รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรมประจำเดือนมีนาคม 2556

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday May 9, 2013 15:57 —สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

สรุปประเด็นสำคัญ

ดัชนีอุตสาหกรรมของเดือนกุมภาพันธ์ 2556
  • ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเดือนกุมภาพันธ์ 2556 ลดลงจากเดือนมกราคม 2556 ร้อยละ 3.5 และลดลงร้อยละ 1.2 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน การผลิตลดลงในหลายอุตสาหกรรมที่สำคัญ คือ Hard Disk Drive ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เสื้อผ้าสำเร็จรูป อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เบียร์ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันในปีก่อน
  • อัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยในเดือนกุมภาพันธ์ 2556 อยู่ที่ระดับร้อยละ 62.9 ลดลงจากร้อยละ 67.0 ในเดือนมกราคม 2556
ประเด็นเศรษฐกิจอุตสาหกรรมสำคัญในเดือนมีนาคม 2556
อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า
  • สถานการณ์การผลิตเหล็กในเดือนมีนาคม 2556 คาดว่าการผลิตเหล็กทรงแบนจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ นอกจากนี้การที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศใช้มาตรการเซฟการ์ดในส่วนของเหล็กแผ่น alloy จะมีผลทำให้การนำเข้าเหล็กดังกล่าวลดลงและส่งผลให้ผู้ผลิตของไทยมีการผลิตเพิ่มขึ้น
  • สำหรับเหล็กทรงยาวคาดการณ์ว่าการผลิตจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากสถานการณ์อุตสาหกรรมก่อสร้างเริ่มส่งสัญญาณดีขึ้นเป็นผลมาจากผู้ประกอบการมีแนวโน้มเปิดขายโครงการอาคารชุดที่มีราคาไม่สูงมากนักโดยเน้นการเปิดขายในเขตกรุงเทพฯ ชั้นใน ชั้นกลางและแนวส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น

อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์

  • ภาพรวมมาตรการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานของภาครัฐ และการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างรวดเร็วและต่อเนื่องของภาคเอกชน ส่งผลให้ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศอยู่ในระดับสูง คาดว่าการผลิตและการจำหน่ายในประเทศของอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์จะปรับตัวสูงขึ้นตาม
  • สำหรับแนวโน้มการส่งออก คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน ทั้งนี้ เนื่องจากอุปสงค์ต่อปูนซีเมนต์ในตลาดหลักของไทย รวมทั้งบังคลาเทศและโตโก ยังคงอยู่ในระดับที่สูงอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม คาดว่าการส่งออกจะปรับตัวสูงขึ้นไม่มากนัก เนื่องจากความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีการสำรองปูนซีเมนต์ไว้ใช้ในประเทศมากขึ้น

สถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม

  • ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม

ม.ค. 56 = 176.16

ก.พ. 56 = 169.96

โดยอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลง ได้แก่

  • ยานยนต์
  • อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง
  • เม็ดพลาสติก
  • อัตราการใช้กำลังการผลิต

ม.ค. 56 = 67.0

ก.พ. 56 = 62.9

โดยอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลง ได้แก่

  • ยานยนต์
  • เคมีภัณฑ์ขั้นมูลฐาน
  • โทรทัศน์สี

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ในเดือนกุมภาพันธ์ 2556 มีค่า 169.96 ลดลงจากเดือนมกราคม 2556 (176.16) ร้อยละ 3.5 และลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน คือเดือนกุมภาพันธ์ 2555 (172.01) ร้อยละ 1.2

  • อุตสาหกรรมที่ส่งผลสำคัญให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมลดลงเมื่อเทียบกับเดือนมกราคม 2556 ได้แก่ ยานยนต์ อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เม็ดพลาสติกผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เบียร์ เป็นต้น
  • อุตสาหกรรมที่ส่งผลสำคัญให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ Hard Disk Drive ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เสื้อผ้าสำเร็จรูป อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เบียร์ เป็นต้น อัตราการใช้กำลังการผลิต ในเดือนกุมภาพันธ์ 2556 อยู่ที่ระดับร้อยละ 62.9 ลดลงจาก เดือนมกราคม 2556 (ร้อยละ 67.0) แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน คือเดือนกุมภาพันธ์
2555 (ร้อยละ 62.3)
  • อุตสาหกรรมที่ส่งผลสำคัญให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากเดือนมกราคม 2556 ได้แก่ ยานยนต์ เคมีภัณฑ์ขั้นมูลฐาน โทรทัศน์สี เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เป็นต้น
  • อุตสาหกรรมที่ส่งผลสำคัญให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของ ปีก่อน ได้แก่ ยานยนต์ โทรทัศน์สี Hard Disk Drive เครื่องปรับอากาศ เส้นใยสิ่งทอ เป็นต้น

สถานภาพการประกอบกิจการอุตสาหกรรมเดือนกุมภาพันธ์ 2556

ภาวะการประกอบกิจการของโรงงานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนกุมภาพันธ์ 2556 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมกราคม 2556 มีโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการจำนวน 345 ราย เพิ่มขึ้นในจำนวนที่มากกว่าเดือนมกราคม 2556 ซึ่งมีโรงงานเริ่มประกอบกิจการจำนวน 328 ราย หรือคิดเป็นจำนวนมากกว่าร้อยละ 5.18 มียอดเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 18,217.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม 2556 ซึ่งมีการลงทุน11,981.63 ล้านบาท ร้อยละ 52.05 และมีการจ้างงานจำนวน 6,869 คน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม 2556 ที่มีจำนวนการจ้างงาน 6,318 คน ร้อยละ 8.72 ภาวะการประกอบกิจการของโรงงานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนกุมภาพันธ์ 2556 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มีโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการเพิ่มขึ้นในจำนวนที่มากกว่าเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ซึ่งมีโรงงานเริ่มประกอบกิจการจำนวน 330 ราย หรือคิดเป็นจำนวนมากกว่าร้อยละ 4.55 แต่มียอดเงินลงทุนรวมลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ซึ่งมีการลงทุน 21,347.68 ล้านบาท ร้อยละ 14.66 มีการจ้างงานรวมลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ที่มีจำนวนการจ้างงาน 7,690 คน ร้อยละ 10.68

  • อุตสาหกรรมที่มีจำนวนโรงงานเริ่มประกอบกิจการมากที่สุดในเดือนกุมภาพันธ์ 2556 คืออุตสาหกรรมผลิตคอนกรีตผสมเสร็จ จำนวน 28 โรงงาน รองลงมาคือ อุตสาหกรรม ทำเครื่องเรือนหรือเครื่องตบแต่งภายในอาคารจากไม้ จำนวน 27 โรงงาน
  • อุตสาหกรรมที่เริ่มประกอบกิจการโดยมีการลงทุนสูงสุดในเดือนกุมภาพันธ์ 2556 คืออุตสาหกรรม ผลิตและประกอบเครื่องใช้เครื่องอุปกรณ์ชิ้นส่วนประกอบผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิคส์ต่างๆ จำนวนเงินทุน 3,910.48 ล้านบาท รองลงมาคือ อุตสาหกรรมผลิตส่งและจำหน่ายพลังงานไฟฟ้า จำนวนเงินทุน 3,321.33 ล้านบาท
  • อุตสาหกรรมที่เริ่มประกอบกิจการและมีการจ้างงานสูงสุดในเดือนกุมภาพันธ์ 2556 คืออุตสาหกรรมผลิตคอนกรีตผสมเสร็จ จำนวนคนงาน 540 คน รองลงมาคือ อุตสาหกรรมทำเครื่องเรือนหรือเครื่องตบแต่งภายในอาคารจากไม้ จำนวนคนงาน 374 คน

ภาวะการเลิกกิจการของโรงงานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนกุมภาพันธ์ 2556 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมกราคม 2556 มีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการจำนวน 41 ราย น้อยกว่าเดือนมกราคม 2556ซึ่งมีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการจำนวน 76 ราย คิดเป็นร้อยละ 46.05 มีการเลิกจ้างงาน จำนวน 912 คน น้อยกว่าเดือนมกราคม 2556 ซึ่งมีการเลิกจ้างงานจำนวน 4,857 คน แต่มีเงินทุนของการเลิกกิจการรวม 846.79 ล้านบาท มากกว่าเดือนมกราคม 2556 ที่การเลิกกิจการคิดเป็นเงินทุน 665.82 ล้านบาท

ภาวะการเลิกกิจการของโรงงานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนกุมภาพันธ์ 2556 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการน้อยกว่าเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ซึ่งมีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการจำนวน 122 ราย คิดเป็นจำนวนน้อยกว่าร้อยละ 66.39 มีเงินทุนของการเลิกกิจการน้อยกว่าเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ที่การเลิกกิจการคิดเป็นเงินทุน 1,356.44 ล้านบาท มีการเลิกจ้างงานน้อยกว่าเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ที่การเลิกจ้างงานมีจำนวน 4,234 คน

