ภาวะเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป ประจำเดือนเมษายน 2010 พบว่าเสถียรภาพภายใน (internal stability) มีการฟื้นตัวต่อเนื่องในระดับต่ำโดยดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนกุมภาพันธ์กระเตื้องขึ้นร้อยละ 0.9 ต่อเนื่องจากเดือนมกราคมที่เพิ่มขึ้นแข็งแกร่งเกินคาด รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจประจำเดือนเมษายนพุ่งขึ้นเกินระดับ 100 จุดเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 2 ปี ขณะที่อัตราเงินเฟ้อในเดือนมีนาคมก็เร่งตัวต่อเนื่องโดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 ถือเป็นเดือนที่ 5 ที่อัตราเงินเฟ้อเป็นบวกหลังจากติดลบติดต่อกัน 5 เดือนก่อนหน้า อย่างไรก็ดี อัตราการว่างงานเดือนมีนาคมยังทรงตัวในระดับสูงที่ร้อยละ 10.0 เป็นเดือนที่สอง ถือเป็นอัตราที่สูงเป็นประวัติการณ์ในรอบ 11 ปี โดยมีจำนวนผู้ว่างงานทั้งสิ้น 15.8 ล้านคน ซึ่งในเดือนมีนาคมจำนวนผู้ว่างงานมีอัตราการเพิ่มค่อนข้างสูงกว่าหลายเดือนที่ผ่านมา สำหรับภาคการเงินในเดือนมีนาคม ธนาคารกลางสหภาพยุโรป (ECB) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Refinancing rate) ไว้ที่ระดับร้อยละ 1.0 เป็นเดือนที่ 12 ส่งผลดีต่อการรักษาอัตราดอกเบี้ยโดยรวมให้อยู่ในระดับต่ำต่อไปโดยอัตราดอกเบี้ยทั้งระยะสั้นและระยะยาวในเดือนนี้อยู่ในระดับต่ำใกล้เคียงกับเดือนที่แล้วสะท้อนถึงสภาพคล่องในระบบการเงินที่ยังคงมีอยู่สูง กระนั้นก็ดี ผลของนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำยังไม่สามารถกระตุ้นการเร่งปล่อยสินเชื่อเข้าสู่ระบบได้โดยที่ปริมาณเงินและสินเชื่อในเดือนมีนาคมหดตัวลงร้อยละ 0.1 และ 0.2 ตามลำดับ แม้จะเริ่มมีเสถียรภาพขึ้นบ้างก็ตาม สะท้อนถึงความต้องการสินเชื่อในระบบเศรษฐกิจที่ยังคงอยู่ในภาวะชะลอตัวลงต่อเนื่อง รวมทั้งความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินยังมีอยู่ต่อไป สำหรับเสถียรภาพภายนอก (external stability) ในเดือนกุมภาพันธ์ดุลบัญชีเดินสะพัดของ Euro area ขาดดุล 3.9 พันล้านยูโร เพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้วเล็กน้อยเนื่องจากมีการเกินดุลการค้าและดุลบริการเล็กน้อย แต่ขาดดุลเงินโอนมากขึ้น ขณะที่กระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายสุทธิมียอดไหลเข้าสุทธิ 7.2 พันล้านยูโรลดลงเล็กน้อยจากเดือนที่แล้ว สำหรับค่าเงินยูโรในเดือนเมษายนยังคงอ่อนค่ากับเงินทุกสกุลเป็นเดือนที่ 5 ยกเว้นแข็งค่ากับเงินเยน โดยสาเหตุที่เงินยูโรอ่อนค่ามาจากปัญหาความเชื่อมั่นเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศกรีซ และสมาชิก Eurozone อื่น เช่น ปอร์ตุเกส และสเปน เป็นต้น ที่มีฐานะการขาดดุลการคลังในระดับสูงจนถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือตราสารหนี้ระยะยาวลง จึงบั่นทอนความเชื่อมั่นต่อเงินยูโร
