สศก. เผย ผลที่จะเกิดขึ้นต่อภาคเกษตรไทยภายหลังการเป็น AEC นับจะเป็นโอกาสของภาคเกษตรไทย ทั้งในเชิงการผลิต การค้า การลงทุน และการบริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับผู้ประกอบการภาคธุรกิจที่มีความพร้อม เพื่อหาแหล่งลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านที่มีทรัพยากร ย้ำ เกษตรกรไทย ต้องเตรียมความพร้อมเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน โดยศึกษาและทำความเข้าใจต่อการเปลี่ยนแปลงให้สามารถปรับปรุงการผลิตและควบคุมคุณภาพสินค้าให้แข่งขันได้
นายอภิชาต จงสกุล เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงผลการเสวนา เรื่อง “วิกฤต โอกาสของการเกษตรไทยใน AEC” ซึ่ง สศก. ได้จัดต่อเนื่องกับการสัมมนาภาวะเศรษฐกิจการเกษตรไทยในปี 2554 และแนวโน้มปี 2555 เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2555 ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชัน กรุงเทพ ซึ่งมีผู้ทรงคุณวุฒิที่มีชื่อเสียงจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้แทนภาครัฐสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ผู้ประกอบการ องค์กรเกษตรกร และสถาบันการศึกษามาร่วมพูดคุยและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ มุมมอง และแนวทางการปรับตัวของภาคการเกษตรไทยในการเตรียมความพร้อมเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC) ในปี 2558
จากการเสวนาครั้งนี้ ได้สร้างความเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของอาเซียน จากการเป็นเพียงเขตการค้าเสรีระหว่างกัน กลายมาเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่มีลักษณะเป็นแหล่งผลิตเดียวและเป็นตลาดเดียว มีการเคลื่อนย้ายสินค้า การบริการ การลงทุน แรงงานมีฝีมือและเงินทุนระหว่างประเทศสมาชิกอย่างเสรี เพื่อให้อาเซียนมีขนาดเศรษฐกิจที่ขยายตัวใหญ่ขึ้น และผลพวงจากการเป็นแหล่งผลิตสินค้าเกษตรและอาหาร ทำให้ภูมิภาคอาเซียนกลายเป็นผู้ผลิตและผู้ขายสินค้าเกษตรและอาหารที่ทรงอิทธิพลของโลก และดึงดูดนักลงทุนจากภายนอกเข้ามาตั้งฐานการผลิตมากขึ้น สำหรับมุมมองด้านผลกระทบที่น่าจะเกิดขึ้นต่อภาคการเกษตรไทยภายหลังการเป็น AEC นั้น โดยสรุปแล้ว น่าจะเป็นโอกาสของการเกษตรไทย ทั้งในเชิงการผลิต การค้า การลงทุนและการบริการที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับผู้ประกอบการภาคธุรกิจที่มีความพร้อมทั้งด้านเงินทุนและเทคโนโลยีการผลิต จะเป็นโอกาสในการออกไปหาแหล่งลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านที่มีฐานทรัพยากร ปัจจัยการผลิตและแรงงานราคาถูก เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันของตน ส่วนด้านเกษตรกรไทย จะได้มีการเตรียมความพร้อมเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตนเอง โดยการศึกษาและทำความเข้าใจต่อการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และได้ปรับตัวโดยการสร้างระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ผ่านการรวมกลุ่มเป็นสหกรณ์หรือองค์กรเกษตรกรที่มีความเข้มแข็ง จนสามารถปรับปรุงการผลิตและควบคุมคุณภาพสินค้าให้อยู่ในระดับที่แข่งขัน
นอกจากนี้ การที่ไทยเป็นประเทศที่มีความพร้อมและศักยภาพสูงทั้งในด้านภูมิศาสตร์ที่ตั้ง การเป็นศูนย์รวมระบบคมนาคมขนส่ง และมีแรงงานฝีมือที่มีความชำนาญด้านการเกษตรสูง จะเป็นแรงดึงดูดให้นักลงทุนจากอาเซียนเข้ามาลงทุนและตั้งฐานการผลิตด้านอุตสาหกรรมการเกษตรและอาหาร ซึ่งจะช่วยให้มีการสร้างการจ้างงาน สร้างรายได้และพัฒนาเศรษฐกิจไทยในภาพรวม ซึ่งบทบาทของภาครัฐที่จะเข้ามาสนับสนุนในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานการผลิต การวิจัย และพัฒนาผลิตภัณฑ์และสินค้าทางการเกษตร และการอำนวยความสะดวกทางด้านการค้า จะทำให้ประเทศไทยมีความแข็งแกร่งมากขึ้น จากการรวมกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่จะทำให้ไทยและสมาชิกอาเซียนสามารถร่วมกันผลักดันการรวมตัวกันของประเทศสมาชิกอาเซียนให้กลายเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ นั่นคือ ประชาชนในประเทศสมาชิกอาเซียนจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนแนวคิด (Mind set) จากการเป็นคนชาติมาเป็นคนอาเซียน เปลี่ยนจากการเป็นคู่แข่งขันมาเป็นพันธมิตร เพื่อให้เกิดการพัฒนา ทั้งด้านการผลิต ยกระดับคุณภาพของสินค้าเกษตรให้ตรงตามมาตรฐานสากลและความต้องการของตลาดและเป็นที่จดจำ เพื่อสามารถขยายการส่งออกไปยังตลาดทั่วโลก ซึ่งในที่สุดย่อมจะส่งผลต่อเนื่องย้อนกลับมายังภาคการผลิตการเกษตรไทย ผู้ประกอบการไทย ผู้บริโภค และเกษตรกรไทยให้มีรายได้และมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นต่อไป
--สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร--