บทสรุปผู้บริหาร: บทวิเคราะห์เรื่อง ผลกระทบของเงินทุนเคลื่อนย้ายต่อการลงทุนภาคเอกชนไทย

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday June 1, 2010 12:21 —กระทรวงการคลัง

บทสรุปผู้บริหาร

การเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย ประกอบกับวิกฤติการเงินโลกในประเทศที่พัฒนาแล้ว เป็นปัจจัยที่สนับสนุนให้เงินทุนเคลื่อนย้ายไหลเข้ามาสู่ภูมิภาคเอเชียมากยิ่งขึ้น ในทางเดียวกัน เงินทุนเคลื่อนย้ายจากกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน+3 มีแนวโน้มที่จะไหลมาสู่ประเทศในภูมิภาคเดียวกัน การกำกับดูแลและการวางนโยบายเพื่อให้เงินทุนเคลื่อนย้ายมีประสิทธิภาพต่อเศรษฐกิจและลดความผันผวนจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง

การศึกษาพบว่า การลงทุนโดยตรงจากกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน+3 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อไตรมาส จะทำให้การลงทุน ณ ราคาคงที่ ของภาคเอกชนในช่วงเดียวกันนั้นปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.289 ต่อไตรมาส (ปรับผลทางฤดูกาลแล้ว) เมื่อกำหนดให้ปัจจัยอื่นๆ คงที่ โดยสามารถอธิบายได้ว่าเงินทุนเคลื่อนย้ายในรูปการลงทุนโดยตรงจากกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน+3 มีผลกระทบโดยตรงต่อการลงทุนภาคเอกชน เนื่องจากการลงทุนในลักษณะดังกล่าวเป็นการนำเม็ดเงินมาลงทุนโดยตรงผ่านบริษัทลูกที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย หรือเป็นการนำเม็ดเงินเพื่อมาก่อตั้งบริษัทหรือโรงงานแห่งใหม่

นโยบายหลักที่ส่งเสริมให้เงินลงทุนโดยตรงเพิ่มประสิทธิภาพต่อเศรษฐกิจไทย ได้แก่ (1)การเร่งดำเนินการความร่วมมือทางการเงินภายในภูมิภาคภายใต้กรอบต่างๆ เช่น มาตรการริเริ่มเชียงใหม่เข้าสู่ระดับพหุภาคี (Chiang Mai Initiative Multi-lateralization) และการพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชีย (Asian Bond Markets Development) อันจะสร้างกลไกให้ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคสามารถใช้เงินออมภายในภูมิภาคเพื่อการลงทุนภายในภูมิภาคมากขึ้น (2) การปรับปรุงระบบขนส่ง โครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภคและระบบสื่อสาร เพื่อสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชนทั้งจากภายในประเทศและภายนอกประเทศ และขยายเครือข่ายคมนาคมขนส่งระหว่างประเทศภายในภูมิภาค และ (3) ลดขั้นตอนและเงื่อนไขสำหรับการ

1. บทนำ

การเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย ประกอบกับวิกฤติการเงินโลกในประเทศที่พัฒนาแล้ว จะเป็นปัจจัยที่สนับสนุนให้เงินทุนเคลื่อนย้ายไหลเข้ามาสู่ภูมิภาคเอเชียมากยิ่งขึ้น ในทางเดียวกัน เงินทุนเคลื่อนย้ายจากกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน+3 มีแนวโน้มที่จะไหลมาสู่ประเทศในภูมิภาคเดียวกัน สำหรับประเทศไทยเงินทุนนำเข้าสุทธิจากต่างประเทศ มีบทบาทสำคัญต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจขอบประเทศเนื่องจากระดับเงินออมภายในประเทศมีไม่เพียงพอต่อการลงทุน

ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีโครงสร้างเศรษฐกิจแบบเปิดขนาดเล็ก (small-open economy) โดยมีสัดส่วนการเปิดประเทศในปี 2552 ประมาณร้อยละ 1.5 เท่าของ GDP และหากพิจารณาโครงสร้างเศรษฐกิจไทยทางด้านอุปสงค์พบว่า ในปี 2552 มีสัดส่วนของมูลค่าการส่งออก-นำเข้าสินค้าและบริการสูงถึงร้อยละ 68.5 และ 57.9 ของ GDP ตามลำดับ โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นมาจากร้อยละ 37 และ 43 ในปี 2537 บ่งชี้ได้ถึงบทบาทของเศรษฐกิจต่างประเทศและเงินทุนเคลื่อนย้ายต่อประเทศไทยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา2 ดังนั้น การศึกษาโดยใช้แบบจำลองทางเศรษฐมิติเพื่อดูผลกระทบของเงินทุนเคลื่อนย้ายจากกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน+3 (Net inflow of capital flow from countries ASEAN+3) ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว จะช่วยในการกำหนดนโยบายเพื่อกำกับดูแลและเพื่อการส่งเสริมเงินทุนเคลื่อนย้ายเกิดประโยชน์มากที่สุดต่อเศรษฐกิจไทย

2. ความเป็นมาของเงินทุนเคลื่อนย้ายในประเทศไทย

หากพิจารณาเงินทุนเคลื่อนย้ายของประเทศไทยตามมิติโครงสร้างทางบัญชีการชำระเงิน (Balance of payments) จากแผนภาพที่ 1 สามารถแบ่งออกเป็น 2 ช่วงหลักได้แก่ (1) ช่วงก่อนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจเอเชียในปี 2540 (ปี 2528-2539) (2) ช่วงหลังจากที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจในปี (2540-2551)

(1) ช่วงก่อนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจเอเชียในปี 2540 (ปี 2528-2539)

ในช่วงดังกล่าว ดุลบัญชีการชำระเงินสุทธิของไทยมีแนวโน้มเกินดุลอย่างต่อเนื่องจากการเกินดุลในบัญชีเงินทุนที่มากกว่าการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ในขณะเดียวกันเป็นช่วงที่เงินทุนเคลื่อนย้ายมีการไหลเข้ามามากที่สุด ทั้งนี้ หากพิจารณาในรายละเอียดของเงินทุนที่ไหลเข้ามาแล้วพบว่าเงินทุนที่ไหลเข้ามาส่วนใหญ่เป็นการลงทุนอื่นๆ ที่นอกเหนือการลงทุนโดยตรงและการลงทุนในรูปตลาดหลักทรัพย์และตลาดพันธบัตร กล่าวคือการกู้ยืมจากต่างประเทศเป็นหลักเนื่องจากได้รับปัจจัยสนับสนุนจากเศรษฐกิจไทย (Real GDP growth) ที่ขยายตัวในอัตราเฉลี่ยที่สูงถึงร้อยละ 9 ต่อปี และได้รับอานิสงส์จากการเปิดเสรีทางการเงิน (Financial Liberalization)3 มากขึ้น ทำให้ภาคเอกชนสามารถมีช่องทางในการระดมทุนเร่งพัฒนาธุรกิจและเกิดความต้องการที่กู้เงินเพื่อการก่อสร้างและการเก็งกำไรโดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ซึ่งราคาสินทรัพย์มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วดังนั้น นโยบายการเงินของประเทศในขณะนั้นสร้างแรงจูงใจให้เกิดการกู้เงินจากต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัจจัยหลักที่สนับสนุนให้เงินทุนต่างชาติไหลเข้าสู่ประเทศไทยได้แก่การจัดตั้งกิจการวิเทศธนกิจ (Bangkok International Bank Facility : BIBF) ที่ภาคเอกชนได้กู้ยืมจากต่างประเทศในช่วงที่ต้นทุนต่ำและความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ในระดับที่ต่ำเนื่องจากค่าเงินบาทถูกอ้างอิงอยู่กับตะกร้าค่าเงิน (Basket-pegged) เพื่อมาปล่อยให้ยืมต่อจึงส่งผลให้เงินทุนเคลื่อนย้ายที่ไหลเข้ามาสู่บัญชีเงินทุนในแต่ละปีในช่วงดังกล่าวมีปริมาณสูงถึงประมาณร้อยละ 6.0-12.0 ของ GDP

(2) ช่วงหลังจากที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจในปี (2540-2551)

