จากสภาวะวิกฤตของผู้บริโภคในหลายจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม จึงทำให้ในไตรมาสนี้มีการซื้อสินค้าหรือซ่อมสินค้าที่เสียหาย ซึ่งส่งผลให้อุตสาหกรรมพลาสติกได้รับอานิสงค์ดีตามไปด้วย นอกจากนี้ในหลายพื้นที่ยังประสบปัญหากับภัยแล้งซึ่งมีผลให้มีการนำผลิตภัณฑ์พลาสติกไปใช้ในภาคการเกษตรเพิ่มมากขึ้น เพื่อกักเก็บน้ำสำรองไว้ใช้ในการเกษตร อย่างไรก็ตามจากภาวะภัยแล้งดังกล่าว คาดว่าผลผลิตของการเกษตรจะมีปริมาณลดลง ซึ่งอาจจะส่งผลให้การใช้บรรจุภัณฑ์ที่ห่อหุ้มอาหารสด หรือผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องจากการแปรรูปลดลง
การผลิตของอุตสาหกรรมพลาสติกไทย
ปริมาณการใช้เม็ดพลาสติกปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 เป็นผลมาจากความต้องการในการผลิตของอุตสาหกรรมพลาสติกเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการบริโภคและใช้จ่ายหลังสภาวะน้ำท่วมเพิ่มขึ้นรวมถึงผู้บริโภคมีความมั่นใจในเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่ทั้งนี้ ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นส่งผลต่อมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์พลาสติกของไทย ซึ่งผู้ผลิตเริ่มมีการปรับตัวกับผลกระทบของค่าเงินบาทที่เกิดขึ้น
การค้า
นำเข้า
ไตรมาสที่ 4 อุตสาหกรรมพลาสติก มีมูลค่าการนำเข้า 25,500 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 โดยสินค้าของไทยที่มีมูลค่าการนำเข้าสูงสุดยังคงอยู่ที่หมวด 3926 คือผลิตภัณฑ์พลาสติกอื่นๆมีมูลค่าสูงถึง 10,694 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 42 ของมูลค่าการนำเข้าผลิตภัณฑ์พลาสติกทั้งหมด โดยประเทศที่มีการนำเข้ามากที่สุดได้แก่ ญี่ปุ่น จีน รองลงมาเป็น หมวด 3921 ผลิตภัณฑ์ แผ่น แผ่นบาง ฟิล์ม ฟอยล์และแถบอื่นๆ ที่เป็นแบบเซลลูลาร์ มีมูลค่าการนำเข้า 4,184 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 16 ของมูลค่าการนำเข้าผลิตภัณฑ์พลาสติกทั้งหมด โดยมีการนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นและมาเลเซียมากที่สุด
ส่งออก
ไตรมาสที่ 4 อุตสาหกรรมพลาสติก มีมูลค่าส่งออก 23,632 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 2 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 โดยสินค้าของไทยที่มีมูลค่าการส่งออกสูงสุดอยู่ที่หมวด 3923 ของที่ใช้ลำเลียงสินค้าหรือบรรจุสินค้ามีมูลค่า 6,345 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 26 ของมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์พลาสติกทั้งหมด รองลงมาได้แก่หมวด 3926 คือผลิตภัณฑ์พลาสติกอื่นๆ มีมูลค่าส่งออก 5,700 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 24 ของมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์พลาสติกทั้งหมด
แนวโน้ม
อุตสาหกรรมพลาสติกยังคงมีการขยายตัวตามสภาวะเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมต่อเนื่องภายในประเทศที่ดีขึ้น และผู้บริโภคมีการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มมากขึ้นหลังภาวะน้ำท่วม รวมทั้งสภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2554 ยังคงมีหลายปัจจัยที่ต้องพึงระวังคือ ภาวะเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มสูงขึ้น เพราะราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้สินค้าต่าง ๆ มีราคาแพงขึ้น ส่งผลให้อำนาจซื้อของผู้บริโภคลดลง ค่าเงินบาทที่ยังคงแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ปัจจัยทางการเมืองในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน การปะทะกันระหว่างไทยกับกัมพูชา รวมถึงจีนได้ออกมาตรการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อที่จะลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจในประเทศ ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อการบริโภคและการลงทุนด้วยเช่นกัน
--สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร-- -พห-