ไอเอ็นจีประกาศผลกำไรไตรมาส 3 ปี 2553 มีกำไรสุทธิ (Underlying net profit) 1,043 ล้านยูโร

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday November 11, 2010 12:53 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--11 พ.ย.--อาซิแอม เบอร์สัน-มาร์สเตลเลอร์ ผลกำไรสุทธิ (Underlying net result) ในไตรมาส 3 ปี 2553 มีมูลค่า 1,043 ล้านยูโร ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันในปีที่แล้วที่มีผลกำไรสุทธิ 727 ล้านยูโร และ ในไตรมาส 2 ของปีนี้ที่มีผลกำไรสุทธิ 1,202 ล้านยูโร กำไรสุทธิ (Net Result) ไตรมาส 3 ปี 2553 มีมูลค่า 371 ล้านยูโร ซึ่งได้รับผลกระทบจากการปรับลดค่าความนิยม (goodwill write-down) ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจประกันภัยของสหรัฐอเมริกาซึ่งมูลค่า 513 ล้านยูโร กำไรสุทธิต่อหุ้นอยู่ที่ 0.10 ยูโร ในกรณีที่ไม่รวมผลกระทบจากการปรับลดค่าความนิยม กำไรสุทธิต่อหุ้นจะเพิ่มขึ้นเป็น 0.23 ยูโร ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้น 0.9 พันล้านยูโรเป็น 42.5 พันล้านยูโร โดยที่ผลตอบแทนต่อส่วนของ ผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้น 11.1% สำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2553 ผลกำไรสุทธิสำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2553 เพิ่มขึ้นเป็น 3,262 ล้านยูโร เมื่อเทียบกับ ช่วงเดียวกันของปีที่แล้วซึ่งมีผลกำไรสุทธิ 706 ล้านยูโร ภาคการธนาคารมีผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งสำหรับไตรมาส 3 ปี 2553 โดยมีผลกำไร ก่อนหักภาษีมูลค่า 1,513 ล้านยูโร เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2552ซึ่งมีผลกำไร 250 ล้านยูโรรายได้ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เนื่องจากผลกระทบทางลบในตลาดและค่าความเสี่ยงซึ่งลดลง (lower negative market-relatred impacts and risk costs) ในขณะที่อัตรากำไรยังคงอยู่ในระดับที่เหมาะสมก ำไรลดลงเล็กน้อยจาก 1,613 ล้านยูโรในไตรมาส 2 ของปี 2553 ทั้งนี้ ได้รวมผลกำไรจาก การขายหุ้นการตั้งสำรองหนี้เสียลดลงอย่างต่อเนื่อง คงเหลือ 374 ล้านยูโร หรือ 45 bps ของมูลค่าเฉลี่ยสินทรัพย์เสี่ยงอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้เท่ากับ 56.5% หรือ 53.4% กรณีไม่รวมการด้อยค่าและผลกระทบอื่นๆ ในตลาดอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นที่ 1 (Core Tier 1) ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 9.0% จาก 8.6% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2553 ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของเงินทุน (Capital generation) ตั้งแต่ต้นปีจนถึงไตรมาส 3 ของปี 2553 มีมูลค่า 3.9 พันล้านยูโร ผลประกอบการในภาคการประกันภัยปรับปรุงขึ้นจากเดิม ทั้งนี้ ผลกำไรได้รับผลกระทบทางลบจาก การเปลี่ยนสมมติฐาน (assumption) ของกรมธรรม์บำนาญแบบผันแปร (Variable Annuity)กำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 3 ไตรมาส โดยเพิ่มขึ้นเป็น 473 ล้านยูโร เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วซึ่งมีผลกำไร 393 ล้านยูโร อัตราส่วนผลกำไรจากการลงทุน (Investment margin) เพิ่มขึ้น 39.8% จากไตรมาส 3 ของปี 2552 หรือเพิ่มขึ้น 29.4% หากไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนและการเพิ่มขึ้นของ Investmentspread ในสหรัฐอเมริกาและกลุ่มประเทศเบเนลักซ์ เนื่องจากรายได้จากผลประกอบการที่ดีมากจึงทำให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการบริหารต่อรายได้จากการดำเนินงานดีขึ้นเป็น 43.4% เนื่องจากผลขาดทุนจำนวน 356 ล้านยูโรที่เกิดจากการเปลี่ยนสมมติฐานของกรมธรรม์บำนาญแบบผันแปรในญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา จึงทำให้ผลกำไรสุทธิก่อนหักภาษีเหลือมูลค่า 18 ล้านยูโร การแบ่งแยกการดำเนินธุรกิจเป็นไปด้วยดี และเตรียมพร้อมในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) ของธุรกิจการประกันภัยทั้ง 2 ครั้ง การเติบโตของธุรกิจอย่างต่อเนื่องและมั่นคงในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาเป็นจุดเด่นในการเข้าจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์ (IPO) ในกลุ่มประเทศยุโรป ในขณะที่ตลาดสหรัฐอเมริกา มีจุดเด่นในการเป็นผู้นำในการให้บริการเพื่อการเกษียณอายุ (retirement services franchise)แผนการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 4 ของปี 2553 และไตรมาสแรกของปี 2554 บริษัทนำระบบการป้องกันความเสี่ยง (hedging) และการบัญชีของธุรกิจมาใช้เพื่อให้สอดคล้องกับบริษัทประกันภัยอื่นๆในสหรัฐอเมริกา การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะนำไปสู่การปรับลดมูลค่า Deferred Acquisition Cost ของกรมธรรม์บำนาญแบบผันแปร (Variable Annuity) ซึ่งมีมูลค่าก่อนหักภาษีประมาณ 1,000 ล้านยูโร(หรือ มูลค่าหลังหักภาษี 0.7 พันล้านยูโร) ในไตรมาส 4 ของปี 2553 ไอเอ็นจีกำลังพิจารณาจะเปลี่ยนไปสู่การบัญชีตามมูลค่ายุติธรรม (fair-value accounting) โดยเปลี่ยนจากการกำหนดเงินสำรองสำหรับผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ (benefit reserve) ของแบบกรมธรรม์บำนาญแบบผันแปร Variable Annuity ในสหรัฐอเมริกาในไตรมาสแรกของ ปี 2554 การบัญชีตามมูลค่ายุติธรรม (fair-value accounting) คาดว่าจะส่งผลให้เกิดการปรับลดของมูลค่าทางบัญชี ณ วันที่ 1 มกราคม 2554 ประมาณ -1 ถึง -1.3 พันล้านยูโร มาตรการดังกล่าวคาดว่าจะปรับปรุงอัตราความพอเพียงของเงินสำรอง สำหรับกรมธรรม์บำนาญแบบผันแปรในสหรัฐอเมริกา (US VA reserve adequacy) และลดความผันผวนของรายได้ อีกทั้งเพิ่มผลกำไรในรายงานทางการเงิน สารจากประธาน “ไอเอ็นจี กรุ๊ปยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องตามกลยุทธ์ที่เราตั้งไว้ ในการสร้างบริษัทที่เป็นอิสระ และมั่นคง ทั้งในธุรกิจธนาคาร และธุรกิจการประกันภัย การแบ่งแยกการดำเนินธุรกิจของทั้งสองธุรกิจนี้ สามารถดำเนินการได้รวดเร็วขึ้น และ มีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าที่เราได้คาดการณ์ไว้ ในขณะนี้ แม้เรายังพิจารณาที่จะเข้า จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) เพียงครั้งเดียว แต่เราก็จะเตรียมการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) 2 ครั้งสำหรับในส่วนภาคธุรกิจการประกันภัยด้วย กล่าวคือ กระแสเงินสดที่มั่นคงของธุรกิจประกันภัยในกลุ่มประเทศยุโรป รวมกับการเติบโตของธุรกิจอย่างมั่นคงในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาเป็นจุดเด่นใน การเข้าจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์ (IPO) ในขณะที่การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) ที่ตลาดสหรัฐอเมริกา จะมุ่งเน้นจุดเด่นการเป็นผู้นำในการให้บริการเพื่อการเกษียณอายุและด้วยเหตุผลเหล่านี้ เราได้ปรับปรุงโครงสร้างฝ่ายบริหารของธุรกิจประกันภัย และปรับระบบการป้องกันความเสี่ยงและการบัญชีของธุรกิจ เพื่อให้สอดคล้องเพิ่มมากขึ้นกับธุรกิจเดียวกันในสหรัฐอเมริกา”นาย ยาน โฮมเมน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไอเอ็นจี กรุ๊ป กล่าว “ในไตรมาสที่ 3 นี้ ธุรกิจธนาคารยังคงมีผลประกอบการที่แข็งแกร่ง โดยมีผลกำไรก่อนหักภาษีมูลค่า 1,513 ล้านยูโร เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันในปี 2552 ที่มีผลกำไร 250 ล้านยูโร เนื่องจากการด้อยค่าของสินทรัพย์และผลกระทบทางลบอื่นๆในตลาดปรับตัวลดลงอย่างมาก หากเทียบผลงานไตรมาสนี้ จะพบว่ากำไรก่อนหักภาษี มีการปรับตัวลงเล็กน้อยจากผลประกอบการในไตรมาส 2 จำนวน 1,613 ล้านยูโร โดยมีสาเหตุหลักจากกำไรที่เพิ่มขึ้นในส่วนทุน (Capital Gain)ในไตรมาสก่อนหน้านี้ การเติบโตของปริมาณเงินฝากและสินเชื่อลดลงเนื่องจากความผันผวนทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี การกู้ยืมและการออมทรัพย์ยังคงเติบโตและส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิยังปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาส 2 ด้านหนี้เสียมีทิศทางที่ลดลง โดยเฉพาะในส่วนธนาคารพาณิชย์ ถึงแม้ว่าค่าความเสี่ยง (risk cost) ยังคงสูงสำหรับลูกค้าบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อมในกลุ่มประเทศเบเนลักซ์ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ของปี 2552 จะเห็นได้ว่า