สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์: ข้าว

ข่าวเศรษฐกิจ Monday March 1, 2021 13:49 —สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 22 - 28 กุมภาพันธ์ 2564

1.สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ

1.1 มาตรการสินค้าข้าว
1) แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2563/64 ประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้

ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์และอุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 28.786 ล้านตันข้าวเปลือกอุปทาน 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก

ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว

2.1) การวางแผนการผลิตข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการวางแผนการผลิตข้าว ปี 2563/64 วม 69.409 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก จำแนกเป็น รอบที่ 1พื้นที่ 59.884 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 24.738 ล้านตันข้าวเปลือก และรอบที่ 2 พื้นที่ 9.525 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 6.127 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถปรับสมดุลการผลิตได้ในการวางแผนรอบที่ 2 หากราคามีความอ่อนไหว ความต้องการใช้ข้าวลดลง และสถานการณ์น้ำน้อย รวมทั้งการปรับลดพื้นที่การปลูกข้าวไปปลูกพืชอื่น โดยจะมีการทบทวนโครงการลดรอบการปลูกข้าวก่อนฤดูกาลเพาะปลูกข้าวรอบที่ 2

2.2) การจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 จำนวน 59.884 ล้านไร่ แยกเป็น 1) ข้าวหอมมะลิ 27.500 ล้านไร่ ผลผลิต 9.161 ล้านตันข้าวเปลือก 2) ข้าวหอมไทย 2.084 ล้านไร่ ผลผลิต 1.396 ล้านตันข้าวเปลือก 3) ข้าวเจ้า 13.488 ล้านไร่ ผลผลิต 8.192 ล้านตันข้าวเปลือก 4) ข้าวเหนียว 16.253 ล้านไร่ ผลผลิต 5.770 ล้านตันข้าวเปลือก และ 5) ข้าวตลาดเฉพาะ 0.559 ล้านไร่ ผลผลิต 0.219 ล้านตันข้าวเปลือก

2.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา

2.4) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่โครงการส่งเสริมระบบนาแบบแปลงใหญ่โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตพืช โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้สู่มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวกข43 และข้าวเจ้าพื้นนุ่ม (กข79) และโครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าว

2.5) การควบคุมปริมาณการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย

2.6) การพัฒนาชาวนา ได้แก่ โครงการชาวนาปราดเปรื่อง

2.7) การวิจัยและพัฒนา ได้แก่ โครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวคุณภาพดีเพื่อการแข่งขัน และโครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวเจ้าพื้นนุ่มพันธุ์ใหม่

2.8) การประกันภัยพืชผล ได้แก่ โครงการประกันภัยข้าวนาปี

ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ โครงการสินเชื่อเพื่อสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร

ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศ

4.1) การพัฒนาตลาดสินค้าข้าว ได้แก่ โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร และโครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ

4.2) การชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด ได้แก่โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปีโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกรโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อกและโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว

ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศ

5.1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ ได้แก่ การเจรจาขยายตลาดข้าวและกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าในต่างประเทศ โครงการกระชับความสัมพันธ์ และรณรงค์สร้างการรับรู้ในศักยภาพข้าวไทยเพื่อขยายตลาดไทยในต่างประเทศ และโครงการ ลด/แก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าข้าวไทยและเสริมสร้างความเชื่อมั่น

5.2) ส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าวและนวัตกรรมข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมและขยายตลาดข้าวไทยเชิงรุก โครงการผลักดันข้าวหอมมะลิไทยคุณภาพดีจากแหล่งผลิตสู่ตลาดโลก โครงการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทยในงานแสดงสินค้านานาชาติ โครงการจัดประชุม Thailand Rice Convention 2021 และโครงการเสริมสร้างศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยเพื่อการต่อยอดเชิงพาณิชย์

5.3) ส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐาน และปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย

5.4) ประชาสัมพันธ์รณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยในตลาดข้าวต่างประเทศ

2) มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64

มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 และโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 และงบประมาณ ดังนี้

2.1) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1โดยกำหนดชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) ดังนี้ (1) ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาประกันตันละ 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน (2) ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ราคาประกันตันละ 14,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน (3) ข้าวเปลือกเจ้า ราคาประกันตันละ 10,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน (4) ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ราคาประกันตันละ 11,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน และ (5) ข้าวเปลือกเหนียว ราคาประกันตันละ 12,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน

2.2) มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 ประกอบด้วย 3 มาตรการ ได้แก่

(1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2563/64โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในเขตพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อชะลอข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร จำนวน 1.50 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อต่อตัน จำแนกเป็น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 11,000 บาทข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 9,500 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 5,400 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 7,300 บาท และข้าวเปลือกเหนียวตันละ 8,600บาทรวมทั้งเกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกในอัตราตันละ 1,500 บาท สำหรับสถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับในอัตราตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรผู้ขายข้าวเปลือก ได้รับในอัตราตันละ 500 บาท

(2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกรปีการผลิต 2563/64โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป วงเงินสินเชื่อเป้าหมาย 15,000 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 4 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกรร้อยละ 3 ต่อปี

(3)โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2563/64 ผู้ประกอบการค้าข้าวรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต็อก เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถรับซื้อจากเกษตรกรได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 - 31 มีนาคม 2564 (ภาคใต้ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2564) และเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร ระยะเวลาการเก็บสต็อกอย่างน้อย 60 - 180 วัน (2 - 6 เดือน)นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3

3) โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64

ธ.ก.ส. ดำเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ลดต้นทุนการผลิต ให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ (ครัวเรือนละไม่เกิน 20,000 บาท) ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ขอดำเนินการจ่ายเงินเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 รอบที่ 1 กับกรมส่งเสริมการเกษตร ในอัตราไร่ละ 500 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท ก่อนในเบื้องต้น

1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ

ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 11,886 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 11,871 บาทในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.13

ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 9,202 บาท ราคาลดลงจากตันละ 9,260 บาทในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.63 2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ

ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 27,550 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน

ข้าวขาว5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 14,950 บาท ราคาลดลงจากตันละ 14,970 บาทในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.13 3) ราคาส่งออกเอฟโอบี

ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 881 ดอลลาร์สหรัฐฯ (26,206 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 882 ดอลลาร์สหรัฐฯ (26,182 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.11 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 24 บาท

ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 549 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,331 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 550 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,327 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.18 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 4 บาท

ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 546 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,241 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 553 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,416 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.27 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 175 บาท

หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 29.7463 บาท

2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ

เวียดนาม

สัปดาห์ที่ผ่านมา ภาวะราคาข้าวปรับตัวลดลงหลังจากผ่านพ้นช่วงเทศกาลตรุษเวียดนาม (Tet) โดยข้าวขาว 5% ราคาอยู่ที่ประมาณตันละ 505-510 ดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงจากตันละ 510-515 ดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากในช่วงนี้มีการเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวฤดูใหม่ (winter-spring crop) ในเขตที่ราบลุ่มแม่น้ำโขงมากขึ้น โดยมีแนวโน้มว่าผลผลิตข้าวในปีนี้จะมีปริมาณมากขึ้น

นาย Nguyen Van Thanh ผู้บริหารของบริษัท Phuoc Thanh IV Production - Trading Co., Ltd. ระบุว่าราคาข้าวคุณภาพสูงของเวียดนาม เช่น ข้าวพันธุ์ OM541 อยู่ที่ประมาณตันละ 530-535 ดอลลาร์สหรัฐฯ ข้าวพันธุ์ DT8 อยู่ที่ประมาณตันละ 550-555 ดอลลาร์สหรัฐฯ ข้าวหอม Jasmine อยู่ที่ประมาณตันละ 570 ดอลลาร์สหรัฐฯ วงการค้ารายงานว่า ผู้ค้าข้าวต่างเร่งซื้อข้าวจากเกษตรกร เพราะคาดว่าจะมีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเข้ามามากขึ้น ซึ่งช่วยดันราคาข้าวเปลือกเจ้าให้ปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบกว่า 10 ปี ที่ราคาประมาณ 6,200-7,000 ดองต่อกิโลกรัม ทั้งนี้คาดว่าผลผลิตจะออกสู่ตลาดมากที่สุดในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นเดือนมีนาคมนี้

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครโฮจิมินห์ รายงานว่า ภาพรวมสถานการณ์ข้าวเวียดนามปี 2563 จากข้อมูลกระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบทเวียดนาม ในปี 2563 เวียดนามมีผลผลิตข้าวเปลือกรวมปริมาณ 42.8 ล้านตัน ลดลงร้อยละ 0.2 เนื่องจากพื้นที่เพาะปลูกข้าวลดลงประมาณ 1.25 ล้านไร่ อย่างไรก็ดีผลผลิตต่อพื้นที่เพิ่มขึ้นประมาณ 8 กิโลกรัมต่อไร่ เมื่อเทียบกับปี 2562 และมีการขยายพื้นที่เพาะปลูกข้าวคุณภาพดีเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ74 ของพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั้งหมดของเวียดนาม ที่เพิ่มขึ้นจากปี 2558 ซึ่งมีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 50 ของพื้นที่เพาะปลูกข้าวเวียดนาม อันเป็นผลมาจากความพยายามของเวียดนามในการเพิ่มมูลค่าข้าว ทำให้ปัจจุบันการส่งออกข้าวคุณภาพดีของเวียดนามมีสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 85 ของการส่งออกข้าวทั้งหมด ส่งผลให้ราคาเฉลี่ยข้าวเวียดนามปี 2563 เพิ่มขึ้นจากตันละ 440 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2562 เป็นตันละ 496 ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยในปี 2563 เวียดนามส่งออกข้าวรวมประมาณ 6.15 ล้านตัน มูลค่า 3.07 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยปริมาณลดลงร้อยละ 3.5 ขณะที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.3 เมื่อเทียบกับปี 2562

ในปี 2563 ผู้นำเข้าข้าวรายใหญ่ของเวียดนาม ได้แก่ ฟิลิปปินส์ ประมาณร้อยละ 34 ของการส่งออกข้าวทั้งหมดของเวียดนาม โดยเวียดนามส่งออกไปยังฟิลิปปินส์ประมาณ 2.22 ล้านตัน มูลค่า 1.06 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 และร้อยละ 19.30 เมื่อเทียบกับปี 2562 ส่วนตลาดส่งออกข้าวอื่นๆ ที่มีการส่งออกเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในปี 2563 ได้แก่ อินโดนีเซีย เพิ่มขึ้น 3 เท่าเมื่อเทียบกับปี 2562 และจีน เพิ่มขึ้นร้อยละ 93 เมื่อเทียบกับปี 2562

สำหรับทิศทางการส่งออกข้าวเวียดนามปี 2564 นั้น สมาคมอาหารเวียดนาม (Vietnam Food Association; VFA) คาดว่าในปี 2564 เวียดนามยังสามารถส่งออกข้าวได้ดี เนื่องจากตลาดส่งออกสำคัญของเวียดนาม เช่น ฟิลิปปินส์และแอฟริกา ยังคงมีการเซ็นสัญญาซื้อข้าวจากเวียดนาม ในขณะที่อีกหลายประเทศมีความต้องการข้าวหอมและ ข้าวเหนียวอย่างมาก ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับการส่งออกของเวียดนาม นอกจากนั้นความตกลงการค้าเสรีทวิภาคีและพหุภาคีระหว่างเวียดนามกับประเทศต่างๆ เช่น ความตกลงการค้าเสรีสหภาพยุโรป-เวียดนาม (The EU-Vietnam Free Trade Agreement - EVFTA) และความตกลงการค้าเสรีระหว่างอังกฤษ-เวียดนาม (The UK-Vietnam free trade agreement - UKVFTA) สร้างข้อได้เปรียบจากสิทธิพิเศษทางภาษีทำให้ข้าวเวียดนามสามารถแข่งขันกับประเทศผู้ส่งออกอื่นได้มากขึ้น

นาย Nguyen Canh Cuong ที่ปรึกษาการค้าของเวียดนามในสหราชอาณาจักรกล่าวว่าการส่งออกข้าวไปยังสหราชอาณาจักรในปีนี้จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับปี 2563 บริษัทในสหราชอาณาจักรหลายรายมีความต้องการซื้อข้าวเวียดนามภายใต้ความตกลง UKVFTA สร้างโอกาสให้ข้าวเวียดนามขยายส่วนแบ่งการตลาดในสหราชอาณาจักรในปีนี้ โดยในปี 2562 การส่งออกข้าวจากเวียดนามไปยังสหราชอาณาจักรเติบโตอย่างก้าวกระโดดโดยมีมูลค่าการซื้อขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 376 ทำให้คาดว่าสหราชอาณาจักรเป็นตลาดส่งออกข้าวที่มีศักยภาพสูงของเวียดนามทั้งนี้ เพื่อเป็นการใช้ประโยชน์จาก FTA ต่างๆ บริษัทส่งออกข้าวรายใหญ่ของเวียดนาม อาทิ บริษัท Intimex JSC. บริษัท Loc Troi Group บริษัท VRICE Co. บริษัท Trung An High Technology Agriculture JSC. กำลังวางแผนที่จะแสวงหาลูกค้าใหม่ในตลาดที่เวียดนามได้ลงนามความตกลงการค้าเสรีโดยเฉพาะในสหราชอาณาจักร