ภาพรวมเศรษฐกิจ (เมษายน 2553)
ดัชนีชี้วัดผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (Industrial Production Index: IPI) ที่ปรับตามฤดูกาลแล้วประจำเดือนกุมภาพันธ์ของกลุ่ม EU16 อยู่ที่ระดับ 94.6 เพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้วร้อยละ 0.9 และเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 4.1 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว โดยเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของดัชนีการผลิตในหมวดสินค้าขั้นกลางและสินค้าทุน แม้การผลิตในหมวดพลังงาน หมวดสินค้าบริโภคคงทน และหมวดบริโภคไม่คงทนจะหดตัวลงในเดือนนี้ก็ตาม โดยดัชนีการผลิตของประเทศเยอรมันและสเปนในเดือนนี้ต่างก็หดตัวลงร้อยละ 0.1 ขณะที่ฝรั่งเศสและอิตาลี ดัชนีไม่มีการขยายตัวจากเดือนที่แล้ว หลังจากที่เดือนที่แล้วดัชนีค่อนข้างกระเตื้องขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งจะช่วยเกื้อหนุนต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 1 ของปี 2010
ขณะที่ดัชนีชี้วัดทางด้านอุปสงค์ของกลุ่ม EU16 ในเดือนเมษายนขยายตัวอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่องจากเดือนมีนาคม โดยดัชนีผลสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจ (Economic Sentiment Index: ESI) อยู่ที่ระดับ 100.6 จุด เพิ่มขึ้น 2.7 จุดจากเดือนที่แล้ว ส่งผลให้ความเชื่อมั่นฟื้นตัวขึ้นไปอยู่ในระดับเดียวกับเมื่อต้นปี 2008 และถือเป็นครั้งแรกที่ดัชนีสามารถกลับขึ้นไปเหนือระดับ 100 จุดได้นับจากเดือนพฤษภาคม 2008
ดัชนีราคาผู้บริโภค (Harmonised Index of Consumer Prices: HICP) ของพื้นที่ยุโรป (Euro Area: 16 ประเทศ) ประจำเดือนมีนาคมเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 (เดือนที่แล้ว +0.9%) ถือเป็นเดือนที่ 5 ที่อัตราเงินเฟ้อเพิ่มเป็นบวกหลังจากที่ติดลบติดต่อกัน 5 เดือนก่อนหน้านั้น โดยหมวดราคาสินค้าที่ส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของระดับราคาเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้วหลักๆ มาจากหมวดคมนาคมขนส่ง (+6.1%) หมวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาสูบ (+4.0%) และหมวดสินค้าและบริการเบ็ดเตล็ด (+1.8%) ขณะที่หมวดรายจ่ายที่ส่งผลต่อการชะลอตัวของเงินเฟ้อมาจากหมวดอาหาร (-0.6%) หมวดสื่อสารโทรคมนาคม (-0.3%) และเครื่องนุ่งห่ม (-0.1%) สำหรับประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อสูงสุด 3 อันดับแรกในเดือนนี้ ได้แก่ Greece, Luxemburg และ Cyprus ที่มีอัตราเงินเฟ้อ +3.9%, +3.2%, และ +2.3% ตามลำดับ ขณะที่ประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อต่ำสุด ได้แก่ Ireland, Slovakia และ Malta ที่อัตราเงินเฟ้อ -2.4%, +0.3% และ +0.6 ตามลำดับ