ยังได้รับผลกระทบอย่างยิ่งจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา และปัจจัยพิเศษอื่นๆ (one-off items)แต่มีการปรับตัวขึ้นเพียงแค่ 4.1% ถ้าเปรียบเทียบบนพื้นฐานด้านค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่สูงขึ้น การลงทุนบางอย่างเพื่อเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจ และการปรับปรุงระบบปฎิบัติการเพื่อให้เอื้อต่อการดำเนินงานของธุรกิจธนาคารในระยะยาว” “กำไรจากการดำเนินงานของภาคธุรกิจการประกันภัยมีการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่มาตรการที่เราตั้งไว้ในโครงการ “Ambition 2013” เริ่มเห็นผล กำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเป็น 473 ล้านยูโรใน ไตรมาส 3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วซึ่งมีผลกำไร 393 ล้านยูโร และไตรมาส 2 ของปี 2553 ซึ่งมีผลกำไร 419 ล้านยูโร การปรับตัวดีขึ้นในครั้งนี้มีผลมาจากการเพิ่มขึ้นของอัตราส่วนผลกำไรจากการลงทุนเนื่องจากการเพิ่มการลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทตราสารหนี้ รายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มสูงขึ้น และ การปรับตัวขึ้นของอัตราส่วนผลกำไรจากการคาดการณ์ตามสมมติฐาน (Technical Margin)แม้ว่าค่าใช้จ่ายในการบริหารจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากผลกระทบของค่าเงิน อย่างไรก็ดี อัตราส่วนประสิทธิภาพใน การดำเนินงาน (Efficiency ratio) ได้ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน ผลกำไรสุทธิของธุรกิจการประกันภัยได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนสมมติฐานของกรมธรรม์บำนาญแบบผันแปร (Variable Annuity) ในญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา และกำไรสุทธิได้รวมผลกระทบการปรับลดค่าความนิยมที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจประกันภัยของสหรัฐอเมริกา” “ในขณะที่เรากำลังเตรียมพร้อมสำหรับการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) สำหรับธุรกิจ การประกันภัยทั้ง 2 ครั้ง เราได้ดำเนินการที่จะเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ ปัจจัย เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและเพื่อให้ธุรกิจการประกันภัยในสหรัฐอเมริกาของเรามีระบบการป้องกันความเสี่ยงและการบัญชีที่สอดคล้องกับภาพรวมของอุตสาหกรรมมากขึ้น โดยคาดว่ามาตรการเหล่านี้จะส่งผลให้มีการนำไปสู่การปรับลดมูลค่า Deferred Acquisition Cost ของกรมธรรม์บำนาญแบบผันแปร (Variable Annuity) ซึ่งมีมูลค่าก่อนหักภาษีประมาณ 1,000 ล้านยูโร (หรือ มูลค่าหลังหักภาษี 0.7 พันล้าน ยูโร) ในไตรมาส 4 ของปี 2553 นอกจากนี้ การมุ่งสู่การบัญชีตามมูลค่ายุติธรรม (fair-value accounting) ในส่วนของเงินสำรองสำหรับผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ในอดีตของแบบกรมธรรม์บำนาญแบบผันแปร (legacy variable annuity reserves) ในสหรัฐอเมริกา โดยผลดังกล่าวจะทำให้เกิดการปรับลดในมูลค่าทางบัญชี ณ วันที่ 1 มกราคม 2554 ประมาณ -1 ถึง -1.3 พันล้านยูโร ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อส่วนของผู้ถือหุ้น อนึ่ง การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะปรับปรุงอัตราความพอเพียงของเงินสำรอง สำหรับกรมธรรม์บำนาญแบบผันแปรในสหรัฐอเมริกา (US VA reserve adequacy) อย่างยิ่ง จะช่วยให้บริษัทสามารถป้องกันความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยได้ดีขึ้น และ ลดความผันผวนของรายได้ในอนาคต ในส่วนของสหรัฐอเมริกาเอง ผู้บริหารกำลังดำเนินการกำหนดเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ของธุรกิจการประกันชีวิตและการให้บริการเพื่อการเกษียณอายุมากขึ้น และลดค่าใช้จ่ายประจำปี ลงอีก 100 ล้านยูโรต่อปี นับจากปี 2554 เป็นต้นไป โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างธุรกิจการประกันภัยในสหรัฐอเมริกาให้มีความแข็งแกร่งและมีผลกำไร เพื่อความพร้อมในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO)เมื่อผลประกอบการและสถานการณ์ทางการตลาดปรับตัวดีขึ้น”
แท็ก ไอเอ็นจี  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