สรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร (เดือนกันยายน พ.ศ. 2552)

ข่าวทั่วไป Friday December 18, 2009 14:15 —สำนักงานสถิติแห่งชาติ

บทสรุปสำหรับผู้บริหาร

การสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนกันยายน พ.ศ. 2552

การสำรวจภาวะการทำงานของประชากรประจำเดือนกันยายน 2552 พบว่า มีจำนวนผู้มีอายุ 15 ปีขึ้นไปหรือวัยแรงงานทั้งสิ้น 52.96 ล้านคน เป็นผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน 38.37 ล้านคน ซึ่งประกอบด้วย ผู้มีงานทำ 37.80 ล้านคน ผู้ว่างงาน 4.6 แสนคน และผู้รอฤดูกาล 1.1 แสนคน ส่วนผู้ที่อยู่นอกกำลังแรงงานมี 14.59 ล้านคน

จำนวนผู้มีงานทำ 37.80 ล้านคนนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนผู้มีงานทำในช่วงเวลาเดียวกันกับ ปี 2551 พบว่าจำนวนผู้มีงานทำเพิ่มขึ้น 6.1 แสนคน (จาก 37.19 ล้านคน เป็น 37.80 ล้านคน) หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 โดยผู้มีงานทำนอกภาคเกษตรกรรมเพิ่มขึ้น 9 แสนคน (จาก 22.35 ล้านคน เป็น23.25 ล้านคน) ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นในสาขาการขายส่งและขายปลีกฯ มากที่สุด 5.1 แสนคน รองลงมาสาขาการผลิต 2 แสนคน สาขาการโรงแรมและภัตตาคาร 1 แสนคนสาขาบริหารราชการแผ่นดินฯ และสาขาการก่อสร้างเท่ากันคือ 9 หมื่นคน ส่วนสาขาที่ลดลงเป็นสาขาการขนส่งฯ 5 หมื่นคนและที่เหลือกระจายอยู่ในสาขาอื่น ๆ ส่วนภาคเกษตรกรรมลดลง 2.9 แสนคน (จาก 14.84 ล้านคน เป็น 14.55 ล้านคน)

สำหรับอุตสาหกรรมการผลิตในเดือนกันยายน 2552 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันกับปี 2551 เพิ่มขึ้น 2 แสนคน โดยเป็นการเพิ่มขึ้นในกลุ่มการผลิตไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้ 1.3 แสนคน การผลิตเฟอร์นิเจอร์ 5.7 หมื่นคน การผลิตผลิตภัณฑ์ที่ทำจากโลหะประดิษฐ์ 5 หมื่นคน การผลิตเครื่องจักรสำนักงาน 4.4 หมื่นคน การผลิตกระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ 2.9 หมื่นคน ส่วนการผลิตที่ลดลงที่สำคัญ ได้แก่ในกลุ่มการผลิตเครื่องแต่งกาย 6.4 หมื่นคน การฟอกและตกแต่งหนังฟอก 5.4 หมื่นคน การผลิตยานยนต์ รถพ่วงและรถกึ่งพ่วง 4 หมื่นคน การผลิตเครื่องอุปกรณ์การขนส่ง อื่น ๆ 3.8 หมื่นคนการผลิตผลิตภัณฑ์จากแร่อโลหะ 1.8 หมื่นคน ที่เหลือกระจายในการผลิตอื่น ๆ

หากพิจารณาถึงลักษณะของการทำงานไม่เต็มเวลาด้านชั่วโมงการทำงาน พบว่า ในจำนวนผู้ทำงานทั้งหมด 37.80 ล้านคน มีผู้ทำงานที่มีชั่วโมงการทำงานน้อยกว่า 35 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ 6.58 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 17.4 ของผู้มีงานทำ ซึ่งกลุ่มผู้ทำงานเหล่านี้ คือผู้ที่ทำงานไม่เต็มเวลาหากนำมาเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปี 2551 ผู้ทำงานไม่เต็มเวลามีจำนวนเพิ่มขึ้น 3.8 แสนคน (จาก 6.20 ล้านคน เป็น 6.58 ล้านคน) หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.8

สำหรับจำนวนของผู้ว่างงานในเดือนกันยายน 2552 มีจำนวนผู้ว่างงานทั้งสิ้น 4.6 แสนคน หรือคิดเป็นอัตราการว่างงาน ร้อยละ 1.2 และเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาของปี 2551 มีจำนวนผู้ว่างงานเพิ่มขึ้น 3 หมื่นคน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 แต่เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดือนที่ผ่านมา (สิงหาคม 2552) มีผู้ว่างงานเพิ่มขึ้น 1 หมื่นคน (จาก 4.5 แสนคน เป็น 4.6 แสนคน) ถ้าพิจารณาผู้ว่างงานจากประสบการณ์การทำงาน เป็นผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อนมีจำนวน 1.6 แสนคน ส่วนผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อน 3 แสนคน เพิ่มขึ้น 3 หมื่นคน จากช่วงเวลาเดียวกันกับปี 2551 (จาก 2.7 แสนคน เป็น 3 แสนคน) โดยเป็นผู้ว่างงานมาจากภาคการบริการและการค้ามากที่สุด 1.3 แสนคน ภาคการผลิต 1.2 แสนคน และภาคเกษตรกรรม 5 หมื่นคน

หากพิจารณาการว่างงานตามกลุ่มอายุ พบว่ากลุ่มเยาวชน หรือผู้มีอายุระหว่าง 15-24 ปี เป็นกลุ่มที่มีอัตราการว่างงานร้อยละ 4.5 ซึ่งปกติในกลุ่มนี้อัตราการว่างงานจะสูงส่วนกลุ่มวัยทำงาน (อายุ 25 ปีขึ้นไป) มีอัตราการว่างงานร้อยละ 0.7 เมื่อเปรียบเทียบกับในช่วงเวลาเดียวกันกับปี2551 กลุ่มเยาวชน มีอัตราการว่างงานลดลงร้อยละ 0.2 (จากร้อยละ 4.7 เป็นร้อยละ 4.5) และกลุ่มวัยทำงาน มีอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 (จากร้อยละ 0.6 เป็นร้อยละ 0.7)

สำหรับระดับการศึกษาที่สำ เร็จของผู้ว่างงานในเดือนกันยายน 2552 พบว่า ผู้ที่จบการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นมีอัตราการว่างงานสูงที่สุด คือ ร้อยละ 2.3 รองลงมาเป็นผู้ที่จบการศึกษาในระดับอุดมศึกษา ร้อยละ 2.0 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ร้อยละ 1.1 และประถมศึกษาร้อยละ 0.8 เมื่อเปรียบเทียบกับในช่วงเวลาเดียวกันกับปี2551 อัตราการว่างงานในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นเพิ่มขึ้นมากที่สุด ร้อยละ 0.7 และระดับอุดมศึกษาร้อยละ 0.2 ในขณะเดียวกันอัตราการว่างงานในระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษาตอนปลายกลับลดลง ร้อยละ 0.8 และ ร้อยละ 0.5 ตามลำดับ

หากพิจารณาการว่างงาน เป็นรายภาค พบว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นภาคที่มีจำนวนผู้ว่างงานมากที่สุดคือ 1.3 แสนคน รองลงมาเป็น ภาคกลาง 1.2 แสนคน ภาคเหนือ 9 หมื่นคน ภาคใต้ 7 หมื่นคน และกรุงเทพมหานคร 5 หมื่นคน ถ้าเปรียบเทียบเป็นอัตราการว่างงานในช่วงเวลาเดียวกันกับปี 2551 พบว่า เกือบทุกภาคมีอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น โดยภาคใต้เพิ่มขึ้น ร้อยละ 0.4 รองลงมาเป็นภาคกลาง ร้อยละ 0.3 กรุงเทพมหานคร ร้อยละ 0.1 ภาคเหนือไม่เปลี่ยนแปลงจากปีก่อน ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือลดลงร้อยละ 0.3