ในส่วนของดัชนีราคาผู้บริโภคของประเทศสหภาพยุโรทั้งหมด 27 ประเทศ (EU 27) ก็เร่งตัวขึ้นเช่นกันโดยอยู่ที่ระดับร้อยละ 1.9 (เดือนที่แล้ว +1.5%) โดยประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อสูงสุดในกลุ่ม EU27 ยังคงเป็นประเทศ Hungary และ Romania ที่มีอัตราเงินเฟ้อสูงถึงร้อยละ +5.7% และ +4.2% ตามลำดับ
ยอดผู้ว่างงานที่ปรับตามฤดูกาลแล้วของ Euro area 16 ประเทศ ณ เดือนมีนาคมมีจำนวน 15.808 ล้านคน (เพิ่มขึ้น 100,000 คนจากเดือนที่แล้ว) และเพิ่มขึ้น 1.39 ล้านคนเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว โดยอัตราการว่างงานในเดือนนี้ทรงตัวในระดับสูงเท่ากับเดือนที่แล้วที่ร้อยละ 10.0 ซึ่งถือเป็นอัตราการว่างงานที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 1998 อย่างไรก็ดี อัตราการเพิ่มของจำนวนผู้ว่างงานเมื่อเทียบปีต่อมีมีทิศทางที่ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยประเทศสมาชิก Euro area ที่มีอัตราการว่างงานสูงสุด ได้แก่ Latvia และ Spain ที่มีอัตราการว่างงานร้อยละ 22.3 และ 19.1 ตามลำดับ ขณะที่ประเทศที่มีอัตราการว่างงานต่ำสุด ได้แก่ Netherlands และ Austria ที่มีอัตราการว่างงานร้อยละ 4.1 และ 4.9 ตามลำดับ
ขณะที่ยอดผู้ว่างงานของ EU 27 ประเทศ ก็เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 23.13 ล้านคน เพิ่มขึ้น 123,000 คนจากเดือนที่แล้ว และเพิ่มขึ้น 2.55 ล้านคนจากเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว โดยอัตราการว่างงานทรงตัวในระดับสูงร้อยละ 9.6 เป็นเดือนที่ 2
อัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยน
เมื่อวันที่ 8 เมษายน คณะกรรมการธนาคารกลางสหภาพยุโรป มีมติคงอัตราดอกเบี้ย Refinancing Operations (MRO) ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ECB ไว้ตามเดิมที่ระดับร้อยละ 1.0 นับเป็นเดือนที่ 12 ที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับดังกล่าว โดย ECB ได้ให้เหตุผลประกอบการตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ว่าอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันมีความเหมาะสมกับสถานการณ์เมื่อพิจารณาจากข้อมูลที่ทยอยออกมาหลังจากการประชุมครั้งก่อน โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะยังอยู่ในระดับต่ำต่อไป ขณะที่ข้อมูลยืนยันถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของ Euro area ในช่วงต้นปีที่ผ่านและคาดว่าในปีนี้เศรษฐกิจจะฟื้นตัวในระดับต่ำแม้จะมีความผันผวนและความไม่แน่นอนอยู่บ้างก็ตามเนื่องจากยังคงมีปัจจัยลบบางประการปกคลุมอยู่ ขณะที่ผลการประเมินระดับสภาพคล่องของระบบการเงินไม่พบว่าจะเป็นแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อในระยะปานกลาง ซึ่งคณะกรรมการเชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อในระยะกลางถึงยาวจะอยู่ภายในกรอบอัตราเงินเฟ้อเป้าหมายร้อยละ 2.0 และส่งผลดีต่อการรักษากำลังซื้อที่แท้จริงของประชาชน โดยการประชุมครั้งต่อไปจะมีขึ้นในวันที่ 6 พฤษภาคม
ในเดือนมีนาคมสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจของ Euro Area ยังคงหดตัวลงต่อเนื่อง แต่แนวโน้มมีเสถียรภาพขึ้นบ้าง นับจากที่สภาพคล่องเริ่มชะลอลงเป็นครั้งแรกในดือนธันวาคม 2007 โดยยอดคงค้างปริมาณเงินตามความหมายกว้าง หรือ M3 อยู่ที่ระดับ 9.32 ล้านล้านยูโร ลดลงร้อยละ 0.1 จากเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว (เดือนที่แล้ว -0.3%) ขณะที่ยอดคงค้างสินเชื่อที่สถาบันการเงิน (MFI) ให้กู้กับภาคเอกชน (loan to private sector) มียอดคงค้าง ณ สิ้นเดือนมีนาคม 10.77 ล้านล้านยูโร เพิ่มขึ้น 9 พันล้านยูโร โดยยอดคงค้างสินเชื่อหดตัวลงจากเดือนมีนาคมปีที่แล้วร้อยละ 0.2 (เดือนที่แล้ว -0.4%) ถือเป็นเดือนที่ 7 ที่ยอดคงค้างสินเชื่อขยายตัวติดลบ โดยในปี 1983 เป็นครั้งสุดท้ายที่ยอดคงค้างสินเชื่อมีอัตราการเปลี่ยนแปลงติดลบ
สำหรับค่าเฉลี่ยของอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินระยะสั้น (Money market interest rates) ในเดือนเมษายนทรงตัวใกล้เคียงกับเดือนที่แล้ว โดยค่าเฉลี่ยของอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอายุไม่เกิน 1 ปีปรับตัวขึ้นและลงไม่ถึง 1 basis point ยกเว้นพันธบัตรอายุ 1 ปีที่ปรับเพิ่มขึ้น 1 basis point ขณะที่อัตราผลตอบแทนระยะยาวอายุ 5 ปีและ 10 ปีเดือนนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 10 และ 17 basis points ตามลำดับ ทั้งนี้ โครงสร้างอัตราผลตอบแทนระยะสั้นไม่เกิน 1 ปีอยู่ต่ำกว่าเดือนเดียวกันของปีที่แล้วระหว่าง 49 — 78 basis points ขณะที่อัตราดอกเบี้ยระยะยาว 5 ปีอยู่ต่ำกว่าปีที่แล้ว 30 basis points ส่วนอายุ 10 ปีอยู่สูงกว่าปีที่แล้วเล็กน้อย 6 basis points
ค่าเฉลี่ยเงินยูโรเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ. ในเดือนเมษายนอ่อนค่าลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 หลังจากที่แข็งค่าตลอดช่วง 10 เดือนก่อนหน้านั้น โดยเงินยูโรมีระดับปิดตลาดวันแรกของเดือนที่ระดับ 1.3468 $/ยูโร จากนั้นก็อ่อนตัวลงจนหลุดระดับ 1.20 $/ยูโร ก่อนที่จะกลับกระเตื้องขึ้นเมื่อมีความชัดเจนว่า Eurozone บรรลุข้อตกลงในการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่กรีซเป็นจำนวน 30 พันล้านยูโร และสมทบโดย IMF อีก 15 พันล้านยูโรทำให้เงินยูโรกลับขึ้นมาปิดสูงสุดของเดือนที่ระดับ 1.3615 $/ยูโร ในช่วงกลางเดือน อย่างไรก็ดี เงินยูโรกลับถูกกดดันหนักอีกครั้งเมื่อมีรายงานว่าฐานะการคลังของกรีซที่ได้รับการประเมินล่าสุดแย่กว่าที่เคยประกาศไว้โดยมีการขาดดุลสูงถึงร้อยละ 13.6 ของ GDP เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 1.0 จากที่รัฐบาลกรีซเคยแถลงไว้ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลกรีซพุ่งสูงขึ้นทันที รวมถึงความไม่มั่นใจว่าความช่วยเหลือ 