ในช่วงภายหลังจากที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจโดยเฉพาะในช่วงระหว่างปี 2540-2546 ปริมาณเงินทุนเคลื่อนย้ายสุทธิของไทยในบัญชีเงินทุนส่วนใหญ่เป็นการไหลออกโดยเงินที่ไหลออกส่วนใหญ่อยู่ในรูปของเงินเรียกชำระหนี้เงินกู้ในช่วงก่อนหน้าของต่างประเทศคืน อย่างไรก็ตาม ดุลบัญชีเดินสะพัดที่มีแนวโน้มเกินดุลอย่างต่อเนื่องได้ทดแทนการขาดดุลจากการไหลออกของเงินทุนเคลื่อนย้ายดังกล่าวและส่งผลให้มูลค่าของเงินทุนเคลื่อนย้ายสุทธิในบัญชีการชำระเงินในช่วงดังกล่าวมีสัดส่วนใกล้เคียงกับระดับสมดุลโดยเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับร้อยละ -6.0 ถึง 3.0 ต่อ GDP

ทั้งนี้ จากแผนภาพที่ 2 พบว่า ในช่วงหลังจากที่วิกฤติเศรษฐกิจ การลงทุนโดยตรงของต่างชาติ (Foreign Direct Investment: FDI) มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนที่จะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจเนื่องจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงจากการลอยตัวได้ส่งผลให้ต้นทุนในการเข้ามาลงทุนและการผลิตปรับตัวลดลงเมื่อเปลี่ยนเป็นเงินบาทซึ่งส่งผลให้เงินลงทุนโดยตรงมีสัดส่วนเฉลี่ยประมาณร้อยละ 4.0 ของ GDP ในแต่ละปี ในขณะเดียวกัน แผนภาพที่ 3 แสดงเงินทุนเคลื่อนย้ายของการลงทุนใน หลักทรัพย์ (Portfolio Inflows) นั้นมีความผันผวนค่อนข้างมาก แต่มีสัดส่วนที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับการลงทุนโดยตรง ทั้งนี้ ในปี 2549 ซึ่งเป็นช่วงที่ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องและก่อให้เกิดการไหลเข้าของเงินทุนเคลื่อนย้ายเพื่อเข้ามาเก็งกำไรจากแนวโน้มการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท กอปรกับการไหลเข้าของเงินลงทุนโดยตรงที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้เงินทุนเคลื่อนย้ายในรูปการลงทุนในหลักทรัพย์มีสัดส่วนสูงกว่าร้อยละ 5.1 ต่อ GDP ในปี 2549

ทั้งนี้ หากพิจารณาจากสัดส่วนของผู้เข้ามาลงทุนโดยตรงพบว่าประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เข้ามาลงทุนโดยตรงมากที่สุดโดยในช่วงระหว่างปี 2542-2551 มูลค่าของเงินลงทุนโดยตรงที่ไหลเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่นคิดเป็นสัดส่วนที่สูงถึงร้อยละ 36 ของมูลค่าเงินลงทุนโดยตรงที่ไหลเข้ามาในช่วงดังกล่าว นอกจากนั้น เงินลงทุนโดยตรงของไทยในช่วงดังกล่าวยังไหลเข้ามาจากประเทศอื่นๆในภูมิภาค อาทิ เช่น สิงค์โปร์ มาเลเชีย ฟิลิปปินส์ เป็นต้น จึงอาจกล่าวได้ว่าเงินลงทุนโดยตรงส่วนใหญ่ของไทยเป็นการไหลเข้ามาจากประเทศในกลุ่มสมาชิกอาเซียน+34 ในขณะที่ยุโรปและสหรัฐมีสัดส่วนรองลงที่ประมาณร้อยละ 10 และ 17 ของมูลค่าเงินลงทุนโดยตรงในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาตามลำดับ

3. ผลการศึกษาเงินทุนเคลื่อนย้ายจากกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน+3 ต่อการลงทุน