สรุปผลการสำรวจ

ภาวะการทำงานของประชากร เดือนกันยายน พ.ศ. 2552

1. บทนำ

สำนักงานสถิติแห่งชาติ ดำเนินการสำรวจภาวะการทำงานของประชากรหรือสำรวจแรงงานอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี เริ่มตั้งแต่ปี 2506 โดยในช่วงแรก สำรวจเพียงปีละ 2 รอบ รอบแรกเป็นการสำรวจนอกฤดูเกษตร รอบที่ 2 เป็นฤดูเกษตร ต่อมาในปี 2527 - 2540 สำรวจปีละ 3 รอบ โดยเพิ่มสำรวจช่วงเดือนพฤษภาคมเพื่อดูแรงงานที่จบการศึกษาใหม่เข้าสู่ตลาดแรงงาน และในปี 2541 ได้เพิ่มการสำรวจขึ้นอีก 1 รอบ เดือนพฤศจิกายน เป็นช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิตการเกษตร ทำให้เป็นการสำรวจภาวะการทำงานของประชากรครบทั้ง 4 ไตรมาสของปี และในปี 2544 สำนักงานสถิติแห่งชาติปรับปรุงการสำรวจเป็นรายเดือน ทั้งนี้เพื่อให้สามารถติดตามภาวะการมีงานทำของประชากรได้อย่างใกล้ชิดและเสนอผลการสำรวจเป็นรายเดือนทุกเดือนในระดับประเทศและภาค

2. สรุปผลที่สำคัญ
2.1 โครงสร้างกำลังแรงงาน

ผลการสำรวจในเดือนกันยายน พ.ศ. 2552 พบว่า มีจำนวนประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไป 52.96 ล้านคน เป็นผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานประมาณ 38.37 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 72.4 ของประชากร (ชายร้อยละ 81.8 และหญิงร้อยละ 63.6) เป็นผู้ที่อยู่นอกกำลังแรงงาน 14.59 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 27.6 (ชายร้อยละ 18.2 และหญิงร้อยละ 36.4)

สำหรับกลุ่มผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน จำแนกออกเป็น 3 กลุ่ม คือ

1. ผู้มีงานทำ จำนวน 37.80 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 98.5 ของผู้อยู่ในกำลังแรงงาน (ชายร้อยละ 98.7 หญิงร้อยละ 98.3)

2. ผู้ว่างงาน หมายถึง ผู้ไม่มีงานทำและพร้อมที่จะทำงาน มีจำนวน 4.6 แสนคน หรือคิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 1.2 (ชายร้อยละ 1.2 และหญิงร้อยละ 1.2)

3. ผู้ที่รอฤดูกาล หมายถึง ผู้ที่ไม่ได้ทำงานและไม่พร้อมที่จะทำงาน เนื่องจากจะรอทำงานในฤดูกาลต่อไป มีจำนวน 1.1 แสนคน คิดเป็นร้อยละ 0.3 (ชายร้อยละ 0.1 และหญิงร้อยละ 0.5)

2.2 ภาวะการมีงานทำของประชากร

เมื่อพิจารณาถึงลักษณะการทำงานของประชากรเดือนกันยายน พ.ศ. 2552 พบว่า จากจำนวนผู้มีงานทำทั้งสิ้น 37.80 ล้านคน (ชาย 20.79 ล้านคน และหญิง 17.01 ล้านคน) เป็นผู้ทำงานภาคเกษตรกรรมประมาณ 14.55 ล้านคน หรือร้อยละ 38.5 ของผู้มีงานทำ (ชาย 8.54 ล้านคน และหญิง 6.01 ล้านคน) และทำงานนอกภาคเกษตรกรรมประมาณ 23.25 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 61.1 ของผู้มีงานทำ (ชาย 12.24 ล้านคน และหญิง 11.01 ล้านคน)

เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่ผ่านมา จะเห็นว่า ผู้มีงานทำเพิ่มขึ้นประมาณ 6.1 แสนคน โดยผู้มีงานทำในภาคเกษตรกรรมลดลงประมาณ 2.9 แสนคน (ลดลงจาก 14.84 ล้านคน เป็น 14.55 ล้านคน) ส่วนผู้มีงานทำนอกภาคเกษตรกรรมเพิ่มขึ้นประมาณ 9 แสนคน (เพิ่มขึ้นจาก 22.35 ล้านคน เป็น 23.25 ล้านคน) ในจำนวนนี้เป็นการเพิ่มขึ้นในสาขาการขายส่งและขายปลีกฯ มากที่สุด 5 แสนคน รองลงมาเป็นสาขาการผลิต 2 แสนคน สาขาการโรงแรมและภัตตาคาร 1 แสนคน สาขาบริหารราชการแผ่นดินและสาขาการก่อสร้างเท่ากันคือ 9 หมื่นคน สาขาการศึกษา 4 หมื่นคนสาขาอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจให้เช่า 2 หมื่นคน ส่วนสาขาที่ลดลงเป็นสาขาการขนส่งฯ 5 หมื่นคน และที่เหลือกระจายอยู่ในสาขาอื่น ๆ

เมื่อพิจารณาถึงชั่วโมงทำงานของผู้มีงานทำต่อสัปดาห์ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2552 พบว่า ส่วนใหญ่ทำงานตั้งแต่ 35 ชั่วโมงขึ้นไปต่อสัปดาห์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นผู้ทำงานเต็มที่ในเรื่องชั่วโมงทำงาน มีจำนวน 31.22 ล้านคน หรือร้อยละ 82.6 ของผู้มีงานทำทั้งสิ้น (ชายร้อยละ 82.5 และหญิงร้อยละ 82.7) และผู้ที่ทำงาน 1-34 ชั่วโมงมีจำนวน 6.22 ล้านคน หรือร้อยละ 16.5 (ชายร้อยละ 16.4 และหญิงร้อยละ 16.5) สำหรับผู้ที่ไม่ได้ทำงานในสัปดาห์สำรวจ (ระหว่าง 7 วันก่อนวันสัมภาษณ์) แต่เป็นผู้มีงานประจำซึ่งถือว่าในสัปดาห์สำรวจไม่มีชั่วโมงทำงาน (0 ชั่วโมง) มีจำนวน 3.6 แสนคนหรือร้อยละ 0.9 (ชายร้อยละ 1.1 และหญิงร้อยละ 0.8) เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีผ่านมาจะเห็นว่าจำนวนของผู้ที่ทำงาน 1 — 34 ชั่วโมง เพิ่มขึ้นประมาณ 3.3 แสนคน ผู้ที่ทำงานตั้งแต่ 35 ชั่วโมงขึ้นไปเพิ่มขึ้นประมาณ 2.3 แสนคนและผู้ที่ไม่ได้ทำงานในสัปดาห์การสำรวจ (0 ชั่วโมง) มีจำนวนเพิ่มขึ้น 5 หมื่นคน

2.3 ภาวะการว่างงานของประชากร

ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2552 จำนวนผู้ว่างงานมีประมาณ 4.6 แสนคน (ชาย 2.4 แสนคน และหญิง 2.2 แสนคน) คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 1.2 (ชายร้อยละ 1.2 และหญิงร้อยละ 1.2) และถ้าพิจารณาเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่ผ่านมา จะเห็นว่า จำนวนผู้ว่างงานเพิ่มขึ้น 3 หมื่นคน เมื่อพิจารณาเป็นรายภาค พบว่า จำนวนผู้ว่างงานภาคกลางเพิ่มขึ้นสูงสุด 4 หมื่นคน ภาคใต้เพิ่มขึ้น 2 หมื่นคน กรุงเทพมหานครเพิ่มขึ้น 1 หมื่นคน ในขณะที่ภาคเหนือไม่เปลี่ยนแปลงจากปีก่อน ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีผู้ว่างงานลดลง 4 หมื่นคน