45 พันล้านยูโร จะเพียงพอเนื่องจากมีการคาดการว่ากรีซต้องการถึง 100 พันล้านยูโรในช่วง 3 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ การที่ Moody’s ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของกรีซ ปอร์ตุเกส และสเปน ภายในช่วงเวลาเพียง 3 วันก็ยิ่งกดดันต่อเงินยูโรจนส่งผลให้ยูโรมีระดับปิดที่ต่ำที่สุดของเดือนที่ระดับ 1.3245 $/ยูโร ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 1 ปี โดยยูโรขึ้นมาปิดตลาดวันสุดท้ายของเดือนที่ระดับ 1.3315 $/ยูโร ส่งผลให้ค่าเฉลี่ยของเงินยูโรในเดือนนี้อ่อนค่าลงร้อยละ 1.2 โดยในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาเงินยูโรอ่อนค่ากับดอลลาร์ สรอ. ถึงร้อยละ 10.5 แต่หากเทียบกับค่าเฉลี่ยของเดือนเมษายนปีที่แล้วเงินยูโรยังแข็งค่าอยู่ร้อยละ 1.6
เงินยูโรเมื่อเทียบกับเงินปอนด์ในเดือนนี้อ่อนค่าลงอีกครั้งหลังจากกระเตื้องขึ้นบ้างในเดือนที่แล้ว โดยเงินยูโรปิดตลาดวันแรกของเดือนที่ระดับ 0.88485 ปอนด์/ยูโร ซึ่งเป็นการอ่อนตัวลงต่อเนื่องจากท้ายเดือนที่แล้วจนลงมาแตะระดับ 0.87 ปอนด์/ยูโร ก่อนที่จะกระเตื้องขึ้นบ้างโดยสามารถกลับขึ้นมาเคลื่อนไหวเหนือระดับ 0.88 ปอนด์/ยูโร ได้ในช่วงกลางเดือนเมื่อมีข่าวความชัดเจนถึงการให้ความช่วยเหลือของสมาชิกยูโรต่อประเทศกรีซ กระนั้นก็ดี เงินยูโรก็กลับอ่อนค่าลงอีกครั้ง โดยลงมาปิดต่ำสุดของเดือนที่ระดับ 0.8624 ปอนด์/ยูโร จากข่าวที่ว่าความช่วยเหลือกรีซอาจไม่เพียงพอเนื่องจากปัญหาของกรีซแย่กว่าที่คาด แต่สามารถขึ้นมาปิดตลาดวันสุดท้ายของเดือนที่ระดับ 0.8703 ปอนด์/ยูโร ส่งผลให้ค่าเฉลี่ยของเงินยูโรในเดือนนี้อ่อนค่าลงค่อนข้างมากถึงร้อยละ 3.0 และอ่อนค่าอยู่ร้อยละ 2.6 เมื่อเทียบกับเดือนเมษายนปีที่แล้ว
เมื่อเทียบกับเงินเยนแล้วค่าเฉลี่ยของเงินยูโรในเดือนนี้แข็งค่าขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจากอ่อนค่าลงติดต่อกัน 5 เดือนก่อนหน้า โดยเงินยูโรมีระดับปิดวันแรกของเดือนที่ระดับ 122.28 เยน/ยูโร ซึ่งเป็นการฟื้นตัวต่อเนื่องจากปลายเดือนที่แล้ว หลังจากนั้นเงินยูโรก็เคลื่อนไหวค่อนข้างผันผวนตลอดทั้งเดือน โดยสามารถขึ้นทำระดับสูงสุดของเดือนที่ระดับ 127.42 เยน/ยูโร ในช่วงกลางเดือน ก่อนจะอ่อนตัวลงมาเคลื่อนไหวในกรอบ 124 — 126 เยน/ยูโร ในช่วงที่เหลือของเดือน และปิดตลาดวันสุดท้ายของเดือนที่ระดับ 125.81 เยน/ยูโร ซึ่งเป็นระดับเดียวกับระดับปิดของเดือนที่แล้ว ส่งผลให้ค่าเฉลี่ยของเงินยูโรในเดือนนี้แข็งค่าขึ้นร้อยละ 1.9 แต่หากเปรียบเทียบกับ 12 เดือนที่แล้ว เงินยูโรอ่อนค่าร้อยละ 3.8
