สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์: ข้าว

ข่าวเศรษฐกิจ Monday May 3, 2021 13:39 —สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 26 เมษายน - 2 พฤษภาคม 2564

1.สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ

1.1 มาตรการสินค้าข้าว
1) แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2563/64 ประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้

ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์และอุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 28.786 ล้านตันข้าวเปลือกอุปทาน 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก

ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว

2.1) การวางแผนการผลิตข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการวางแผนการผลิตข้าว ปี 2563/64 รวม 69.409 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก จำแนกเป็น รอบที่ 1 พื้นที่ 59.884 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 24.738 ล้านตันข้าวเปลือก และรอบที่ 2 พื้นที่ 9.525 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 6.127 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถปรับสมดุลการผลิตได้ในการวางแผนรอบที่ 2 หากราคามีความอ่อนไหว ความต้องการใช้ข้าวลดลง และสถานการณ์น้ำน้อย รวมทั้งการปรับลดพื้นที่การปลูกข้าวไปปลูกพืชอื่น โดยจะมีการทบทวนโครงการลดรอบการปลูกข้าวก่อนฤดูกาลเพาะปลูกข้าวรอบที่ 2

2.2) การจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 จำนวน 59.884 ล้านไร่ แยกเป็น 1) ข้าวหอมมะลิ 27.500 ล้านไร่ ผลผลิต 9.161 ล้านตันข้าวเปลือก 2) ข้าวหอมไทย 2.084 ล้านไร่ ผลผลิต 1.396 ล้านตันข้าวเปลือก 3) ข้าวเจ้า 13.488 ล้านไร่ ผลผลิต 8.192 ล้านตันข้าวเปลือก 4) ข้าวเหนียว 16.253 ล้านไร่ ผลผลิต 5.770 ล้านตันข้าวเปลือก และ 5) ข้าวตลาดเฉพาะ 0.559 ล้านไร่ ผลผลิต 0.219 ล้านตันข้าวเปลือก

2.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา

2.4) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่โครงการส่งเสริมระบบนาแบบแปลงใหญ่โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตพืช โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้สู่มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวกข43 และข้าวเจ้าพื้นนุ่ม (กข79) และโครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าว

2.5) การควบคุมปริมาณการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย

2.6) การพัฒนาชาวนา ได้แก่ โครงการชาวนาปราดเปรื่อง

2.7) การวิจัยและพัฒนา ได้แก่ โครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวคุณภาพดีเพื่อการแข่งขัน และโครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวเจ้าพื้นนุ่มพันธุ์ใหม่

2.8) การประกันภัยพืชผล ได้แก่ โครงการประกันภัยข้าวนาปี

ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ โครงการสินเชื่อเพื่อสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร

ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศ

4.1) การพัฒนาตลาดสินค้าข้าว ได้แก่ โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร และโครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ

4.2) การชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด ได้แก่โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปีโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกรโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อกและโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว

ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศ

5.1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ ได้แก่ การเจรจาขยายตลาดข้าวและกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าในต่างประเทศ โครงการกระชับความสัมพันธ์ และรณรงค์สร้างการรับรู้ในศักยภาพข้าวไทยเพื่อขยายตลาดไทยในต่างประเทศ และโครงการ ลด/แก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าข้าวไทยและเสริมสร้างความเชื่อมั่น

5.2) ส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าวและนวัตกรรมข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมและขยายตลาดข้าวไทยเชิงรุก โครงการผลักดันข้าวหอมมะลิไทยคุณภาพดีจากแหล่งผลิตสู่ตลาดโลก โครงการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทยในงานแสดงสินค้านานาชาติ โครงการจัดประชุม Thailand Rice Convention 2021 และโครงการเสริมสร้างศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยเพื่อการต่อยอดเชิงพาณิชย์

5.3) ส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐาน และปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย

5.4) ประชาสัมพันธ์รณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยในตลาดข้าวต่างประเทศ

2) มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64

มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 และโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 และงบประมาณ ดังนี้

2.1) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 โดยกำหนดชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) ดังนี้ (1) ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาประกันตันละ 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน (2) ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ราคาประกันตันละ 14,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน (3) ข้าวเปลือกเจ้า ราคาประกันตันละ 10,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน (4) ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ราคาประกันตันละ 11,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน และ (5) ข้าวเปลือกเหนียว ราคาประกันตันละ 12,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน

2.2) มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 ประกอบด้วย 3 มาตรการ ได้แก่

(1)โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2563/64 โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในเขตพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อชะลอข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร จำนวน 1.82 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อต่อตัน จำแนกเป็น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 11,000 บาทข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 9,500 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 5,400 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 7,300 บาท และข้าวเปลือกเหนียวตันละ 8,600 บาทรวมทั้งเกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกในอัตราตันละ 1,500 บาท สำหรับสถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่ เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับในอัตราตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรผู้ขายข้าวเปลือก ได้รับในอัตราตันละ 500 บาท

(2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกรปีการผลิต 2563/64โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป วงเงินสินเชื่อเป้าหมาย 15,000 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 4 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกรร้อยละ 3 ต่อปี

(3)โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2563/64 ผู้ประกอบการค้าข้าวรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต็อก เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถรับซื้อจากเกษตรกรได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 - 31 มีนาคม 2564 (ภาคใต้ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2564) และเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร ระยะเวลาการเก็บสต็อกอย่างน้อย 60 - 180 วัน (2 - 6 เดือน)นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3

3)โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64

ธ.ก.ส. ดำเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ลดต้นทุนการผลิต ให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ (ครัวเรือนละไม่เกิน 20,000 บาท) ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ขอดำเนินการจ่ายเงินเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปีการผลิต 2563/64 รอบที่ 1 กับกรมส่งเสริมการเกษตร ในอัตราไร่ละ 500 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท ก่อนในเบื้องต้น

1.2 ราคา

1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ

ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 11,797 บาท ราคาลดลงจากตันละ 11,822 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.22

ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 8,945 บาท ราคาลดลงจากตันละ 9,101 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.72

2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ

ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 24,350 บาท ราคาลดลงจากตันละ 24,550 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.81

ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 14,010 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 13,750 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.89

3) ราคาส่งออกเอฟโอบี

ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 809 ดอลลาร์สหรัฐฯ (25,147 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 811 ดอลลาร์สหรัฐฯ (25,166 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.25 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 19 บาท

ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 493 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,324 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 487 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,112 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.23 และเพิ่มขึ้นรูปเงินบาทตันละ 212 บาท

ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 493 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,324 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 484 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,019 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.86 และเพิ่มขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 305 บาท

หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 31.0838 บาท

2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ

เวียดนาม

สัปดาห์ที่ผ่านมา ภาวะราคาข้าวอยู่ในระดับทรงตัว เนื่องจากผู้ซื้อต่างรอดูสถานการณ์ราคาที่อาจจะอ่อนตัวลงไปอีก ขณะที่อุปทานข้าวค่อนข้างตึงตัว เนื่องจากสถานการณ์ในกัมพูชาที่มีการล็อคดาวน์ ซึ่งส่งผลให้การขนส่งสินค้าต้องหยุดชะงัก ขณะที่อินเดียกำลังประสบปัญหาการระบาดของโควิด-19 อย่างหนัก ทั้งนี้ความกังวลดังกล่าว ส่งผลให้ราคาข้าวยังไม่ปรับตัวลดลง โดยข้าวขาว 5% ราคาอยู่ที่ประมาณ 485-495 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน เท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา (ซึ่งเป็นระดับราคาที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2563)

วงการค้ารายงานว่า ในช่วงนี้ผู้ส่งออกกำลังเร่งส่งมอบข้าวตามสัญญาที่ค้างอยู่ทั้งจากประเทศคิวบา บังคลาเทศ และซีเรีย ทำให้คาดว่าในเดือนเมษายนนี้ปริมาณส่งออกจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 700,000-800,000 ตัน จากเดือนมีนาคมที่ส่งออกประมาณ 539,040 ตัน กรมศุลกากรเวียดนาม (the Customs Department) รายงานว่า ในเดือนมีนาคม 2564 เวียดนามส่งออกข้าวได้ประมาณ 539,040 ตัน มูลค่าประมาณ 290.83 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ราคาส่งออกเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 539.5 เหรียญสหรัฐต่อตัน โดยปริมาณลดลงประมาณร้อยละ 8.9 แต่มูลค่าเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 7 และราคาส่งออกเฉลี่ยสูงขึ้นประมาณร้อยละ 17.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และเมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 74 แต่ราคาส่งออกเฉลี่ยลดลงประมาณร้อยละ 0.5 (ในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 เวียดนามส่งออกข้าวได้ประมาณ 308,472 ตัน มูลค่าประมาณ 167.71 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ราคาส่งออกเฉลี่ยอยู่ที่ ประมาณ 543.7 เหรียญสหรัฐต่อตัน) ตลาดสำคัญที่เวียดนามส่งออกข้าวในเดือนมีนาคม 2564 ได้แก่ ฟิลิปปินส์ 155,707 ตัน กาน่า 44,836 ตัน และมาเลเซีย 55,764 ตัน ทั้งนี้ ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2564 (มกราคม-มีนาคม) มีการส่งออกข้าวแล้วประมาณ 1,192,324 ตัน มูลค่าประมาณ 648.639 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ราคาส่งออกเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 544 เหรียญสหรัฐต่อตัน โดยปริมาณลดลงร้อยละ 21.42 มูลค่าลดลงร้อยละ 7.44 แต่ราคาส่งออกเฉลี่ยสูงขึ้นประมาณร้อยละ 17 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ตลาดสำคัญที่เวียดนามส่งออกข้าวในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2564 (มกราคม-มีนาคม) ได้แก่ ฟิลิปปินส์ประมาณ 411,581 ตัน มูลค่าประมาณ 219.956 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ปริมาณ และมูลค่าลดลงร้อยละ 30.74 และร้อยละ 14.47 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ตามลำดับ) คิดเป็นร้อยละ 34.52 ของปริมาณส่งออกทั้งหมด และร้อยละ 33.91 ของมูลค่าการส่งออกข้าวทั้งหมด รองลงมา เช่น จีน ประมาณ 256,516 ตัน มูลค่าประมาณ 136.168 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 58.3 และร้อยละ 49.7 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ตามลำดับ) คิดเป็นร้อยละ 21.51 และร้อยละ 20.99 ของการส่งออกข้าวทั้งหมด ตามลำดับ กาน่า ประมาณ 94,379 ตัน มูลค่าประมาณ 55.909 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ปริมาณลดลงร้อยละ 11.69 แต่มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา) คิดเป็นร้อยละ 7.92 และร้อยละ 8.62 ของการส่งออกข้าวทั้งหมด ตามลำดับ ไอวอรี่โคสต์ ประมาณ 87,787 ตัน มูลค่าประมาณ 44.339 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 121.08 และร้อยละ 169.97 เมื่อเทียบปีที่ผ่านมา ตามลำดับ) คิดเป็นร้อยละ 7.39 และร้อยละ 6.84 ของการส่งออกข้าวทั้งหมด ตามลำดับ มาเลเซีย ประมาณ 79,235 ตัน มูลค่าประมาณ 42.548 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 54.68 และร้อยละ 39.69 เมื่อเทียบปีที่ผ่านมา คิดเป็นร้อยละ 6.65 และร้อยละ 6.56 ของการส่งออกข้าวทั้งหมด ตามลำดับ และสิงคโปร์ ประมาณ 24,735 ตัน มูลค่าประมาณ 14.407 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ปริมาณลดลงร้อยละ 37.71 เมื่อเทียบปีที่ผ่านมา) คิดเป็นร้อยละ 2.07 ของการส่งออกข้าวทั้งหมด) เป็นต้น

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครโฮจิมินห์ รายงานว่า เมื่อต้นเดือนเมษายน 2564 เกาหลีใต้ได้เปิดการประมูลราคาข้าวปริมาณ 200,000 ตัน โดยมีผู้เข้าร่วมประมูล ประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย จีน ไทย และเวียดนาม สำหรับเวียดนามนั้นมี 7 บริษัท เช่น บริษัท Tan Long Group JSC. บริษัท Kien Giang Import and Export Company บริษัท Northern Food Corporation (Vinafood 1) บริษัท Gia International Company บริษัท Thuan Minh Company และ บริษัท Trung An High Tech Agricultural JSC. เข้าร่วมการประมูลราคาข้าวดังกล่าว ซึ่งเกาหลีใต้ให้เวียดนามประมูลครั้งนี้ปริมาณ 11,236 ตัน ทั้งนี้ บริษัท ส่งออกข้าว Trung An High Tech Agriculture JSC. เป็นผู้ชนะการประมูลราคาข้าวเพียงรายเดียวปริมาณ 11,236 ตัน ด้วยราคา (CIF) 584 เหรียญสหรัฐต่อตัน และจะส่งมอบให้เกาหลีใต้ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2564 ณ ท่าเรือ MOKPO โดยช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2564 เกาหลีใต้นำเข้าข้าวจากเวียดนามประมาณ 10,612 ตัน ลดลงร้อยละ 52.1 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ด้วยมูลค่า 5.4 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 42.4

กระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบทเวียดนามได้อนุมัติแผนงาน ?การปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมข้าวของเวียดนาม ระหว่างปี 2568-2573? ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม 2564 สรุปรายละเอียดดังนี้ เป้าหมาย (1) ตอบสนองความต้องการบริโภคภายในประเทศอย่างเต็มที่ โดยทำหน้าที่เป็นแกนหลักในการประกันความมั่นคงด้านอาหารของประเทศ (2) การปรับปรุงคุณภาพ คุณค่าทางโภชนาการ และรักษาความปลอดภัยด้านสุขอนามัย (3) สร้างและปรับปรุงประสิทธิภาพของห่วงโซ่คุณค่าข้าว (4) ปรับตัวและบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (5) ใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพและปกป้องสิ่งแวดล้อม (6) เพิ่มรายได้ของเกษตรกรและผลประโยชน์ต่อผู้บริโภค (7) เพื่อส่งออกข้าวคุณภาพสูงและมีมูลค่าสูง ทั้งนี้ ภายใต้แผนงานดังกล่าว ในปี 2568 เวียดนามกำหนดเป้าหมายผลผลิตข้าวเปลือก อยู่ที่ 40-41 ล้านตันต่อปี โดยมีปริมาณส่งออกประมาณ 5 ล้านตัน แบ่งเป็น ข้าวหอม ข้าวคุณลักษณะเฉพาะ และข้าว Japonica รวมร้อยละ 40 ข้าวเหนียวร้อยละ 20 ข้าวขาวคุณภาพดีร้อยละ 20 ข้าวขาวคุณภาพปานกลางและต่ำรวมร้อยละ 15 และผลิตภัณฑ์จากข้าวร้อยละ 5 โดยมีเป้าหมายส่งเสริมการส่งออกข้าวที่มีแบรนด์ให้ได้ในสัดส่วนที่สูงกว่าร้อยละ 20 และภายในปี 2573 เวียดนามมีเป้าหมายผลผลิตข้าวเปลือกอย่างน้อยอยู่ที่ 35 ล้านตัน โดยมีปริมาณ ส่งออกประมาณ 4 ล้านตัน แบ่งเป็น ข้าวหอม ข้าวคุณลักษณะเฉพาะ และ ข้าว Japonica รวมร้อยละ 45 ข้าวเหนียวร้อยละ 20 ข้าวขาวคุณภาพดีร้อยละ 15 ข้าวขาวคุณภาพปานกลางและต่ำ รวมร้อยละ 10 และผลิตภัณฑ์จากข้าวร้อยละ 10 โดยมีเป้าหมายส่งเสริมการส่งออกข้าวที่มีแบรนด์ให้ได้ในสัดส่วนที่สูงกว่าร้อยละ 40

สมาคมอาหารเวียดนาม (Vietnam Food Association; VFA) คาดว่าในปี 2564 เวียดนามยังคงสามารถส่งออกข้าวได้ดี เนื่องจากตลาดส่งออกสำคัญของเวียดนาม เช่น ฟิลิปปินส์และแอฟริกายังคงมีการทำสัญญาซื้อข้าวจากเวียดนาม ขณะที่อีกหลายประเทศมีความต้องการข้าวหอมและข้าวเหนียวอย่างมาก ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับการส่งออกข้าวของเวียดนาม นอกจากนั้น ความตกลงการค้าเสรีทวิภาคีและพหุภาคีระหว่างเวียดนามกับประเทศต่างๆ อาทิ ความตกลงการค้าเสรีสหภาพยุโรป-เวียดนาม (The EU-Vietnam Free Trade Agreement - EVFTA) และความตกลงการค้าเสรีระหว่างอังกฤษ - เวียดนาม (The UK-Vietnam free trade agreement - UKVFTA) ยังสร้างข้อได้เปรียบจากสิทธิพิเศษทางภาษี ทำให้ข้าวเวียดนามสามารถแข่งขันกับประเทศผู้ส่งออกอื่นได้มากขึ้น