ตัวแปรส่วนใหญ่ในแบบจำลองมีคุณสมบัติไม่หยุดนิ่ง (Non-stationary data) และจากการทดสอบทางเศรษฐมิติ พบว่าตัวแปรต่างๆ มีคุณสมบัติร่วมไปด้วยกัน (Co-integration test) ดังนั้น การศึกษาจึงสามารถใช้แบบจำลอง Error Correction Model (ECM) โดยมีตัวแปรตามได้แก่ การลงทุนภาคเอกชน ณ ราคาคงที่ (RIP) และตัวแปรตามได้แก่ เงินลงทุนโดยตรงจากกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน+3 (Net inflow from Asean+3 : FDI_ASEAN3) การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ณ ราคาคงที่(RGDP) อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ชั้นดี (MLR) และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (CORE) โดย ECM จะกำหนดการเปลี่ยนแปลงระยะสั้นเพื่อปรับตัวเข้าหาความสัมพันธ์ระยะยาวของตัวแปร การศึกษาได้ใช้ข้อมูลทุติยภูมิอนุกรมเวลา รายไตรมาสในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2540 ถึงไตรมาสที่ 4 ของปี 2551 ผลการศึกษาสามารถแสดงได้ดังนี้

ความสัมพันธ์ระยะยาวระหว่างการลงทุนภาคเอกชน ณ ราคาคงที่ และเงินทุนเคลื่อนย้าย

จากผลการใช้แบบจำลอง ECM แสดงจากสมการด้านบน (สมการระยะยาว) พบว่า การลงทุนโดยตรงจากกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน+3 มีความสัมพันธ์กับการลงทุนของภาคเอกชน ณ ราคาคงที่ (Real Private Investment) ในระยะยาว โดยมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.10 โดยที่การลงทุนโดยตรงจากกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน +3 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อไตรมาส จะทำให้การลงทุน ณ ราคาคงที่ ของภาคเอกชนในช่วงเดียวกันนั้นปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.289 ต่อไตรมาส (ปรับผลทางฤดูกาลแล้ว)5 เมื่อกำหนดให้ปัจจัยอื่นๆ คงที่ โดยสามารถอธิบายได้ว่าเงินทุนเคลื่อนย้ายในรูปการลงทุนโดยตรงจากกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน+3 มีผลกระทบโดยตรงต่อการลงทุนภาคเอกชน เนื่องจากการลงทุนในลักษณะดังกล่าวเป็นการนำเม็ดเงินมาลงทุนโดยตรงผ่านบริษัทลูกที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย หรือเป็นการนำเม็ดเงินเพื่อมาก่อตั้งบริษัทหรือโรงงานแห่งใหม่ ดังนั้น ผลกระทบจึงรวดเร็วและเห็นผลชัดเจน ในกรณีของประเทศไทย การลงทุน โดยตรงส่วนใหญ่จะมาจากประเทศญี่ปุ่นที่มีสัดส่วนมากกว่าครึ่งของการลงทุนโดยตรงทั้งหมดในปี 2552 เมื่อพิจารณาตัวแปรตามอื่นๆ พบว่า อัตราดอกเบี้ย เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 ต่อไตรมาส ส่งผลให้การลงทุนภาคเอกชน ณ ราคาคงที่เพิ่มหดตัวลงร้อยละ 1.052 โดยมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.01 บ่งชี้ว่า อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ชั้นดีมีผลในเชิงลบต่อการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชนเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเป็นต้นทุน (Cost of capital) ของเงินทุนกู้ยืม ดังนั้น การปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ชั้นดีส่งผลให้ต้นทุนของเงินทุนมีค่ามากกว่าผลตอบแทนของเงินทุน (Rate of return to capital) ทำให้มีการหยุดโครงการลงทุน สำหรับเงินทุนเคลื่อนย้ายในรูปเงินลงทุนในหลักทรัพย์ (Portfolio investment) มีความนิ่งของข้อมูล (Stationary data) ทำให้ไม่พบความสัมพันธ์ในระยะยาวกับการลงทุนภาคเอกชน ณ ราคาคงที่