  • อุตสาหกรรมที่มีจำนวนโรงงานเลิกกิจการมากที่สุดในเดือนกุมภาพันธ์ 2556 คือ อุตสาหกรรมซ่อมและเคาะพ่นสีรถยนต์ จำนวน 6 โรงงาน รองลงมาคือ อุตสาหกรรมขุดตักดินหรือทรายสำหรับใช้ในการก่อสร้าง อุตสาหกรรมทำภาชนะบรรจุ เครื่องมือเครื่องใช้จากไม้ และ
อุตสาหกรรมผลิตคอนกรีตผสมเสร็จ ทั้ง 3 อุตสาหกรรม จำนวน 3 โรงงาน เท่ากัน
  • อุตสาหกรรมที่เลิกประกอบกิจการโดยที่มีเงินลงทุนสูงสุดในเดือนกุมภาพันธ์ 2556 คืออุตสาหกรรมทำน้ำตาลทรายแดง เงินทุน 530 ล้านบาท รองลงมาคือ อุตสาหกรรมหมัก คาร์บอไนซ์ สาง หวี รีด ปั่น อบ ควบ บิดเกลียว กรอ ฟอก ย้อมสีเส้นใย เงินทุน 59.5 ล้านบาท
  • อุตสาหกรรมที่เลิกประกอบกิจการและจำนวนคนงานสูงสุดในเดือนกุมภาพันธ์ 2556คือ อุตสาหกรรมถักผ้า ผ้าลูกไม้ เครื่องนุ่งห่มด้วยด้ายหรือเส้นใย จำนวนคนงาน 280 คน รองลงมาคือ อุตสาหกรรมทำน้ำตาลทรายแดง จำนวนคนงาน 100 คน
1.อุตสาหกรรมอาหาร

ภาวะการผลิตและการส่งออกของอุตสาหกรรมอาหาร เดือนมีนาคม คาดว่า จะปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อน เป็นผลจากการเร่งผลิตรองรับการหยุดงานในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ส่วนการจำหน่ายในประเทศ คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น จากการที่ประชาชนเพิ่มการจับจ่ายใช้สอย แม้ว่าระดับราคาน้ำมันและราคาสินค้าในหมวดอาหารและเครื่องดื่มจะปรับเพิ่มขึ้น

1. การผลิต

ภาวะการผลิตกลุ่มสินค้าอาหารสำคัญ (ไม่รวมน้ำตาล) เดือนกุมภาพันธ์ 2556 ปรับตัวลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อนและเดือนก่อนร้อยละ 14.1 และ 13.9 แบ่งเป็น กลุ่มสินค้าสำคัญที่อิงตลาดส่งออก เช่น สับปะรดกระป๋องและปลาทูน่ากระป๋อง มีปริมาณการผลิตลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 19.8 และ 7.1 ตามลำดับ หากพิจารณากลุ่มสินค้าสำคัญโดยเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน เช่น กุ้ง มีปริมาณการผลิตลดลง ร้อยละ 36.7 เป็นผลจากการเกิดโรคระบาดในแหล่งเพาะเลี้ยงกุ้ง ส่งผลให้ต้องพักบ่อเพื่อกักกันโรค ซึ่งทำให้มีวัตถุดิบป้อนสู่โรงงานลดลง กลุ่มสินค้าที่อิงตลาดภายในประเทศแบ่งเป็นสินค้าที่ใช้วัตถุดิบในประเทศ เช่น น้ำมันปาล์ม มีการผลิตลดลงเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของ ปีก่อนร้อยละ 15.4 เนื่องจากสต็อกมีอยูในปริมาณมาก ส่วนสินค้าที่ใช้วัตถุดิบนำเข้า คือ น้ำมันถั่วเหลือง มีปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 26.9 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ทำให้ราคาวัตถุดิบนำเข้าโดยเปรียบเทียบลดลง และมีการนำเข้ามาผลิตเพิ่มขึ้น ส่วนอาหารไก่ การผลิตปรับตัวลดลงตามความต้องการที่ลดลงของการเลี้ยงไก่ที่มีการพักเล้า หลังจากการส่งไก่เข้าโรงเชือดมากขึ้นในช่วงตรุษจีน