ถ้าพิจารณาอัตราการว่างงานในเดือนกันยายน พ.ศ.2552 เป็นรายภาค พบว่า ภาคใต้มีอัตราการว่างงานสูงสุดคิดเป็นร้อยละ 1.4 รองลงมาคือกรุงเทพมหานคร ร้อยละ 1.3 ภาคกลางและภาคเหนือมีอัตราการว่างงานเท่ากัน คือ ร้อยละ 1.2 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอัตราการว่างงานน้อยที่สุด ร้อยละ 1.0

เมื่อเปรียบเทียบอัตราการว่างงานของแต่ละภาคกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่ผ่านมา พบว่า อัตราการว่างงานทั่วประเทศเพิ่มขึ้น 3 หมื่นคน พิจารณาเป็นรายภาคพบว่า ภาคใต้มีอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 รองลงมาเป็นภาคกลางมีอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 กรุงเทพมหานครเพิ่มขึ้น ร้อยละ 0.1 และภาคเหนืออัตราการว่างงานไม่เปลี่ยนแปลงจากปีก่อน ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอัตราการว่างงานลดลงร้อยละ 0.3 ตามลำดับ

เมื่อพิจารณาถึงลักษณะที่น่าสนใจของผู้ว่างงาน 4.6 แสนคน ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2552 พบว่า เป็นผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อนประมาณ 1.6 แสนคน หรือคิดเป็น ร้อยละ 34.8 ของผู้ว่างงานทั้งสิ้น ส่วนผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อนมีประมาณ 3 แสนคน หรือคิดเป็นร้อยละ 65.2 โดยเป็นผู้ว่างงานมาจากนอกภาคเกษตรกรรม 2.5 แสนคน ซึ่งประกอบด้วย ภาคการผลิตประมาณ 1.2 แสนคน และ ภาคการบริการและการค้าประมาณ 1.3 แสนคน สำหรับผู้ว่างงานในภาคเกษตรกรรมมีประมาณ 5 หมื่นคน

เมื่อพิจารณาระดับการศึกษาที่สำเร็จของผู้ว่างงานจำนวน 4.6 แสนคน พบว่า ระดับการศึกษาที่มีผู้ว่างงานมากที่สุดคือ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและระดับอุดมศึกษาเท่ากันคือ 1.3 แสนคน รองลงมา คือ ผู้ที่ไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษาและระดับประถมศึกษาเท่ากันคือ 7 หมื่นคนและระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 6 หมื่นคน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่ผ่านมา พบว่า ผู้ว่างงานที่ไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษาตอนต้น เท่ากันคือ 4 หมื่นคน ระดับอุดมศึกษา 2 หมื่นคน ส่วนระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษาตอนปลายมีผู้ว่างงานลดลงเท่ากันคือ 4 หมื่นคน

จากการพิจารณาอัตราการว่างงานตามระดับการศึกษาที่สำเร็จ พบว่า ผู้ที่จบการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นมีอัตราการว่างงานสูงที่สุด คือ ร้อยละ 2.3 รองลงมาเป็นผู้ที่จบการศึกษาในระดับอุดมศึกษา ร้อยละ 2.0 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ร้อยละ 1.1 ระดับประถมศึกษา ร้อยละ 0.8 ผู้ว่างงานที่ไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษาร้อยละ 0.6 เมื่อเปรียบเทียบกับในช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่ผ่านมา พบว่า อัตราการว่างงานระดับมัธยมศึกษาตอนต้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 ผู้ว่างงานที่ไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษาเพิ่มขึ้น ร้อยละ 0.3 ระดับอุดมศึกษาเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 ส่วนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายลดลง ร้อยละ 0.8 ระดับประถมศึกษาลดลงน้อยที่สุด ร้อยละ 0.2

