด์ (ขาดดุลเพิ่มขึ้นร้อยละ 144.8 จากปีที่แล้ว) และเมื่อรวมกับในเดือนนี้รัฐบาลมียอดลงทุนสุทธิจำนวน 6.3 พันล้านปอนด์ จึงทำให้ฐานะดุลงบประมาณโดยรวมในเดือนนี้มียอดขาดดุลสุทธิ 12.36 พันล้านปอนด์ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 41.0 จากปีที่แล้ว) โดยในเดือนนี้รัฐบาลกลางจัดเก็บรายได้ 42.63 พันล้านปอนด์ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.6 จากปีที่แล้ว) ขณะที่งบรายจ่ายประจำและงบลงทุนของรัฐบาลกลางมียอดรวม 53.4 พันล้านปอนด์ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.5 จากปีที่แล้ว) ทำให้รัฐบาลกลางมีฐานะขาดดุล 11.3 พันล้านปอนด์ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 64.9 จากปีที่แล้ว) สำหรับยอดหนี้สาธารณะในเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ระดับ 857.5 พันล้านปอนด์ หรือเท่ากับร้อยละ 60.3 ของ GDP (เดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้วยอดหนี้สาธารณะอยู่ที่ระดับร้อยละ 50.5 ของ GDP)

สำหรับยอดสะสม 11 เดือนแรกของปีงบประมาณ รัฐบาลมีรายรับ 429.2 พันล้านปอนด์ (ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 6.2) ขณะที่รายจ่ายประจำมีจำนวน 522.6 พันล้านปอนด์ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.8) และเมื่อรวมกับงบลงทุนและงบของรัฐบาลท้องถิ่นแล้ว ทำให้รัฐบาลมีงบประมาณขาดดุลสะสม 131.9 พันล้านปอนด์ เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 98.3 หรือเท่ากับร้อยละ 74.1 ของประมาณการขาดดุลทั้งปี

อนึ่ง ในการแถลง Pre-Budget Report 2009/10 เมื่อต้นเดือนธันวาคม กระทวงการคลังประมาณการว่าในปีงบประมาณปัจจุบัน รัฐบาลจะจัดเก็บรายได้จำนวน 498 พันล้านปอนด์ แต่มีรายจ่ายประจำและลงทุนรวมจำนวน 676 พันล้านปอนด์ โดยจะขาดดุลจำนวน 178 พันล้านปอนด์ หรือเท่ากับร้อยละ 12.6 ของ GDP และจะทำให้ยอดหนี้สาธารณะสุทธิเพิ่มเป็น 799 พันล้านปอนด์ หรือเท่ากับร้อยละ 55.6 ของ GDP

ดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลการชำระเงิน

ดุลการค้าและบริการ: มกราคมขาดดุล 3.8 พันล้านปอนด์ เพิ่มขึ้น 53%

เดือนมกราคม อังกฤษมียอส่งออกสินค้าและบริการรวม 32.6 พันล้านปอนด์ (-1.9% จากปีที่แล้ว) แต่มีการนำเข้ารวม 36.4 พันล้านปอนด์(+1.9% จากปีที่แล้ว) ทำให้มียอดขาดดุลการค้าและบริการรวม 3.8 พันล้านปอนด์(+53.3% จากปีที่แล้ว) แยกเป็นการขาดดุลการค้าจำนวน 8.0 พันล้านปอนด์ (+6.3% จากปีที่แล้ว) แต่มีการเกินดุลบริการจำนวน 4.2 พันล้านปอนด์ (-16.6% จากปีที่แล้ว) โดยการขาดดุลในเดือนนี้แยกเป็นการขาดดุลการค้ากับประเทศในกลุ่ม EU (27 ประเทศ) จำนวน 3.2 พันล้านปอนด์ (+42.5%) ขณะที่มีการขาดดุลกับประเทศนอกกลุ่ม EU จำนวน 4.8 พันล้านปอนด์ (-8.9%)

สำหรับการค้ากับประเทศไทยในเดือนมกราคม อังกฤษส่งออกสินค้าไปประเทศไทยจำนวน 66 ล้านปอนด์ (+65.0% จากปีที่แล้ว) ขณะที่มีการนำเข้าจำนวน 205 ล้านปอนด์ (+4.1%) ทำให้ขาดดุลการค้ากับประเทศไทยจำนวน 139 ล้านปอนด์ (-11.5%)

ประเด็นข่าวสำคัญ ๆ ในรอบเดือนที่ผ่านมา
  • Lord Adair Turner ประธาน FSA กล่าวสุนทรพจน์ถึงแนวทางป้องกันวิกฤตการเงินในอนาคตว่าหน่วยงานกำกับสถาบันการเงินจำเป็นต้องมีเครื่องมือในการติดตามดูแลเพื่อให้การปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินไม่ก่อให้เกิดการบั่นทอนเสถียรภาพในแต่ละสาขาของภาคเศรษฐกิจ (targeted macroprudential tools) เพราะลำพังการใช้นโยบายการเงินด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยยังไม่มีความเฉียบคมพอที่จะจัดการกับภาวะฟองสบู่ในบางสาขาได้ ดังนั้น หากหน่วยงานกำกับได้รับอำนาจก็จะสามารถควบคุมการเก็งกำไร เช่น การสั่งให้เพิ่มเงินกองทุนให้สูงขึ้นสำหรับสินเชื่อในสาขาที่เผ้าระวัง เช่น อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ หรือการสั่งห้ามให้ปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยประเภทที่มีอัตราสินเชื่อต่อมูลค่าของที่อยู่อาศัยสูง รวมถึงมีอำนาจกำหนดเพดานการปล่อยสินเชื่อแก่ธุรกิจ hedge funds เพื่อลดแรงเก็งกำไรลง เป็นต้น (17 มีนาคม 2010)
  • รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังเสนองบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2010/11 ต่อรัฐสภา โดยมียอดรายจ่าย 704 พันล้านปอนด์ รายรับ 541 พันล้านปอนด์ ขาดดุล 163 พันล้านปอนด์ หรือขาดดุลเท่ากับร้อยละ 11.1 ของ GDP ใกล้เคียงกับงบประมาณก่อนหน้า และคาดว่ายอดหนี้สาธารณะ ณ สิ้นปีงบประมาณจะเท่ากับ 952 พันล้านปอนด์ หรือเท่ากับร้อยละ 63.6 ของ GDP และเชื่อว่าจะสูงสุดที่ระดับร้อยละ 72.9 ของ GDP ในสิ้นปีงบประมาณ 2014/15 ทั้งนี้ ในการจัดทำงบประมาณฉบับนี้ซึ่งเป็นฉบับสุดท้ายของรัฐบาลปัจจุบัน รัฐบาลประมาณการว่าเศรษฐกิจในปีนี้จะขยายตัวร้อยละ 1.25 หลังจากติดลบร้อยละ 5.0 ในปี 2009 (24 มีนาคม 2010)
  • Alistair Darling รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแถลงต่อกรรมาธิการการคลังว่าจะดำเนินการเพื่อกระตุ้นให้ธนาคารที่รัฐบาลถือหุ้นใหญ่ทั้ง Lloyds Banking Group และ RBS ปล่อยสินเชื่อใหม่ให้เป็นไปตามเป้าหมาย 94 พันล้านปอนด์ที่ให้สัญญากับรัฐบาลไว้ โดยให้คณะกรรมการพิจารณากำหนดเงินโบนัสและผลประโยชน์ตอบแทนของแต่ละธนาคารนำผลการปล่อยสินเชื่อตามเป้าหมายมาเป็นปัจจัยในการพิจารณาเงินโบนัสด้วย นอกจากนี้ ยังยืนยันถึงข้อเสนอของกระทรวงการคลังที่เสนอให้มีจัดตั้งองค์กรทำหน้าที่พิจารณาคดีความด้านสินเชื่อ (credit adjudicator) เพื่อให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถอุทธรณ์การปฎิเสธสินเชื่อของสถาบันการเงินได้หากเห็นว่าสถาบันการเงินดำเนินการอย่างไม่เป็นธรรม อย่างไรก็ดี คงไม่ง่ายที่จะมีการจัดตั้งเพราะต้องออกกฎหมายรองรับซึ่งก็ขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้งในเดือนมิถุนายนนี้ด้วย (29 มีนาคม 2010)

ที่มา : Macroeconomic Analysis Group : Fiscal Policy Office

Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