สรุปภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมปี 2555 และแนวโน้มปี 2556(อุตสาหกรรมอาหาร)

ข่าวเศรษฐกิจ Monday January 21, 2013 14:31 —สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

ภาพรวมด้านการผลิตของอุตสาหกรรมอาหาร ปี 2555 คาดว่าจะมีปริมาณการผลิตลดลงจากปีก่อนร้อยละ 5.71 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากปริมาณวัตถุดิบลดลง ประกอบกับต้นทุนสินค้าอาหารโดยรวมได้รับผลกระทบจากราคาวัตถุดิบนำเข้าจากตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน แม้ว่าค่าเงินบาทได้ปรับตัวอ่อนลงเมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาคการส่งออก แต่จากสถานการณ์หนี้สาธารณะของหลายประเทศในสหภาพยุโรป เริ่มส่งผลต่อเนื่องทำให้ภาวะเศรษฐกิจโลกซบเซาลง โดยเฉพาะเศรษฐกิจของประเทศจีน ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้ภาคการผลิตของอุตสาหกรรมอาหารไทยโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อการส่งออกกลับชะลอตัวลง

การผลิต

ในปี 2555 ภาวะการผลิตของอุตสาหกรรมอาหาร คาดว่าจะลดลงร้อยละ 5.71 จากปีก่อนเนื่องจากการผลิตในกลุ่มสินค้าสำคัญ เช่น น้ำตาล และผักผลไม้ ปรับตัวลดลง (ตารางที่ 1) เป็นผลจากปริมาณวัตถุดิบ ได้แก่ อ้อย และมันสำปะหลัง ประสบปัญหาภัยแล้ง สำหรับภาวะการผลิตในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารสำคัญสรุปได้ ดังนี้

-กลุ่มแปรรูปธัญพืชและแป้ง ปริมาณการผลิตคาดว่าจะลดลงร้อยละ 2.25 เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากมีนโยบายรับจำนำของภาครัฐ เป็นตัวกระตุ้นให้เกษตรกรผลิตเพิ่มขึ้น แต่จากปัญหาภัยแล้งส่งผลให้ปริมาณผลผลิตลดลง

-กลุ่มแปรรูปผักผลไม้ ปริมาณการผลิตคาดว่าจะลดลงร้อยละ 6.36 เมื่อเทียบกับปีก่อนจากสต็อกสินค้าที่ยังทรงตัวในระดับสูง เป็นผลสืบเนื่องจากการชะลอตัวของคำสั่งซื้อจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศผู้นำเข้า ได้แก่ กลุ่มสหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกา ซึ่งถดถอยจากวิกฤตหนี้ของสหภาพยุโรปประกอบกับประเทศญี่ปุ่นมีการนำเข้าสับปะรดสดแทนกระป๋องมากขึ้น เพื่อนำไปผลิตเป็นผลไม้แปรรูปบรรจุถ้วยมากขึ้น ทำให้การส่งออกสับปะรดกระป๋องชะลอตัวลง

-กลุ่มแปรรูปประมง ปริมาณการผลิตคาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.09 เมื่อเทียบกับปีก่อนเป็นผลจากวัตถุดิบมีปริมาณเพิ่มขึ้น หลังจากได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในแหล่งเพาะเลี้ยงในช่วงปลายปีที่แล้วและต่อเนื่องถึงช่วงต้นปี ประกอบกับในภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้ความต้องการปลาทูน่ากระป๋องในตลาดโลกมีเพิ่มขึ้นจากการเป็นโปรตีนคุณภาพดีแต่ราคาโดยเปรียบเทียบที่ต่ำกว่า ส่วนการผลิตกุ้งแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูป เริ่มชะลอตัวในช่วงไตรมาสที่ 2 จากการชะลอตัวของคำสั่งซื้อ ประกอบกับมีการระบาดของโรคกุ้งในบางพื้นที่ในช่วงไตรมาสที่ 3-4 ทำให้เกษตรกรเกรงว่าจะไม่ได้ผลผลิตจึงรีบจับขายทำให้คุณภาพลดลง

-กลุ่มแปรรูปปศุสัตว์ ปริมาณการผลิตคาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.94 เมื่อเทียบกับปีก่อนเนื่องจากการยกเลิกประกาศห้ามนำเข้าไก่สดแช่แข็งจากไทยของประเทศสหภาพยุโรปจากการที่ไทยสามารถแก้ไขปัญหาไข้หวัดนกได้โดยเปลี่ยนระบบการเลี้ยงเป็นระบบปิด ประกอบกับความต้องการเนื้อไก่แปรรูปจากญี่ปุ่นยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

