สหภาพยุโรปออกมาตรการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินยูโรวงเงิน 750 พันล้านยูโร
เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม ที่ประชุมผู้นำสหภาพยุโรป (European Council) ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับมาตรการในการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินของสหภาพยุโรป (European Stabilization Mechanism: ESM) หลังจากเงินยูโรถูกเก็งกำไรอย่างหนักจากปัญหาหนี้สินของรัฐบาลกรีซและการคาดการถึงการขยายวงของปัญหาไปยังประเทศสมาชิกที่มีฐานะการคลังอ่อนแอ ไม่ว่าจะเป็นไอร์แลนด์เหนือ สเปน ปอร์ตุเกส และอิตาลี โดยภายใต้มาตรการดังกล่าว โดย ESM มีสาระสำคัญ ดังนี้
- เป็นกลไกในการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปที่ประสบปัญหาฐานะการเงินอย่างรุนแรง หรือมีทีท่าว่าจะประสบปัญหาอย่างรุนแรงโดยได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ โดยความช่วยเหลือทางการเงินจะรวมถึงการให้กู้และการให้วงเงินกู้แก่สมาชิกนั้นๆ
- การให้ความช่วยเหลือทางการเงินจะแยกเป็น 2 ส่วน คือ (1) ความช่วยเหลือในรูปของเงินกู้ (loans and credit lines) จะครอบคุลมประเทศสมาชิกทั้งหมด 27 ประเทศ โดยคณะกรรมการสหภาพยุโรป (European Commission) จะทำหน้าที่กู้ยืมเงินจากตลาดการเงินหรือสถาบันการเงินในนามของสหภาพยุโรปเพื่อให้แก่ประเทศสมาชิกตามสัดส่วนในการส่งสมทบงบประมาณของสหภาพยุโรป (EU budget) โดยจะมีการจัดวงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 60 พันล้านยูโร ซึ่งประเทศสมาชิกที่ได้รับเงินกู้จะเป็นผู้ชำระเงินต้นและดอกเบี้ย และ (2) ความช่วยเหลือในรูปของการค้ำประกันเงินกู้ (credit guarantee) จะครอบคลุมเฉพาะสมาชิกที่ใช้สกุลเงินยูโร (Euro area) จำนวน 16 ประเทศ โดยสมาชิกที่ใช้สกุลเงินยูโรจะร่วมกันจัดตั้ง Special purpose vehicle (SPV) เพื่อทำหน้าที่ในการให้การค้ำประกันเงินกู้แก่ประเทศสมาชิกตามสัดส่วน (pro-rata basis) โดยกำหนดวงเงินค้ำประกันสูงสุดไว้ไม่เกิน 440 พันล้านยูโร
- ประเทศสมาชิกที่ต้องการความช่วยเหลือทางการเงินจะต้องหารือกับ EU Commission และธนาคารกลางสหภาพยุโรป (ECB) เพื่อประเมินความจำเป็นและวงเงินที่เหมาะสม ขณะเดียวกัน ประเทศสมาชิกจะต้องเสนอแผนการปรับปรุงโครงทางสร้างเศรษฐกิจและการเงิน (economic and financial adjustment programme) ให้แก่ EU Commission และ EU Economic and Financial Committee พิจารณา ทั้งนี้ ในการตัดสินใจของที่ประชุมผู้นำสหภาพยุโรป (European Council) ด้วยความช่วยเหลือของ EU Commission จะอาศัยเสียงข้างมากเป็นหลัก (majority vote)
- ความช่วยเหลือทางการเงินจะมีการเบิกจ่ายเป็นงวดๆ (instalment) โดย EU Commission จะทำหน้าที่ในการติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการให้เป็นไปตามเงื่อนไขของเงินกู้ก่อนที่จะมีการเบิกจ่ายเงินในแต่ละงวด เพื่อเป็นการบังคับให้สมาชิกที่ได้รับเงินกู้ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามแผนการปรับปรุงโครงทางสร้างเศรษฐกิจและการเงินตามที่ผูกพันไว้