2. การตลาด

1) ตลาดในประเทศ เดือนกุมภาพันธ์ 2556 ปริมาณการส่งสินค้าอาหารและเกษตรในประเทศ ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนและเดือนก่อนร้อยละ 7.5 และ 7.2 ตามลำดับ เป็นผลจากการชะลอการจับจ่ายใช้สอยตามฤดูกาลหลังเทศกาล

2) ตลาดต่างประเทศ ภาพรวมมูลค่าการส่งออกอุตสาหกรรมอาหาร (ไม่รวมน้ำตาล) เดือนกุมภาพันธ์ 2556 ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนและเดือนก่อน ร้อยละ 6.3 และ 14.4 ตามลำดับ เนื่องจากระดับราคาสินค้าในตลาดโลกปรับตัวลดลง ประกอบกับคำสั่งซื้อที่ปรับตัวลดลงจากความกังวลในวิกฤตหนี้ของสหภาพยุโรปที่เริ่มส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจของประเทศอื่นๆตามมา

3. แนวโน้ม

การผลิตและส่งออกเดือนมีนาคม 2556 คาดว่า จะปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อน เนื่องจากผู้ผลิตต้องเร่งผลิตเพื่อรองรับเทศกาลสงกรานต์ในเดือนถัดไปที่มีวันหยุดมาก สำหรับการจำหน่ายสินค้าในประเทศ คาดว่า จะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน จากการที่ประชาชนเพิ่มการจับจ่ายใช้สอยรองรับช่วงปิดเทอมและเทศกาลสงกรานต์ในเดือนเมษายน แม้ว่าราคาน้ำมันและราคาสินค้าที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น

2. อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม

“การผลิตและจำหน่ายกลุ่มสิ่งทอ คาดว่า จะมีแนวโน้มขยายตัวในขณะที่กลุ่มเครื่องนุ่งห่ม คาดว่า จะชะลอตัวต่อเนื่องจากปัญหา วิกฤตเศรษฐกิจใน EU และการแข็งค่าของเงินบาท อาจส่งผลให้คำสั่งซื้อเบาบางลง”

1. การผลิต

การผลิตผลิตภัณฑ์สิ่งทอ เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อน ลดลงในผลิตภัณฑ์สำคัญ ได้แก่ เส้นใยสิ่งทอฯ ผ้าผืน ผ้าขนหนูและเครื่องนอน ร้อยละ 2.2, 9.5 และ 5.8 ตามลำดับ ตามวัฏจักรธุรกิจ แต่เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้นในผลิตภัณฑ์เดียวกัน ร้อยละ 13.0, 3.9 และ 6.5 ตามลำดับเนื่องจากฐานการผลิตที่ต่ำในปีที่ผ่านมา ประกอบกับมีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นจากตลาดเอเชียและอาเซียน โดยเฉพาะจาก จีน อินเดีย เวียดนาม บังคลาเทศ และสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะเป็นโอกาสให้การผลิตเพิ่มสูงขึ้น

การผลิตผลิตภัณฑ์เครื่องนุ่งห่ม เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนการผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปจากผ้าถักและผ้าทอ เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.1 และ 2.5 ตามลำดับจากความต้องการซื้อทั้งในและต่างประเทศ แต่เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปจากผ้าถักลดลงร้อยละ 6.9 และผ้าทอลดลงร้อยละ 12.9 ซึ่งกว่าร้อยละ 80 เป็นการผลิตเพื่อการส่งออก ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจในสหภาพยุโรป และเป็นตลาดส่งออกสำคัญของเครื่องนุ่งห่มไทยประกอบกับธุรกิจย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้านเพื่อลดผลกระทบด้านแรงงาน

2. การจำหน่าย

การจำหน่ายกลุ่มสิ่งทอในประเทศเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับเดือนก่อนและเดือนเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากความต้องการเส้นใยสังเคราะห์เพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องเพิ่มขึ้น สำหรับในกลุ่มเครื่องนุ่งห่ม เมื่อเทียบกับเดือนก่อนและเดือนเดียวกันของปีก่อน เสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ผลิตจากผ้าถักมีการ จำหน่ายเพิ่มขึ้นตามสภาพภูมิอากาศการส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนและเดือนเดียวกันของปีก่อน ลดลงร้อยละ 4.4 และ 3.8 ตามลำดับ ซึ่งเป็นผลจากมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเครื่องนุ่งห่ม ลดลงร้อยละ 11.0 และ 15.4 ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกในภาพรวมลดลง แม้ว่ามูลค่ากลุ่มสิ่งทอจะขยายตัวเพิ่มขึ้นในตลาดอาเซียนแต่อัตราที่น้อยกว่า อย่างไรก็ตามยังคงมีเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ผลิตจากผ้าไหมที่มีมูลค่าการส่งออกไม่มากนัก แต่มีอัตราการขยายตัวสูงถึงร้อยละ 21.4 และ 101.4 ในตลาดญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกาอิตาลี และ สิงคโปร์