-กลุ่มแปรรูปเพื่อใช้บริโภคในประเทศ ได้แก่ น้ำมันพืช ปริมาณการผลิตคาดว่าจะลดลงจากปีก่อนร้อยละ 11.42 เนื่องจากวัตถุดิบออกสู่ตลาดลดลง ผลิตภัณฑ์นม ปริมาณการผลิตคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 11.34 เนื่องจากโรงงานผลิตนมพร้อมดื่มสามารถกลับมาผลิตได้หลังจากต้องหยุดการผลิตจากสถานการณ์อุทกภัยในช่วงปลายปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ในส่วนของอาหารสัตว์ คาดว่าจะมีการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.13 เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็นผลจากความต้องการเนื้อไก่และการเลี้ยงไก่เพิ่มขึ้นเนื่องจากต้องเพิ่มปริมาณการผลิตอาหารสัตว์ให้สามารถรองรับการเลี้ยงไก่ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตามการยกเลิกประกาศห้ามนำเข้าไก่สดแช่แข็งจากไทยของสหภาพยุโรป นอกจากนี้การผลิตและการบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป คาดว่าจะชะลอตัวลงจากปีก่อนร้อยละ 5.58 ที่เกิดอุทกภัยในปีก่อน

การตลาดและการจำหน่าย

การจำหน่ายในประเทศ

ในปี 2555 ปริมาณการจำหน่ายสินค้าอาหารภายในประเทศคาดว่าจะลดลงร้อยละ 0.60 จากปีก่อน (ตารางที่ 2) ส่วนหนึ่งเป็นผลจากระดับราคาน้ำมันได้ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลต่อระดับราคาสินค้าหลายรายการได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้ผู้บริโภคลดการจับจ่ายใช้สอยลง ประกอบกับ การจำหน่ายน้ำตาลทรายและน้ำมันพืชในประเทศคาดว่าจะปรับตัวลดลงร้อยละ 2.39 และ 10.71 เมื่อเทียบกับปีก่อนเนื่องจากประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการประกาศขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำของรัฐบาล และปรับเงินเดือนข้าราชการ ทำให้มีประชาชนลดการทำอาหารทานเองที่บ้านแต่ออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านมากขึ้น

การค้าระหว่างประเทศ

การส่งออก

ในปี 2555 การส่งออกอุตสาหกรรมอาหาร คาดว่าจะมีมูลค่ารวม 913,665.56 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.61 จากปีก่อน (ตารางที่ 3) เป็นผลจากระดับราคาสินค้าในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นตามระดับราคาน้ำมัน และปริมาณการส่งออกมีการชะลอตัวในหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะน้ำตาลทราย และข้าว เป็นผลจากเศรษฐกิจของประเทศผู้นำเข้าชะลอตัว เนื่องจากปัญหาหนี้สาธารณะของประเทศในสหภาพยุโรปที่เริ่มขยายตัวไปยังตลาดอื่น ๆ โดยการส่งออกในแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์สำคัญ มีดังนี้

-กลุ่มประมง คาดว่าจะมีมูลค่าการส่งออก 266,685.75 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.80 จากปีก่อน โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของระดับราคาในทุกกลุ่มทั้งอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปเนื่องจากราคาวัตถุดิบในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น จากคำสั่งซื้อของสหภาพยุโรปที่ชะลอตัวลง ซึ่งเป็นผลจากการส่งออกสินค้าสำคัญในกลุ่ม คือ ปลาทูน่ากระป๋อง ทั้งปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นเนื่องจากสหภาพยุโรปหันไปบริโภคปลาทูน่าแทนกุ้ง จากภาวะวิกฤตหนี้สาธารณะในหลายประเทศที่ทำให้ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ผู้บริโภคมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปสู่การบริโภคสินค้าที่มีราคาต่ำกว่าทดแทน ประกอบกับราคากุ้งไทยสูงกว่าประเทศคู่แข่ง เช่น เวียดนาม มาก

-กลุ่มผลิตภัณฑ์ผักผลไม้ คาดว่าจะมีมูลค่าการส่งออก 93,917.51 ล้านบาท ปรับตัวลดลงร้อยละ 5.00 จากปีก่อน โดยสินค้าสำคัญในกลุ่ม ได้แก่ สับปะรดกระป๋อง ส่งออกลดลงประมาณร้อยละ 10.00 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจของสหภาพยุโรปส่งผลให้คำสั่งซื้อลดลงตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว อย่างไรก็ดีการส่งออกในรูปผลไม้แช่เย็นแช่แข็งสามารถส่งออกได้เพิ่มขึ้นในหลายสินค้า เช่น เงาะ มังคุด และลำไย ประกอบกับผลิตภัณฑ์ผักผลไม้แปรรูปและอบแห้งส่งออกขยายตัวในหลายสินค้า

-กลุ่มผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์ คาดว่าจะมีมูลค่าการส่งออก 76,553.12 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.40 จากปีก่อน โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์จากไก่ขยายตัวกว่าร้อยละ 20 จากการนำเข้าเพิ่มขึ้นของญี่ปุ่น และจากการยกเลิกประกาศห้ามนำเข้าไก่สดแช่เย็นแช่แข็งของสหภาพยุโรป