ด้านกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนาม จะให้ข้อมูลแก่บริษัทส่งออกข้าวเกี่ยวกับสถานการณ์ความต้องการของตลาดอย่างทันที และจะดำเนินกิจกรรมส่งเสริมการค้าเพื่อช่วยผู้ส่งออกข้าวเวียดนามเข้าถึงลูกค้าได้ดีขึ้นนอกจากนี้กระทรวงฯ จะนำเสนอข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับกฎระเบียบและอุปสรรคภายใต้ข้อตกลง FTA ต่างๆเพื่อให้ผู้ส่งออกสามารถเพิ่มความเข้าใจและจัดทำแผนการค้าที่เหมาะสม นอกจากนี้ สมาคมอาหารเวียดนามยังได้สร้างช่องทางการขายออนไลน์รวมทั้งจัดการสัมมนาการค้าออนไลน์เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมข้าวอีกด้วย ทั้งนี้ เวียดนามได้แนะนำให้ผู้ส่งออกข้าวให้ความสำคัญกับสินค้าที่คุณภาพสูง และมีผลการส่งออกที่ดี รักษาด้านสุขอนามัยและความปลอดภัยของอาหาร เพื่อสามารถเข้าสู่ตลาดที่มีความต้องการด้านคุณภาพและความปลอดภัยของอาหารอย่างสูง เช่น สหภาพยุโรป อเมริกา และแคนาดา นอกจากนั้น ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าหากเวียดนามต้องการรักษาการเติบโตของการส่งออกข้าวในปี 2564 จำเป็นต้องมุ่งเน้นไปที่การสร้างห่วงโซ่มูลค่าข้าวที่ครบวงจรและควบคุมคุณภาพในการผลิต การแปรรูป และการจัดจำหน่ายสินค้า

ที่มา: สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

กัมพูชา

นาย Song Saran ประธานสหพันธ์ข้าวกัมพูชา (Cambodian Rice Federation; CRF) คาดว่าในช่วงไตรมาสแรกของปี 2564 นี้ (มกราคม-มีนาคม 2564) กัมพูชาจะไม่สามารถส่งออกได้เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เนื่องจากผู้ส่งออกกำลังประสบปัญหาเรื่องการส่งมอบสินค้า ซึ่งทำให้ในเดือนมกราคม 2564 สามารถส่งออกได้เพียง 34,273 ตัน ลดลงถึงร้อยละ32 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา และคาดว่าในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคมนี้ การส่งออกจะลดลง เนื่องจากปัญหาการขนส่งทางเรือที่ยังคงมีปัญหาไปทั่วโลก

ทั้งนี้ การส่งออกข้าวไปยังตลาดหลัก เช่น จีน คาดว่าจะยังคงไปได้ดี แต่การส่งออกไปยังตลาดสหภาพยุโรปคาดว่าจะยังคงประสบปัญหา เนื่องจากปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งส่งผลให้ในเดือนมกราคมที่ผ่านมามีการส่งออกไปยังตลาดสหภาพยุโรปลดลงถึงร้อยละ 60 โดยในปัจจุบันผู้ส่งออกต่างมีคำสั่งซื้อจากลูกค้าแต่ยังไม่สามารถส่งมอบได้ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญในวงการขนส่งสินค้าทางเรือคาดว่าปัญหาการขนส่งสินค้าทางเรือจะเริ่มคลี่คลายในช่วงไตรมาสที่สองเป็นต้นไป

สหพันธ์ข้าวกัมพูชา (Cambodian Rice Federation; CRF) รายงานราคาส่งออกข้าวประจำวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2564 โดยข้าวหอม Jasmine (Malys Angkor) ชนิด 5% ราคาอยู่ที่ตันละ830 ดอลลาร์สหรัฐฯ (เท่ากับวันที่ 10 กุมภาพันธ์2564 ที่ตันละ 830 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ข้าวหอม Fragrant Rice (Sen Kra Ob - SKO) ชนิด 5% ราคาอยู่ที่ ตันละ770 ดอลลาร์สหรัฐฯ (เพิ่มขึ้นจากราคาวันที่ 10 กุมภาพันธ์2564 ที่ตันละ750 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ข้าวขาว (White Rice Premium / Soft cooking) ชนิด 5% ราคาอยู่ที่ตันละ580 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ลดลงจากวันที่ 10 กุมภาพันธ์2564 ที่ตันละ 600 ดอลลาร์สหรัฐฯ)ข้าวขาวอินทรีย์(Organic White Rice ? Premium Quality) ชนิด 5% ราคาอยู่ที่ตันละ 920 ดอลลาร์สหรัฐฯ (เท่ากับราคาเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์2564 ที่ตันละ920 ดอลลาร์สหรัฐฯ) และข้าวนึ่งอินทรีย์ (Organic Parboiled Rice ? Premium Quality) ชนิด 5% ราคาอยู่ที่ตันละ990 ดอลลาร์สหรัฐฯ (เท่ากับราคาเมื่อวันที่10 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ตันละ 990 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ข้าวหอมอินทรีย์ (Organic Jasmine - Malys Angkor) ชนิด 5% ราคาอยู่ที่ตันละ 1,380 ดอลลาร์สหรัฐฯ (เท่ากับราคาเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์2564 ที่ตันละ1,380 ดอลลาร์สหรัฐฯ) และข้าวกล้องหอมอินทรีย์ (Organic Brown Jasmine-Premium quality) ราคาอยู่ที่ตันละ 1,350 ดอลลาร์สหรัฐฯ (เท่ากับราคาเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์2564 ที่ตันละ1,350 ดอลลาร์สหรัฐฯ)

ที่มา: สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