การศึกษาโดยใช้แบบจำลอง ECM ทำให้สามารถแยกผลกระทบของตัวแปรต่างๆ ต่อการลงทุนภาคเอกชน ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยสามารถบ่งถึงการปรับตัวเข้าสู่สมดุลในระยะยาวของตัวแปรตามหลังจากมีการปรับเพิ่มหรือลดของตัวแปรอิสระ จากสมการด้านบน (สมการระยะสั้น) พบว่า เมื่อมีปัจจัยใดๆก็ตามที่ทำให้การลงทุนภาคเอกชน ณ ราคาคงที่เปลี่ยนแปลงไปจากสภาวะสมดุล ในไตรมาสปัจจุบันที่ร้อยละ 1 ต่อไตรมาส จะส่งผลให้การลงทุนภาคเอกชนของไตรมาสต่อไป มีการเปลี่ยนแปลงร้อยละ 0.176 โดยดูได้จากสัมประสิทธิ์ของตัวแปร ECM(-1)6 ของสมการระยะสั้น ดังนั้น เมื่อการลงทุนภาคเอกชนในไตรมาสปัจจุบันขยายตัวร้อยละ 1 จะส่งผลให้การลงทุนภาคเอกชนของไตรมาสต่อไปมีการปรับตัวเข้าสู่สมดุลใหม่โดยจะมีการหดตัวลดลงร้อยละ 0.176 ต่อไตรมาส ในทางตรงกันข้าม เมื่อการลงทุนภาคเอกชนในไตรมาสปัจจุบันหดตัวร้อยละ 1 จะส่งผลให้การลงทุนภาคเอกชนของไตรมาสต่อไปมีการปรับตัวเข้าสู่สมดุลใหม่โดยจะมีการเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.176 ต่อไตรมาสสำหรับตัวแปรเงินลงทุนโดยตรง เมื่อเงินลงทุนโดยตรงในไตรมาสปัจจุบันปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 1 ต่อไตรมาส การลงทุนภาคเอกชน ณ ราคาคงที่ของไตรมาสต่อไปจะต้องปรับตัวลดลงที่ร้อยละ 0.031 ต่อไตรมาสเพื่อปรับเข้าสู่จุดสมดุลในระยะยาว

4. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

จากผลการศึกษาพบว่า การลงทุนโดยตรงระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน+3 ส่งผลในเชิงบวกต่อการลงทุนภาคเอกชน ณ ราคาคงที่ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ดังนั้น รัฐบาลจำเป็นต้องมีนโยบายในการสนับสนุนการลงทุนภายในกลุ่มสมาชิกอาเซียน+3 มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อการลงทุนภายในประเทศและสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาว ซึ่งการศึกษามีข้อเสนอเชิงนโยบายมีรายละเอียดดังนี้ (1) การเร่งดำเนินการความร่วมมือทางการเงินภายในภูมิภาคภายใต้กรอบต่างๆ เช่น มาตรการริเริ่มเชียงใหม่เข้าสู่ระดับพหุภาคี (Chiang Mai Initiative Multi-lateralization) และการพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชีย (Asian Bond Markets Development) อันจะสร้างกลไกให้ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคสามารถใช้เงินออมภายในภูมิภาคเพื่อการลงทุนภายในภูมิภาคมากขึ้น (2) การเปิดเสรีทางการค้าผ่านการปรับลดภาษีนำเข้า (Tariffs) และมาตรการที่มิใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers) ตามพันธกิจที่แต่ละประเทศได้ตกลงไว้ภายใต้กรอบ ASEAN Free Trade Agreement (AFTA) และกรอบการค้าเสรีภายในภูมิภาคต่างๆ เพื่อเอื้อประโยชน์ในเรื่องการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศสมาชิก ลดขั้นตอนและเงื่อนไขสำหรับการจัดตั้งบริษัทในประเทศของนักลงทุนจากต่างชาติ อันเป็นการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการจ้างงานภายในประเทศ และ (3) การจัดตั้งศูนย์ให้บริการครบวงจร (One-stop service) ที่รวบรวมการให้บริการของภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งบริษัท การค้าและการลงทุน และการสนับสนุนการจดทะเบียนหรือทำธุรกรรมผ่านระบบออนไลน์ ปรับปรุงระบบขนส่ง โครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค และระบบสื่อสาร เพื่อสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชนทั้งจากภายในประเทศและภายนอกประเทศ และขยายเครือข่ายคมนาคมขนส่งระหว่างประเทศภายในภูมิภาค

ที่มา: Macroeconomic Analysis Group: Fiscal Policy Office

Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