เงินยูโรในเดือนนี้อ่อนค่ากับเงินบาทเป็นเดือนที่ 5 หลังจากที่แข็งค่าตลอด 10 เดือนก่อนหน้านั้นโดยมีทิศทางการเคลื่อนไหวคล้ายกับเงินดอลลาร์ สรอ. โดยเงินยูโรมีระดับปิดตลาดวันแรกของเดือนที่ 43.609 ฿/ยูโร และอ่อนตัวลงแตะระดับ 42.916 ฿/ยูโร แต่เงินยูโรสามารถกลับแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 44 ฿/ยูโร ในช่วงสั้นๆ ก่อนที่จะอ่อนค่าตลอดช่วงที่เหลือของเดือนและปิดตลาดวันสุดท้ายของเดือนที่ระดับ 43.081 ฿/ยูโร โดยค่าเฉลี่ยของเงินยูโรในเดือนนี้อ่อนค่าลงร้อยละ 1.9 และเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้วเงินยูโรอ่อนค่ากับเงินบาทอยู่ร้อยละ 7.4
ดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลการชำระเงิน
ณ สิ้นเดือนมกราคม Euro area มีฐานะดุลบัญชีเดินสะพัดที่ปรับตามฤดูกาลแล้ว (seasonally adjusted current account balance) ขาดดุล 3.9 พันล้านยูโร (เดือนที่แล้วขาดดุล 1.7 พันล้านยูโร) โดยในเดือนนี้ Euro area เกินดุลการค้า (goods trade) และดุลบริการ (services) เล็กน้อย 5.5 และ 3.2 พันล้านยูโร ตามลำดับ แต่มีการขาดดุลรายได้ (income) และดุลเงินโอน (current transfer) จำนวน 1.4 และ 11.3 พันล้านยูโร ตามลำดับ จึงทำให้โดยรวมแล้ว Euro area มีฐานะดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลดังกล่าว
โดยยอดสะสม 12 เดือน Euro area มีฐานะดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลสะสมจำนวน 41.5 พันล้านยูโร (เท่ากับร้อยละ 0.4 ของ Euro GDP) ลดลงจากยอดสะสม 12 เดือนก่อนหน้าที่มีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด 160.3 พันล้านยูโร ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา Euro area กลับสถานะจากขาดดุลมาเป็นเกินดุลการค้าสะสม แม้จะเกินดุลบริการลดลงก็ตาม รวมถึงการลดลงของการขาดดุลรายได้เป็นหลัก
ทางด้านดุลบัญชีเงินทุนเคลื่อนย้าย (financial account) ที่ยังไม่ปรับตามฤดูกาล (non-seasonal adjusted) ประจำเดือนกุมภาพันธ์ พบว่า Euro area มีฐานะบัญชีเงินทุนไหลเข้าสุทธิ 7.2 พันล้านยูโร (เดือนที่แล้วเงินทุนมีฐานะไหลเข้าสุทธิ 14.5 พันล้านยูโร) เนื่องจากโดยรวมแล้วในเดือนนี้ฐานะเงินลงทุนในหลักทรัพย์ (portfolio investment) และเงินลงทุนทางตรง (direct investment) ค่อนข้างสมดุล
ขณะที่ยอดสะสมในรอบ 12 เดือน Euro area มีฐานะดุลบัญชีเงินทุนเคลื่อนย้ายไหลเข้าสุทธิ 27.0 พันล้านยูโร (-85.3% จากปีที่แล้ว) เนื่องจากเงินลงทุนทางตรงสุทธิสะสม (net direct investments) มีการไหลออกน้อยกว่าปีที่แล้วร้อยละ 68.4 รวมถึงการที่ Euro area กลับสถานะจากการเป็นผู้กู้ยืมสุทธิในปีที่แล้วมาเป็นผู้ให้กู้ยืมสุทธิในปีนี้ถึง 306.7 พันล้านยูโร ก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้ฐานะกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายสะสะมสุทธิของ Euro area ไหลเข้าสุทธิลดลงจากปีที่แล้วค่อนข้างมาก