นาย Nguyen Canh Cuong ที่ปรึกษาการค้าของเวียดนามในสหราชอาณาจักรกล่าวว่า การส่งออกข้าวไปยังสหราชอาณาจักรในปีนี้จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับปี 2563 บริษัทในสหราชอาณาจักรหลายรายมีความต้องการซื้อข้าวเวียดนามภายใต้ความตกลง UKVFTA จึงสร้างโอกาสให้ข้าวเวียดนามขยายส่วนแบ่งการตลาดในสหราชอาณาจักรในปีนี้ โดยในปี 2562 การส่งออกข้าวจากเวียดนามไปยังสหราชอาณาจักรเติบโตอย่างก้าวกระโดด มีมูลค่าการซื้อขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 376 ทำให้คาดหมายว่าสหราชอาณาจักรเป็นตลาดส่งออกข้าวที่มีศักยภาพสูงของเวียดนาม และเพื่อใช้ประโยชน์จาก FTA ต่างๆ บริษัทส่งออกข้าวรายใหญ่ของเวียดนาม อาทิ บริษัท Intimex JSC. บริษัท Loc Troi Group บริษัท VRICE Co. และบริษัท Trung An High Technology Agriculture JSC. กำลังวางแผนที่จะแสวงหาลูกค้าใหม่ในตลาดที่เวียดนามได้ลงนามความตกลงการค้าเสรี โดยเฉพาะในสหราชอาณาจักร กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนามจะให้ข้อมูลแก่บริษัทส่งออกข้าวเกี่ยวกับสถานการณ์ความต้องการของตลาดอย่างทันทีและจะดำเนินกิจกรรมส่งเสริมการค้าเพื่อช่วยผู้ส่งออกข้าวเวียดนามเข้าถึงลูกค้าได้ดีขึ้น นอกจากนี้กระทรวงฯ จะนำเสนอข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับกฎระเบียบและอุปสรรคภายใต้ข้อตกลง FTA ต่างๆ เพื่อให้ผู้ส่งออกสามารถเพิ่มความเข้าใจและจัดทำแผนการค้าที่เหมาะสม อีกทั้งสมาคมอาหารเวียดนามยังได้สร้างช่องทางการขายออนไลน์รวมทั้งจัดการสัมมนาการค้าออนไลน์เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมข้าวอีกด้วย ทั้งนี้ เวียดนามแนะนำให้ผู้ส่งออกข้าวให้ความสำคัญกับสินค้าที่คุณภาพสูง และมีผลการส่งออกที่ดี รักษาด้านสุขอนามัยและความปลอดภัยของอาหาร เพื่อให้สามารถเข้าสู่ตลาดที่มีความต้องการด้านคุณภาพและความปลอดภัยของอาหารอย่างสูง เช่น สหภาพยุโรป อเมริกา และแคนาดา นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า หากเวียดนามต้องการรักษาการเติบโตของการส่งออกข้าวในปี 2564 จำเป็นต้องมุ่งเน้นไปที่การสร้างห่วงโซ่มูลค่าข้าวที่ครบวงจรและควบคุมคุณภาพในการผลิต การแปรรูปและการจัดจำหน่ายสินค้า

ที่มา: สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย Oryza.com และสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครโฮจิมินห์

อินเดีย

ภาวะราคาข้าวในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน เนื่องจากค่าเงินรูปีอ่อนค่าลงต่ำสุดในรอบกว่า 9 เดือน ประกอบกับความต้องการข้าวจากต่างประเทศโดยเฉพาะในแถบแอฟริกาอ่อนตัวลง ขณะที่ผู้ส่งออกต่างกังวลเกี่ยวกับปัญหาความล่าช้าของการส่งมอบข้าวขึ้นเรือขนสินค้าที่อาจจะได้รับผลกระทบจาก สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่กลับมารุนแรงอีกครั้ง โดยข้าวนึ่ง 5% ราคาอยู่ที่ระดับ 386-390 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน (เป็นระดับที่ลดลงต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2564) ลดลงจากระดับ 388-392 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

ที่มา: สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย และ Oryza.com

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