ทั้งนี้ ภายใต้โครงการ ESM จะได้รับการสมทบจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ครึ่งหนึ่ง หรือเท่ากับ 250 พันล้านยูโร ดังนั้น วงเงินภายใต้โครงการ ESM จึงมียอดรวมทั้งสิ้น 750 พันล้านยูโร ซึ่งถือเป็นมาตรการเพื่อรองรับการขยายตัวของปัญหาไปยังประเทศสมาชิกอื่น แม้ว่าสหภาพยุโรปเพิ่งจะเห็นชอบวงเงินกู้ยืมแก่ประเทศกรีซจำนวน 110 พันล้านยูโร เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม ที่ผ่านมา แต่เสถียรภาพของเงินยูโรก็ยังคงถูกสั่นคลอน
เสถียรภาพของเงินยูโรเริ่มถูกกระทบในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปี 2009 เมื่อมีข่าวเกี่ยวกับปัญหาฐานะการขาดดุลงบประมาณและภาระหนี้สินของประเทศกรีซซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกของสกุลเงินยูโร 16 ประเทศ เมื่อมีข่าวว่าฐานะการคลังที่แท้จริงของประเทศกรีซแย่กว่าที่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการ เนื่องจากมีการใช้ธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงิน (derivatives) ทั้ง interest rate และ cross currency swaps เข้ามาใช้ในการกู้ยืมเงินเพื่อให้มีกระแสเงินรับเข้ามาก่อนในขาแรกของการทำ swaps ซึ่งช่วยลดตัวเลขยอดหนี้สาธารณะลง แต่มีพันธะต้องชำระคืนในอนาคตเมื่อสัญญา swaps ครบกำหนด วิธีการนี้ทำให้ดูเสมือนหนึ่งว่ากรีซมีฐานะขาดดุลงบประมาณอยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์ของ EU แต่เมื่อข้อเท็จจริงถูกเปิดเผยพบว่าการขาดดุลงบประมาณของกรีซในปี 2009 น่าจะสูงถึงร้อยละ 12.7 ของ GDP และมียอดหนี้สาธารณะสูงถึงร้อยละ 112.6 ของ GDP ถือว่าสูงที่สุดในยุโรปแซงหน้าอิตาลีด้วยซ้ำ ผลคือสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือทั้ง 3 แห่งประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศกรีซลงหนึ่งระดับโดย Fitch และ Standard & Poor’s ลดความน่าเชื่อถือลงจาก A- เหลือ BBB+ ในช่วงกลางเดือนธันวาคม ตามมาด้วย Moody’s ที่ตัดสินใจลดความน่าเชื่อถือตราสารหนี้ของรัฐบาลกรีซลงจาก A1 เหลือ A2 (ยังสูงกว่า Fitch และ S&P อยู่ 2 ระดับ) ในช่วงท้ายเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ส่งผลให้ราคาหุ้นและค่าเงินยูโรได้รับผลกระทบ และในช่วง 2 — 3 เสถียรภาพของเงินยูโรเริ่มถูกกระทบในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปี 2009 เมื่อมีข่าวเกี่ยวกับปัญหาฐานะการขาดดุลงบประมาณและภาระหนี้สินของประเทศกรีซซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกของสกุลเงินยูโร 16 ประเทศ เมื่อมีข่าวว่าฐานะการคลังที่แท้จริงของประเทศกรีซแย่กว่าที่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการ เนื่องจากมีการใช้ธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงิน (derivatives) ทั้ง interest rate และ cross currency swaps เข้ามาใช้ในการกู้ยืมเงินเพื่อให้มีกระแสเงินรับเข้ามาก่อนในขาแรกของการทำ swaps