3. แนวโน้ม

การผลิตและจำหน่ายกลุ่มสิ่งทอ คาดว่า จะมีแนวโน้มขยายตัวจากคำสั่งซื้อทั้งจากตลาดเอเชียและอาเซียนที่ขยายตัว โดยเฉพาะจากจีน อาเซียน เพื่อนำเข้าไปผลิตและส่งออกไปตลาดอื่น ๆ

การผลิตและจำหน่ายกลุ่มเครื่องนุ่งห่ม คาดว่า จะชะลอตัวต่อเนื่องจากปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจของตลาดคู่ค้าหลักในสหภาพยุโรปและการ แข็งค่าของเงินบาท อาจส่งผลให้คำสั่งซื้อจากตลาดกลุ่มนี้เบาบางลงอย่างต่อเนื่อง

3. อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า

บริษัท POSCO ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ที่สุดในสาธารณรัฐเกาหลีวางแผนที่จะสร้างโรงงานผลิตเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสีในประเทศไทยและอินโดนีเซีย โดยในส่วนการลงทุนในไทยปัจจุบันบริษัทฯ มีพื้นที่สำหรับตั้งโรงงานอยู่ที่จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทย โดยโรงงานนี้จะสร้างสายการผลิต Continuous Galvanizing line (CGL) ในการผลิตเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสีสำหรับใช้ในอุตสาหกรรม ยานยนต์ โดยมีกำลังการผลิตปีละ 400,000 ตัน โดยบริษัทฯ จะเริ่มขั้นตอนการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EIA) ในเดือนเมษายน 2556 และตั้งเป้าว่าจะสามารถเดินเครื่องผลิตได้ในช่วงปลายปี 2015 โดยมีตลาดในประเทศเป็นตลาดหลักและส่งออกบางส่วน

1.การผลิต

สถานการณ์การผลิตของอุตสาหกรรมเหล็กในเดือนกุมภาพันธ์ 2556 ขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมในเดือนนี้มีค่า 138.44 มีอัตราการเปลี่ยนแปลงที่เพิ่มขึ้น ร้อยละ 2.23 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน เมื่อพิจารณาในกลุ่ม เหล็กทรงแบนมีการผลิตที่เพิ่มขึ้น ร้อยละ 6.58 โดยผลิตภัณฑ์ที่มีการผลิตเพิ่มขึ้นมากที่สุด ได้แก่ เหล็กแผ่นเคลือบโครเมียมและเหล็กแผ่นเคลือบดีบุก เพิ่มขึ้น ร้อยละ 34.28 และ 13.81 ตามลำดับ เนื่องจากผู้ผลิตใช้กลยุทธ์การลดราคาสินค้าเพื่อแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ ส่งผลให้คำสั่งซื้อประเทศเพิ่มมากขึ้น ทำให้มีการผลิตเหล็กแผ่นชนิดดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น สำหรับกลุ่มเหล็กทรงยาว พบว่าผลิตลดลง ร้อยละ 2.24 โดยผลิตภัณฑ์ที่มีการผลิตลดลงมากที่สุด ได้แก่ เหล็กเส้นข้ออ้อย ลดลง ร้อยละ 9.29 แต่เหล็กเส้นกลม กลับผลิตเพิ่มขึ้น ร้อยละ 25.58 เนื่องจากเป็นการสลับสายการผลิตกันของโรงงานหลังจากเดือนที่แล้วมีการผลิตเหล็กเส้นข้ออ้อยในปริมาณที่มาก ขณะเดียวกันเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกัน ของปีก่อน การผลิตลดลงร้อยละ 5.42 โดยเหล็กทรงแบนมีการผลิตลดลง ร้อยละ 3.80 เหล็กทรงยาว มีการผลิตลดลง ร้อยละ 5.53