-กลุ่มผลิตภัณฑ์จากข้าว แป้ง และธัญพืช คาดว่าจะมีมูลค่าการส่งออก 259,186.62 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 18.20 จากปีก่อน เป็นผลจากการส่งออกข้าวปรับตัวลดลงกว่าร้อยละ 30 เนื่องจากผลผลิตข้าวในตลาดโลกมีปริมาณเพิ่มขึ้น และประเทศผู้ส่งออกข้าวแข่งขันกันลดราคา ส่วนข้าวไทยราคาสูงกว่าจึงทำตลาดได้ยากกว่า

-กลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำตาลทราย คาดว่าจะมีมูลค่าการส่งออก 143,476.19 ล้านบาทปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 29.50 จากปีก่อน เป็นผลจากปัจจัยด้านราคาที่ทรงตัวในระดับสูง จากการที่ประเทศผู้ผลิต เช่น อินเดีย และบราซิล ประสบปัญหาภัยธรรมชาติ ส่งผลให้ปริมาณการผลิตและส่งออกลดลง และมีผลต่อสต็อกน้ำตาลในตลาดโลกลดลง

-กลุ่มผลิตภัณฑ์อื่นๆ คาดว่าจะมีมูลค่าการส่งออกรวม 73,846.37 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.60 จากปีก่อน โดยเป็นผลจากการส่งออกเพิ่มขึ้นในกลุ่มสินค้าประเภทสิ่งปรุงรสอาหารหมากฝรั่งและขนมที่ไม่มีโกโก้ผสม และไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์

การนำเข้า

ในปี 2555 การนำเข้าผลิตภัณฑ์อาหารของไทยคาดว่าจะมีมูลค่ารวม364,810.88 ล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.31 จากปีก่อน (ตารางที่ 4) โดยเป็นการนำเข้าสินค้ากลุ่มวัตถุดิบ เช่น กากพืชน้ำมันเมล็ดพืชน้ำมัน และปลาทูน่าแช่เย็นแช่แข็ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.41 5.73 และ 1.22 ตามลำดับ เป็นผลจากระดับราคาที่ปรับเพิ่มขึ้น ตามราคาโภคภัณฑ์ในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปีก่อนเป็นผลจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง ประกอบกับราคาสินค้าในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่วนการนำเข้านมและผลิตภัณฑ์ที่เป็นสินค้าบริโภค มีมูลค่าการนำเข้าลดลงร้อยละ 1

นโยบายภาครัฐที่เกี่ยวข้อง

ในปี 2555 รัฐบาลได้ดำเนินนโยบายและมาตรการต่าง ๆ เกี่ยวกับ อุตสาหกรรมอาหาร โดยเน้นการให้ความช่วยเหลือกับเกษตรกรที่เป็นผู้ผลิตวัตถุดิบ ในลักษณะการรับจำนำผลผลิต และการนำเข้าจากต่างประเทศ เนื่องจากประสบปัญหาต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นและระดับราคาลดลง รวมทั้งช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ประสบปัญหาด้านปัจจัยการผลิต ได้แก่

1. คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2555 อนุมัติการขอนำเข้าข้าวโพด เลี้ยงสัตว์โดยองค์การคลังสินค้า (อคส.) ของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเป็นการนำเข้าข้าวโพดเมล็ดชนิดดีจาก สปป.ลาว จำนวน 30,000 ตัน ในช่วงเดือนพฤษภาคม—มิถุนายน 2555 เพื่อจำหน่ายให้เกษตรกรเลี้ยงสัตว์รายย่อยในราคาต่ำกว่าราคาหน้าฟาร์มที่ซื้ออยู่ และให้ อคส. กู้เงินจาก ธ.ก.ส. วงเงิน 300 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการซื้อข้าวโพดจาก สปป.ลาว

2. คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2555 รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ครั้งที่ 1/2555 เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2555 ได้แก่การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันพืชปาล์ม การกำหนดเกณฑ์การพิจารณาสต็อกน้ำมันปาล์มดิบภายในประเทศ 2 ระดับ คือ ระดับปกติ 1.5 เท่าของปริมาณความต้องการใช้น้ำมันปาล์มดิบต่อเดือน(202,500 ตัน) ระดับเตือนภัย 1.25 เท่าฯ (168,750 ตัน) และระดับวิกฤต ต่ำกว่า 1 เท่าฯ (135,000 ตัน)

3. คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2555 อนุมัติการกู้เงินเพื่อเป็นค่ารับซื้อสับปะรดโครงการแก้ไขปัญหาสับปะรด ปี 2555 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยให้องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) กู้เงินจาก ธ.ก.ส. 500 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการรับซื้อสับปะรดสดจากเกษตรกร ซึ่งรัฐบาลจะรับภาระชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ย รวมทั้งผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจากโครงการ และคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2555 รับทราบการคืนเงินของหน่วยงานต่างๆ เนื่องจากไม่ได้ดำเนินโครงการ

4. คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2555 อนุมัติในหลักการให้ใช้จ่ายงบประมาณพ.ศ. 2555 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในวงเงิน 22.20 ล้านบาท เพื่อชดเชยผลการขาดทุนขององค์การคลังสินค้าจากส่วนต่างของต้นทุนการนำเข้าน้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์กับราคาจำหน่ายให้แก่โรงกลั่นน้ำมัน

5. คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2555 เห็นชอบการกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้ายฤดูการผลิตปี 2553/2554 ในอัตรา 1,039.14 บาทต่อตันอ้อย ณ ระดับความหวานที่ 10 ซี.ซี.เอส. และกำหนดอัตราขึ้น/ลงของราคาอ้อยเท่ากับ 62.35 บาท ต่อ 1 หน่วย ซี.ซี.เอส. ต่อเมตริกตัน และผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย เฉลี่ยทั่วประเทศที่ 445.35 บาทต่อตันอ้อย

สรุปและแนวโน้ม

สรุป

ในช่วงปี 2555 ภาวะอุตสาหกรรมอาหารโดยรวม อยู่ในช่วงชะลอตัวจากปีก่อน ตามปริมาณคำสั่งซื้อที่ปรับตัวลดลง ประกอบกับระดับค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มจะอ่อนค่าลง ซึ่งเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศสหภาพยุโรป ที่เป็นตลาดหลักของสินค้าอาหารของไทย เริ่มมีปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวจากภาวะหนี้สาธารณะในหลายประเทศที่ปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้สต็อกสินค้าในตลาดโลกที่สำคัญ คือ น้ำตาลทราย แม้ว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่จากการที่ประเทศอินเดีย และบราซิล ประสบปัญหาผลผลิตน้ำตาลลดลงจากภาวะฝนตกหนัก และคาดว่าจะส่งออกน้ำตาลได้ลดลง ส่งผลต่อระดับราคาน้ำตาลกลับมาทรงตัวในระดับสูง ในส่วนสินค้ากลุ่มปศุสัตว์โดยเฉพาะไก่แปรรูป ปริมาณความต้องการจากต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดญี่ปุ่น ยังเพิ่มขึ้นจากสภาพปัญหาความไม่เชื่อมั่นของผู้บริโภคจากการปนเปื้อนสารกัมมันตภาพรังสีในอาหารที่เกิดจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิดเมื่อปีก่อน ประกอบกับการพิจารณายกเลิกการห้ามนำเข้าไก่สดแช่เย็นแช่แข็งจากกรณีไข้หวัดนกของสหภาพยุโรป ส่งผลต่อการส่งออกไก่ของไทยเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามยังมีสินค้าที่ปริมาณการผลิตปรับตัวลดลง คือ กลุ่มพืชน้ำมัน และมันสำปะหลัง เนื่องจากได้รับผลกระทบจาก ภัยธรรมชาติ ทำให้ผลผลิตลดลง ส่งผลโดยตรงกับระดับราคาที่ปรับเพิ่มขึ้นตามความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นในตลาดโลก

แนวโน้ม

การผลิตและการส่งออกอุตสาหกรรมอาหาร ในช่วงปี 2556 คาดว่า ทิศทางการผลิต และการส่งออกจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกได้ปรับเพิ่มขึ้นภายหลังเกิดภัยแล้งในสหรัฐอเมริกา ที่ผลักดันราคาสินค้าเกษตรให้เพิ่มขึ้นประกอบกับการประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 3 และการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ส่งผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งอาจส่งผลให้การส่งออกปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม การลดลงของวัตถุดิบในพื้นที่เพาะปลูกที่ประสบปัญหาภัยธรรมชาติ และจากปัจจัยลบ เช่น ภัยธรรมชาติที่ไม่อาจคาดการณ์ รวมถึงการเคลื่อนไหวของระดับราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ภาวะเศรษฐกิจของประเทศผู้นำเข้าที่ชะลอตัว จากวิกฤตหนี้สาธารณะในสหภาพยุโรปที่เริ่มส่งผลกระทบไปยังตลาดอื่น ๆ ตลอดจนมาตรการกีดกันทางการค้าต่าง ๆ เช่น มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่เริ่มมีผลบังคับใช้ โดยเฉพาะการทำฉลากระบุร่องรอยคาร์บอนที่จำหน่ายในสหภาพยุโรป อาจทำให้การผลิตและการส่งออกอุตสาหกรรมอาหารของไทยในภาพรวมปรับตัวได้ไม่มากนัก

--สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