ภาคผนวก

1. วิธีการสำรวจ

การสำรวจในแต่ละเดือนได้ดำเนินการสำรวจทั่วประเทศในทุกจังหวัด ด้วยวิธีการเลือกตัวอย่างแบบ Stratified Two Stage Sampling โดยตัวอย่างขั้นที่ 1 คือ ชุมรุมอาคาร 1/ (ในเขตเทศบาล) หรือหมู่บ้าน (นอกเขตเทศบาล) ซึ่งมีจำนวนตัวอย่างประมาณ 1,932 ชุมรุมอาคาร/หมู่บ้านตัวอย่าง และตัวอย่างขั้นที่ 2 คือ ครัวเรือนการสำรวจในแต่ละเดือนมีจำนวนครัวเรือนที่เป็นตัวอย่างทั้งสิ้นประมาณ 26,520 ครัวเรือนตัวอย่าง คิดเป็นจำนวนประชากรที่ตกเป็นตัวอย่าง ทั้งสิ้นประมาณ 92,820 คน ซึ่งขนาดตัวอย่างดังกล่าวนำเสนอข้อมูลในระดับ ภาค และ ยอดรวมทั้งประเทศ สำหรับแนวคิดและคำนิยามที่ใช้ในการสำรวจใช้ตามสภาพที่เหมาะสมกับประเทศไทย และตามข้อเสนอแนะ ของ ILO และ UN ซึ่งเป็นมาตรฐานทางสถิติที่ประเทศต่าง ๆ นำไปใช้ในการสำรวจภาวะการทำงานของประชากรเพื่อให้ได้ข้อมูลการทำงานการว่างงาน และการประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ของประชากร ที่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้ในระหว่างประเทศ

สำหรับวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลใช้วิธีการสัมภาษณ์หัวหน้าครัวเรือนที่ตกเป็นตัวอย่าง โดยพนักงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ทั้งนี้ ในกรุงเทพมหานครใช้พนักงานทำการสัมภาษณ์ จำนวน 44 คน ในจังหวัดอื่นๆ จำนวน 830 คน และเจ้าหน้าที่ผู้ทำการสัมภาษณ์ทุกคน จะมีคู่มือการปฏิบัติงานการเก็บรวบรวมข้อมูลสำหรับใช้ในการปฏิบัติงาน เพื่อให้ทุกคนปฏิบัติงานในแนวทางเดียวกัน

ส่วนการประมวลผลข้อมูลนั้น ดำเนินการในส่วนกลางตามหลักสถิติศาสตร์ โดยนำข้อมูลที่ได้จากครัวเรือนตัวอย่างมาคำนวณ โดยใช้สูตรในการประมาณค่าที่เหมาะสมกับวิธีการเลือกตัวอย่าง หรือนำมาถ่วงน้ำหนัก(Weight) เพื่อให้ได้ค่าประมาณของประชากรทั้งหมดที่ใกล้เคียงกับค่าที่แท้จริง ทั้งในระดับภาค และยอดรวมทั่วประเทศ

2. คำนิยามสำคัญที่ใช้ในการสำรวจ
  • ผู้มีงานทำ หมายถึง ผู้ที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป และในระหว่าง 7 วันก่อนสัมภาษณ์ มีลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้

1. ได้ทำงานตั้งแต่ 1 ชั่วโมงขึ้นไป โดยได้รับค่าจ้าง

2. ทำงานอย่างน้อย 1 ชั่วโมง โดยไม่ได้รับค่าจ้างในวิสาหกิจหรือไร่นาเกษตรของหัวหน้าครัวเรือนหรือของสมาชิกในครัวเรือน เช่น ช่วยธุรกิจในครัวเรือน หรือเป็นลูกของเจ้าของบริษัท ซึ่งได้ผลประโยชน์จากบริษัทอยู่แล้ว