2.ราคาเหล็ก

จากข้อมูลดัชนีราคาเหล็กต่างประเทศของสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย พบว่า การเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคาเหล็ก (FOB) โดยเฉลี่ยที่สำคัญในตลาด CIS ณ ท่าทะเลดำ (Black Sea) ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2556 เทียบกับเดือนก่อนพบว่า ผลิตภัณฑ์เหล็กที่มีดัชนีราคาเหล็กที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ เหล็กแท่งแบนเพิ่มขึ้นจาก 108.13 เป็น 115.69 เพิ่มขึ้น ร้อยละ 6.99 เหล็กแผ่นรีดร้อน เพิ่มขึ้นจาก 112.92 เป็น 119.17 เพิ่มขึ้น ร้อยละ 5.53 และเหล็กแผ่นรีดเย็น เพิ่มขึ้นจาก 120.56 เป็น 125.23 เพิ่มขึ้น ร้อยละ 3.87 สำหรับผลิตภัณฑ์เหล็กที่มีดัชนีราคา เหล็กที่ลดลง ได้แก่ เหล็กแท่งเล็ก Billet ลดลงจาก 125.44 เป็น 123.67 ลดลงร้อยละ 1.41 เหล็กเส้น ลดลงจาก 123.93 เป็น 121.59 ลดลง ร้อยละ 1.89 โดยจะเห็นได้ว่าผลิตภัณฑ์ที่มีดัชนีราคาเหล็กที่เพิ่มขึ้นจะเป็นในส่วนของเหล็กทรงแบนแต่ในส่วนของเหล็กทรงยาวจะมีราคาที่ลดลง

3. แนวโน้ม

สถานการณ์การผลิตเหล็กในเดือนมีนาคม 2556 คาดว่าการผลิตเหล็กทรงแบนจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ นอกจากนี้การที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศใช้มาตรการเซฟการ์ดในส่วนของเหล็กแผ่น alloy จะมีผลทำให้การนำเข้าเหล็กดังกล่าวลดลงและส่งผลให้ผู้ผลิตของไทยมีการผลิตเพิ่มขึ้นสำหรับเหล็กทรงยาวคาดการณ์ว่าการผลิตจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากสถานการณ์อุตสาหกรรมก่อสร้างเริ่มส่งสัญญาณดีขึ้นเป็นผลมาจากผู้ประกอบการมีแนวโน้มเปิดขายโครงการอาคารชุดที่มีราคาไม่สูงมากนัก โดยเน้นการเปิดขายในเขตกรุงเทพฯ ชั้นใน ชั้นกลางและแนวส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น

4. อุตสาหกรรมยานยนต์
รถยนต์

อุตสาหกรรมรถยนต์ในเดือนกุมภาพันธ์ 2556 ขยายตัวเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2555 เนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์เร่งการผลิ รถยนต์เพื่อให้ทันต่อการส่งมอบให้ลูกค้า โดยเฉพาะลูกค้าที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายรถยนต์คันแรก โดยมีข้อมูลสภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ใน เดือนกุมภาพันธ์ ดังนี้

1. การผลิตรถยนต์

จำนวน 229,204 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ซึ่งมีการผลิต 168,096 คัน ร้อยละ 36.35 โดยเป็นการปรับเพิ่มขึ้นของการผลิตรถยนต์นั่ง รถยนต์กระบะ 1 ตัน และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ แต่มีปริมาณการผลิตรถยนต์ลดลงจากเดือนมกราคม 2556 ร้อยละ 2.89 โดยเป็นการปรับลดลงของการผลิตรถยนต์กระบะ 1 ตัน

2. การจำหน่ายรถยนต์

จำนวน 128,392 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ซึ่งมีการจำหน่าย 90,461 คัน ร้อยละ 41.93 โดยเป็นการปรับเพิ่มขึ้นของการจำหน่ายรถยนต์นั่ง รถยนต์กระบะ 1 ตัน รถยนต์เพื่อการพาณิชย์ และรถยนต์ PPV รวมกับ SUV และมีปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เพิ่มขึ้น จากเดือนมกราคม 2556 ร้อยละ 3.00 โดยเป็นการปรับเพิ่มขึ้นของการจำหน่ายรถยนต์นั่ง รถยนต์เพื่อการพาณิชย์ และรถยนต์ PPV รวมกับ SUV

3. การส่งออกรถยนต์

จำนวน 94,527 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ซึ่งมีการส่งออก77,315 คัน ร้อยละ 22.26 ซึ่งเพิ่มขึ้นในประเทศแถบเอเชีย โอเชียเนียแอฟริกา ยุโรป อเมริกากลาง และอเมริกาใต้ และมีปริมาณการส่งออกรถยนต์เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม 2556 ร้อยละ 9.03 ซึ่งเพิ่มขึ้นในประเทศแถบเอเชีย แอฟริกา ยุโรป อเมริกากลาง และอเมริกาใต้