ซึ่งช่วยลดตัวเลขยอดหนี้สาธารณะลง แต่มีพันธะต้องชำระคืนในอนาคตเมื่อสัญญา swaps ครบกำหนด วิธีการนี้ทำให้ดูเสมือนหนึ่งว่ากรีซมีฐานะขาดดุลงบประมาณอยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์ของ EU แต่เมื่อข้อเท็จจริงถูกเปิดเผยพบว่าการขาดดุลงบประมาณของกรีซในปี 2009 น่าจะสูงถึงร้อยละ 12.7 ของ GDP และมียอดหนี้สาธารณะสูงถึงร้อยละ 112.6 ของ GDP ถือว่าสูงที่สุดในยุโรปแซงหน้าอิตาลีด้วยซ้ำ ผลคือสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือทั้ง 3 แห่งประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศกรีซลงหนึ่งระดับโดย Fitch และ Standard & Poor’s ลดความน่าเชื่อถือลงจาก A- เหลือ BBB+ ในช่วงกลางเดือนธันวาคม ตามมาด้วย Moody’s ที่ตัดสินใจลดความน่าเชื่อถือตราสารหนี้ของรัฐบาลกรีซลงจาก A1 เหลือ A2 (ยังสูงกว่า Fitch และ S&P อยู่ 2 ระดับ) ในช่วงท้ายเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ส่งผลให้ราคาหุ้นและค่าเงินยูโรได้รับผลกระทบ และในช่วง 2 — 3
เดือนที่ผ่านมา ค่าเงินยูโรถูกทดสอบอย่างหนักจากตลาดเนื่องจากความล่าช้าของสหภาพยุโรปในการตัดสินใจให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่กรีซ จนกระทั่งในช่วงปลายเดือนเมษายน Standard & Poor’s ได้ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือตราสารหนี้ภาครัฐระยะยาวของกรีซลงอีกครั้ง โดยคราวนี้ลดลงถึง 3 ระดับจากระดับ BBB+ เหลือ BB+ ซึ่งเป็นระดับต่ำกว่าระดับน่าลงทุน (speculative grade) ตามติดในวันต่อมาด้วยการลดอันดับความน่าเชื่อถือของปอร์ตุเกสลง 2 ระดับจากระดับ A+ เหลือ A- และให้แนวโน้มในเชิงลบ และในวันถัดมาก็ลดอันดับความน่าเชื่อถือของสเปนลง 1 ระดับจาก AA+ เหลือ AA เนื่องจากแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจของสเปนอ่อนแอกว่าค่าเฉลี่ยการขยายตัวของเศรษฐกิจในระยะยาวค่อนข้างมากซึ่งจะยิ่งทำให้ฐานะการคลังของประเทศย่ำแย่ และยังให้แนวโน้มในเชิงลบ (negative outlook) ซึ่งหมายถึงว่าสเปนอาจถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือลงอีกได้หากฐานะการคลังของประเทศออกมาแย่กว่าที่ S&P ประเมินไว้อย่างมีนัยสำคัญ ความกังวลถึงการลุกลามของวิกฤตการคลังของกรีซไปสู่ประเทศสมาชิกอื่นที่มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่กว่าจึงส่งผลกดดันต่อค่าเงินยูโรให้อ่อนค่าลงอย่างมากจนทำสถิติอ่อนสุดในรอบเกือบ 4 ปีเมื่อเทียบกับดอลลาร์ สรอ.
แม้จะได้มีการประกาศมาตรการเพิ่มเติมเพื่อเร่งลดการขาดดุลงบประมาณ แต่สิ่งที่ยังเป็นที่กังวลของทั้งตลาดการเงินและ IMF ก็คือความสามารถในการปฏิบัติให้เป็นไปตามแผนที่คาดว่าจะเกิดการต่อต้านจากบรรดาสหภาพแรงงานที่ค่อนข้างมีอิทธิพลเช่นที่เกิดขึ้นในประเทศกรีซ รวมถึงผลของมาตรการลดการขาดดุลที่จะมีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของสหภาพยุโรปโดยรวม
ที่มา: Macroeconomic Analysis Group: Fiscal Policy Office
Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th