3. ไม่ได้ทำงาน หรือทำงานน้อยกว่า 1 ชั่วโมง แต่เป็นผู้ที่ปกติมีงานประจำ กล่าวคือ มีงานอยู่แต่ช่วงนี้ไม่ได้ทำ เป็นผู้ที่มีลักษณะอย่างใด อย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้

3.1 ยังได้รับค่าตอบแทน ค่าจ้าง หรือผลประโยชน์อื่น ๆ หรือผลกำไรจากงานหรือธุรกิจในระหว่างที่ไม่ได้ทำงาน เช่น อยู่ระหว่างลาพักผ่อนตามสิทธิ์ เป็นต้น

3.2 ไม่ได้รับค่าตอบแทน ค่าจ้าง หรือผลประโยชน์อื่น ๆ หรือผลกำไรจากงานหรือธุรกิจในระหว่างที่ไม่ได้ทำงาน แต่ยังมีงานหรือธุรกิจที่จะกลับไปทำ เช่น การลาป่วย/ลากิจของลูกจ้างรายวัน เป็นต้น

1/ ชุมรุมอาคาร : พื้นที่ในเขตเทศบาลทุกจังหวัด จะแบ่งออกเป็นส่วนย่อย ๆ เรียกว่า ชุมรุมอาคาร (Block) ใช้แผนที่สถิติที่จัดทำโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ คือ 1 ชุมรุมอาคาร ประกอบด้วยครัวเรือน ประมาณ 100 - 200 ครัวเรือน

  • ผู้ทำงานตั้งแต่ 7 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน หมายถึง ผู้ที่ทำงานตั้งแต่ 35 ชั่วโมงขึ้นไปต่อสัปดาห์ ซึ่งถือว่าเป็นผู้ทำงานเต็มที่ในเรื่องชั่วโมงทำงาน
  • ผู้ทำงานน้อยกว่า 7 ชั่วโมงต่อวัน หมายถึง ผู้ที่ทำงานน้อยกว่า 35 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งถือว่าเป็นผู้ทำงานไม่เต็มที่ในเรื่องชั่วโมงทำงาน ทั้งนี้รวมถึงผู้ที่ไม่ได้ทำงานในสัปดาห์การสำรวจ (0 ชั่วโมง) แต่ปกติมีงานประจำทำ ซึ่งในสัปดาห์แห่งการสำรวจ อยู่ระหว่างการป่วย/ลาพักผ่อน เป็นต้น
  • ผู้ว่างงาน หมายถึง ผู้ที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป และในระหว่าง 7 วันก่อนวันสัมภาษณ์มีลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้

1. ไม่ได้ทำงานหรือไม่มีงานประจำ และได้หางานหรือสมัครงาน หรือรอการบรรจุ ในระหว่าง 30 วัน ก่อนวันสัมภาษณ์

2. ไม่ได้ทำงานหรือไม่มีงานประจำ และไม่ได้หางานทำในระหว่าง 30 วันก่อนวันสัมภาษณ์แต่พร้อมที่จะทำงานในระหว่าง 7 วันก่อนวันสัมภาษณ์

  • กำลังแรงงานที่รอฤดูกาล หมายถึง ผู้ที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป ในระหว่าง 7 วันก่อนวันสัมภาษณ์ เป็นผู้ไม่เข้าข่ายคำนิยามของผู้มีงานทำ หรือว่างงาน แต่เป็นผู้รอฤดูกาลที่เหมาะสมเพื่อที่จะทำงาน ถึงแม้มีงานที่เหมาะสมและอยู่ในวิสัยที่สามารถทำได้ ซึ่งโดยปกติจะทำงานที่ไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในไร่นาเกษตร หรือธุรกิจซึ่งทำกิจกรรมตามฤดูกาล โดยมีหัวหน้าครัวเรือน หรือสมาชิกคนอื่น ๆ ในครัวเรือนเป็นเจ้าของหรือผู้ดำเนินการ

ที่มา: สำนักงานสถิติแห่งชาติ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