4. แนวโน้ม

ภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ในเดือนมีนาคม 2556 คาดว่าจะขยายตัวเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ 2556 สำหรับการผลิตรถยนต์ใน เดือนมีนาคม 2556 ประมาณการว่าจะมีการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศร้อยละ 63 และส่งออกร้อยละ 37

รถจักรยานยนต์

อุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ในเดือนกุมภาพันธ์ 2556 ชะลอตัวเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2555 โดยมีข้อมูลสภาวะ อุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์เดือนกุมภาพันธ์ ดังนี้

1. การผลิตรถจักรยานยนต์

จำนวน 185,645 คัน ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ซึ่งมีการผลิต 224,969 คัน ร้อยละ 17.48 โดยเป็นการปรับลดลงของการผลิตรถจักรยานยนต์แบบครอบครัว และมีปริมาณการผลิตรถจักรยานยนต์ลดลงจากเดือนมกราคม 2556 ร้อยละ 3.88 โดยเป็นการปรับลดลงของ การผลิตรถจักรยานยนต์แบบครอบครัว

2. การจำหน่ายรถจักรยานยนต์

จำนวน 177,736 คัน ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ซึ่งมีการจำหน่าย 178,619 คัน ร้อยละ 0.49 โดยเป็นการปรับลดลงของ รถจักรยานยนต์แบบสกูตเตอร์ และมีปริมาณการจำ หน่ายรถจักรยานยนต์ลดลงจากเดือนมกราคม 2556 ร้อยละ 1.40 โดยเป็นการปรับลดลงของรถจักรยานยนต์แบบสกูตเตอร์

3. การส่งออกรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป (CBU)

จำนวน 28,336 คัน ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ซึ่งมีการส่งออก 36,618 คัน ร้อยละ 22.62 ซึ่งลดลงในประเทศสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และแคนาดา แต่มีปริมาณการส่งออกรถจักรยานยนต์เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม 2556 ร้อยละ 20.86 ซึ่งเพิ่มขึ้นในประเทศสหราชอาณาจักรสหรัฐอเมริกา และอินโดนีเซีย

4. แนวโน้ม

ภาวะอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ในเดือนมีนาคม 2556 คาดว่าจะขยายตัวเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ 2556 สำหรับการผลิต รถจักรยานยนต์ในเดือนมีนาคม 2556 ประมาณการว่าจะมีการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศร้อยละ 85 และส่งออกร้อยละ 15

5.อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์

“อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ยังคงขยายตัวได้ เนื่องจากการลงทุนโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานของภาครัฐ และการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง การส่งออกชะลอตัวลง เนื่องจากแนวโน้มความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศสูงขึ้น ส่งผลให้บริษัทผู้ผลิตปูนซีเมนต์ลดปริมาณการส่งออกลง เพื่อสำรองไว้ใช้ในประเทศต่อไป”

1.การผลิตและการจำหน่ายในประเทศ

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2556 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน ปริมาณการผลิตและปริมาณการจำหน่ายในประเทศ ลดลงร้อยละ 0.06 และ 2.57 ตามลำดับ แต่เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ปริมาณการผลิตและปริมาณการจำหน่ายในประเทศ เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.54 และ 12.64 ตามลำดับ เมื่อพิจารณาในภาพรวม อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ยังคงขยายตัวได้ เนื่องจากภาครัฐมีมาตรการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐาน รวมทั้งภาคเอกชนมีการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในธุรกิจที่พักอาศัยแนวสูง (คอนโดมิเนียม) ทั้งนี้ เพื่อรองรับความต้องการที่อยู่อาศัยซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในอนาคตอันใกล้ โดยจะเน้นพื้นที่บริเวณแนวรถไฟฟ้า และเขตหัวเมืองใหญ่เป็นหลัก

2.การส่งออก

มูลค่าการส่งออกปูนซีเมนต์เดือนกุมภาพันธ์ 2556 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน ลดลงร้อยละ 26.97 และเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ลดลงร้อยละ 31.96 เมื่อพิจารณาในภาพรวม การส่งออกปรับตัวลดลงเนื่องจากมีการผลิตปูนเม็ดลดลงค่อนข้างมาก และแนวโน้มความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศสูงขึ้น ส่งผลให้บริษัทผู้ผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่ของไทยหลายรายลดปริมาณการส่งออกลง เพื่อสำรองไว้ใช้ในประเทศต่อไป