- คณะกรรมการสหภาพยุโรป (European Commission) เรียกร้องให้เพิ่มอำนาจและเครื่องมือในการแทรกแซงเพื่อลงโทษประเทศสมาชิกที่ไม่สามารถรักษาวินัยทางการคลังให้เป็นไปตามเกณฑ์ Stability and Growth Pact ที่กำหนดห้ามสมาชิกขาดดุลงบประมาณเกินร้อยละ 3.0 ของ GDP และมีหนี้สาธารณะต่อ GDP ไม่เกินร้อยละ 60 หลังจากได้รับบทเรียนจากวิกฤตการคลังของกรีซ และมีประเทศสมาชิกอีกบางประเทศที่มีการขาดดุลการคลังจำนวนมาก เช่น ปอร์ตุเกส ไอร์แลนด์ และสเปน โดยเครื่องมือที่อาจนำมาพิจารณาประกอบด้วยการให้ Eurostat ซึ่งเป็นหน่วยงานสถิติของ EU มีอำนาจในการสอบทานความถูกต้องของข้อมูลการคลังของประเทศสมาชิก หรือการให้สมาชิกตรวจสอบข้อมูลทางการคลังระหว่างกันได้ รวมถึงการลงโทษด้วยการตัดเงินกู้จากธนาคารเพื่อการพัฒนาของยุโรป เป็นต้น อย่างไรก็ดี การเพิ่มอำนาจแทรกแซงถือเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนในทางการเมือง ประกอบกับปัจจุบันมีบทกำหนดโทษปรับประเทศสมาชิกที่ไม่ปฏิบัติตามอยู่แล้ว (14 เมษายน 2010)
- นาย George Papandreou นายกรัฐมนตรีของประเทศกรีซ ได้ส่งจดหมายอย่างเป็นทางการเพื่อขอความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อเยียวยาภาวะวิกฤตการคลังของประเทศจากสหภาพยุโรปเป็นจำนวน 30 พันล้านยูโร เนื่องจากมีแนวโน้มว่าประเทศกรีซจะประสบปัญหาในการกู้ยืมเงินจากตลาดการเงินเพื่อชำระคืนหนี้เดิมจำนวน 8.5 พันล้านยูโรในเดือนหน้านี้ ขณะที่อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลกรีซปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อรวมกับความช่วยเหลือจาก IMF แล้วคาดว่ายอดรวมวงเงินความช่วยเหลือจะสูงถึง 45 พันล้านยูโร ถือเป็นครั้งแรกนับจากมีการรวมสกุลเงินตั้งแต่เดือนมกราคม 1999 ที่ประเทศสมาชิกที่ใช้เงินสกุลยูโรต้องขอรับความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อแก้ไขวิกฤตของประเทศ (23 เมษายน 2010)
- คณะกรรมการสหภาพยุโรป (European Commission) ได้ประเมินความเสียหายเบื้องต้นของภาคคมนาคมขนส่งของยุโรปจากการหยุดบินเป็นเวลา 6 วันเนื่องจากผลกระทบของภูเขาไฟระเบิดในประเทศไอซ์แลนด์ว่ามียอดความเสียหายประมาณ 2.5 พันล้านยูโร ซึ่งตัวเลขดังกล่าวน่าจะถูกนำมาใช้ในการคำนวณเพื่อให้ความช่วยเหลือกับธุรกิจสายการบินที่เรียกร้องให้สหภาพยุโรปชดเชยความเสียหายจากรายได้ที่ขาดหายไปและค่าใช้จ่ายในการต้องดูแลผู้โดยสารระหว่างที่ติดค้างอยู่ไม่สามารถเดินทางได้ (27 เมษายน 2010)
- คณะกรรมการสหภาพยุโรป (European Commission) ได้ประเมินความเสียหายเบื้องต้นของภาคคมนาคมขนส่งของยุโรปจากการหยุดบินเป็นเวลา 6 วันเนื่องจากผลกระทบของภูเขาไฟระเบิดในประเทศไอซ์แลนด์ว่ามียอดความเสียหายประมาณ 2.5 พันล้านยูโร ซึ่งตัวเลขดังกล่าวน่าจะถูกนำมาใช้ในการคำนวณเพื่อให้ความช่วยเหลือกับธุรกิจสายการบินที่เรียกร้องให้สหภาพยุโรปชดเชยความเสียหายจากรายได้ที่ขาดหายไปและค่าใช้จ่ายในการต้องดูแลผู้โดยสารระหว่างที่ติดค้างอยู่ไม่สามารถเดินทางได้ (27 เมษายน 2010)
ที่มา : Macroeconomic Analysis Group : Fiscal Policy Office
Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th