3.แนวโน้ม

มาตรการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานของภาครัฐ และการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างรวดเร็วและต่อเนื่องของ ภาคเอกชน ส่งผลให้ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศอยู่ในระดับสูง คาดว่าการผลิตและการจำหน่ายในประเทศของอุตสาหกรรม ปูนซีเมนต์จะปรับตัวสูงขึ้นตามสำหรับแนวโน้มการส่งออก คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน ทั้งนี้ เนื่องจากอุปสงค์ต่อปูนซีเมนต์ในตลาดหลักของไทย รวมทั้งบังคลาเทศและโตโก ยังคงอยู่ในระดับที่สูงอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม คาดว่าการส่งออกจะปรับตัวสูงขึ้นไม่มากนัก เนื่องจากความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีการสำรองปูนซีเมนต์ไว้ใช้ในประเทศมากขึ้น

6. อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์

ภาพรวมภาวะการผลิตอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของเดือนกุมภาพันธ์ มีการปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการลดลงมาจากอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากความต้องการในตลาดอิเล็กทรอนิกส์เริ่มชะลอตัว โดยเฉพาะในตลาดจีนและญี่ปุ่น

ตารางที่1 สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์หลักที่มีมูลค่าการส่งออกมากเป็นอันดับต้นๆ ในเดือน ก.พ. 2556

          เครื่องใช้ไฟฟ้า/อิเล็กทรอนิกส์                    มูลค่า (ล้านเหรียญฯ)          %MoM           %YoY
          เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ              1,319.55              -5.32          -0.92
          วงจรรวมและไมโครแอสแซมบลี                        471.24              -4.08           5.88
          เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ                      408.86              18.42           23.95
          เครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์และส่วนประกอบ                  279.90              -7.83           -7.85
          รวมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์                  4,037.98              -1.98            3.31
          ที่มา กรมศุลกากร

1.การผลิต

ภาพรวมภาวะการผลิตอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของเดือนกุมภาพันธ์2556 มีดัชนีผลผลิตอยู่ที่ระดับ 248.21 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.37 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน แต่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนลดลงร้อยละ 6.27 ซึ่งมาจากอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่มีการปรับตัวลดลงร้อยละ 7.80 เนื่องจากความต้องการในตลาดอิเล็กทรอนิกส์เริ่มชะลอตัวจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่แน่นอน ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้ามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.96 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยเฉพาะในกลุ่มเครื่องปรับอากาศที่มีการขยายตัวมากถึงร้อยละ 35 เมื่อเทียบกับช่วง เดียวกันของปีก่อน

2. การส่งออก

มูลค่าการส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เดือนกุมภาพันธ์ 2556 มีมูลค่า 4,037.98 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 1.98 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน แต่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.31 โดยสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้ามีมูลค่าการส่งออก 1,753.47 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.09 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนและเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.13 ซึ่งตลาดหลัก ทุกตลาดมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ จีน อาเซียน สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีมูลค่าส่งออกสูงสุดได้แก่เครื่องปรับอากาศมีมูลค่าส่งออก 408.86 ล้านเหรียญสหรัฐฯเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.42 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 23.95 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รองลงมาคือ เครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์และส่วนประกอบมีมูลค่าส่งออก 279.90 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 7.83 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน และลดลงร้อยละ 7.85 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ มีมูลค่าการส่งออก 2,284.51 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 4.20 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนแต่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.96 โดยตลาดหลักส่วนใหญ่มีการขยายตัว ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป อาเซียนยกเว้นจีนและญี่ปุ่นที่มีการปรับตัวลดลง สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่มีมูลค่าส่งออกสูงที่สุดได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบมีมูลค่าส่งออก 1,319.55 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีการปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนร้อยละ 5.32 และเมื่อเทียบกับ ช่วงเดียวกันของปีก่อนมีการปรับตัวลดลงร้อยละ 0.92 สำหรับวงจรรวมและไมโครแอสแซมบลีมีมูลค่าส่งออก 471.24 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีการปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนร้อยละ 4.08 แต่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.88

3. แนวโน้ม

ภาพรวมอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เดือนมีนาคม 2556จากแบบจำลองดัชนีชี้นำที่จัดทำโดยสถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ประมาณการแนวโน้มการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้น ร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยอุตสาหกรรมไฟฟ้าจะปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ15 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์มีการปรับตัวลดลงร้อยละ 1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

--สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