MOVIE: UNSTOPPABLE

ข่าวบันเทิง Friday November 19, 2010 16:31 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--19 พ.ย.--MMM Digital ภาพยนตร์เรื่อง UNSTOPPABLE ด่วนวินาศหยุดไม่อยู่ ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเหตุการณ์จริง เป็นภาพยนตร์ที่กระตุ้นความตื่นเต้นโดยผู้กำกับ โทนี่ สก็อต ผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งรากฐานภาพยนตร์แอคชั่นที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น โดยตามปกติธรรมชาติของมนุษย์ที่แท้จริง ซึ่งเกิดขึ้นในเหตุการณ์ไม่ปกติ คนขับรถไฟผู้มากไปด้วยประสบการณ์ (เดนเซล วอชิงตัน) และพนักงานรักษารถ (คริส ไพน์) ต้องแข่งกับเวลาเพื่อหยุดยั้งขบวนรถไฟที่หยุดไม่ได้ — เปรียบเสมือนขีปนาวุธที่มีขนาดเท่าตึกสูงเสียดฟ้า -- และเพื่อปกป้องจากหายนะขั้นรุนแรงในบริเวณที่พักอาศัย วันที่ 12 ตุลาคม เริ่มต้นด้วยเช้าอันเร่งรีบเหมือนปกติทั่วไปของ ฟุลเลอร์ ยาร์ด ในวิลกินส์, เพนซิลวาเนีย เจ้าหน้าที่กะกลางคืนต่างรีบร้อนอยากกลับบ้าน และทีมงานของกะเช้ากำลังลากสังขารตัวเองโดยมีถ้วยกาแฟอยู่ในมือเจ้าหน้าที่ซ่อมเครื่องยนต์ 2 คนหยุดพักทานอาหารเช้าอย่างเร่งรีบ แต่พวกเขาถูกขัดจังหวะด้วยการถูกไหว้วานให้เคลื่อนย้ายรถไฟขบวนใหม่บนรางรถไฟไปยังรางอื่น ดูเหมือน ฟุลเลอร์ ยาร์ด กำลังจะเป็นเจ้าบ้านทริปภาคสนามของเด็กนักเรียนประถมที่มุ่งหน้าลงจากโอลีน, นิวยอร์ค น่าหงุดหงิดแต่ก็หลบเลี่ยงไม่ได้ คนงานภาคพื้นสนามใช้ความพยายามอย่างหนักทำการเคลื่อนย้ายรถไฟขบวน 777 ที่เปรียบเสมือนอสูรกายที่แท้จริง เมื่อหนึ่งในนั้นทำการตัดสินใจที่นำไปสู่หายนะ เพื่อหาวิธีลัดให้งานเสร็จเร็วขึ้น แต่ทว่าความเร็วขึ้นไม่ได้หมายถึงความปลอดภัยกว่าเสมอไป และหัวรถจักรใหม่ถูกติดตั้งด้วยระฆังและนกหวีดที่มีการคำนวณด้วยระบบคอมพิวเตอร์ที่ทันสมัยที่สุด, มีรถบรรทุกพ่วง 39 คัน, จนกลายร่างเป็นอสูรกายเคลื่อนที่ได้อันมหึมาภายในชั่วพริบตา ระยะทาง 200 ไมล์มุ่งหน้าสู่สถานีเก็บรถไฟมิงโกในบรูว์สเตอร์ เริ่มต้นวันด้วยกิจกรรมเดิมๆ ก่อนจะมุ่งหน้าสู่เส้นทางของแต่ละขบวน ผู้ดูแลคนเก่าของเหล่าพนักงานรถไฟร่วมแบ่งปันกาแฟแก้วสุดท้ายกันบนกองงานเอกสาร ขณะที่พวกเขาแลกเปลี่ยนเรื่องราวสงครามของการปฏิบัติงานที่ไร้ประสิทธิภาพ โดยพนักงานรักษารถคนใหม่และพนักงานควบคุมเบรค แฟรงค์ บาร์นส พบว่าเจ้าหน้าที่ตรวจบัตรของเขาคือ วิล คอลสัน เด็กเส้นที่จ้างมาใหม่ แฟรงค์ไม่ได้ยินดีสักเท่าไหร่ แต่เก็บความเห็นนั้นเอาไว้ในใจ หลังจากพวกเขาอยู่บนรถไฟชบวน 1206 เครื่องยนต์แบบ 6-เอเซล รุ่นเดอะที่คงทน พร้อมกับระยะการใช้งานมาแล้วหลายไมล์ ชีวิตของแฟรงค์ทั้งชีวิตมีแต่งาน ซึ่งทำให้วิลเห็นได้อย่างชัดเจนว่า การทำงานของแฟรงค์ตลอด 28 ปีจะเหนือกว่าการทำงานของวิลที่เพิ่งทำได้เพียง 4 เดือน ถึงแม้จะมีเรื่องจุกจิกเล็กๆ น้อยๆ ของวัน แต่ละสนามไม่มีใครคาดคิดว่าในช่วงบ่ายนี้จะกลับกลายเป็นเหตุระทึกขวัญที่สร้างหายนะที่จะกำลังกลายเป็น — สิ่งเดียวที่ทดสอบความกล้าของบุรุษคู่นี้ ทั้งสองที่กลายเป็นฮีโร่ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้สร้างภาพยนตร์ โทนี่ สก็อต เป็นผู้ช่ำชองในวงการภาพยนตร์ — อาทิเรื่อง “Crimson Tide,” “Man on Fire,” “True Romance” และ “Top Gun” — ล้วนเป็นภาพยนตร์ที่มีการผสมผสานกันระหว่างแอคชั่นที่ไม่หยุดนิ่ง พร้อมด้วยตัวละครต่างๆ ที่มีการขัดเกลา ทำให้ผู้ชมยิ่งอินกับฉากแอคชั่นและดราม่ามากขึ้น ผลงานจากความพยายามล่าสุดของเขา ในภาพยนตร์เรื่อง UNSTOPPABLE ด่วนวินาศหยุดไม่อยู่ ยิ่งเพิ่มความล้ำค่าที่มากขึ้น เป็นการพิสูจน์ถึงความสามารถอันยิ่งใหญ่ของสก็อตอีกครั้ง ในการผสมผสานแอคชั่น, ตัวละคร, ฉากดราม่าและอารมณ์ความรู้สึกของภาพยนตร์ “มันเป็นภาพยนตร์ที่เริ่มต้นที่ความเร็ว 50 ไมล์ต่อชั่วโมง และสิ้นสุดลงที่ 150 ไมล์ต่อชั่วโมง มันเป็นความเร็วที่เพิ่มทวีตัวขึ้น” สก็อต ผู้ที่ยอมรับว่าภาพยนตร์เรื่อง UNSTOPPABLE ด่วนวินาศหยุดไม่อยู่ เป็นโปรเจ็กต์สุดหินทั้งร่างกายและจิตใจที่เขาต้องแบกรับภาระเอาไว้ แต่สก็อตกำลังอ้างถึงความท้าทายที่มากกว่าด้านการคำนวณการถ่ายทำภาพยนตร์ บนยวดยานที่เคลื่อนตัวพุ่งไปบนรางรถไฟด้วยความเร็ว 50 ไมล์ต่อชั่วโมง หรือภาพยนตร์ที่ใช้ตัวแสดงแทนในฉากตื่นเต้นระทึกขวัญอย่างต่อเนื่อง การนั่งในพื้นที่ 6 x 9 ฟุตบนรถไฟสีฟ้าเหลืองขบวน 1206 โดยส่วนใหญ่ของภาพยนตร์ ที่ทำให้มีอุปสรรคในฉากของมันเอง และการทำให้ตัวละครดูน่าสนใจ คือภารกิจที่ท้าทายที่สุดสำหรับผู้กำกับ “นี่เป็นความท้าทายขั้นสูงสุดและเป็นการผจญภัยอันงดงามที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมาก่อน เพราะผมได้บอกเรื่องราวตัวละครที่อยู่ในบางที่ ซึ่งมีการเคลื่อนตัวไปอย่างรวดเร็วที่สุด” สก็อต กล่าวว่า “มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการแสดงตลอดเวลา — ผมมองตัวละครเหล่านี้เป็นอย่างไรในแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน และต้องมีความจริงใจสร้างให้อยู่ในความเป็นจริงของเรื่อง” ในการรักษาให้ภาพยนตร์และตัวละครอยู่ในโทนแห่งความเป็นจริง ส่วนใหญ่แล้วสก็อตจึงเลี่ยงการใช้เทคนิค CGI และเลือกใช้การแสดงจริง รวมถึงความสามารถของตัวนักแสดงแทนที่มีความสร้างสรรค์ที่สุดของวงการบันเทิง ดราม่าอันยิ่งใหญ่ที่ควบคู่ไปด้วยความทันสมัยของเรื่องราวภาพยนตร์ของสก็อต รวมถึงความชำนาญทางด้านมุมมองของเขาได้สร้างความดุร้ายและการขับเคลื่อนที่มีเสน่ห์ “ความท้าทายขนานแท้ของภาพยนตร์เรื่อง UNSTOPPABLE ด่วนวินาศหยุดไม่อยู่ คือการนำเสนอพัฒนาการของตัวละครที่มีชื่อว่า แฟรงค์ [ เดนเซล วอชิงตัน ] และวิล [ คริส ไพน์] ที่ต้องแบกภาระการเดินทางอันยิ่งใหญ่นี้ ด้วยความพยายามหยุดยั้งรถไฟขบวนวินาศที่หยุดไม่ได้” ผู้กำกับ กล่าวว่า “แต่อย่างแรกเลย พวกเขาต้องมาจากความคิดเห็นที่แตกต่างกัน” ก่อนสก็อตจะสร้างความไร้ที่ติลงไปในโปรเจ็กต์ ผู้อำนวยการสร้าง จูลี่ ยอร์น และ มิมี่ โรเจอร์ส เสนอไอเดียภาพยนตร์เรื่อง UNSTOPPABLE ด่วนวินาศหยุดไม่อยู่ ให้กับผู้เขียนบทภาพยนตร์ มาร์ค บอมแบ็ค ผู้วางคอนเซปต์ให้รถไฟเป็นวายร้ายของเรื่อง “เหมือนเด็กทั่วไป ตอนเป็นเด็กผมชอบพวกรถไฟนะ” บอมแบ็ค กล่าวว่า “แต่ผมไม่ถึงขนาดเป็นแฟนพันธุ์แท้ ผมเริ่มทำการศึกษาข้อมูลของภาพยนตร์จากจุดที่ผมไม่มีความรู้อะไรเลย รถไฟคือสิ่งที่มีอยู่ทั่วไป แต่เราไม่เคยคิดว่าทั่วประเทศต้องมีการอาศัยรถไฟ ฉะนั้นมันเหมือนเรื่องราวที่น่าสนใจในการทำเป็นภาพยนตร์ ไม่มีการทำเรื่องรถไฟมาพักหนึ่งแล้ว ผมเลยคิดว่านี่น่าจะเป็นอีกวิธีใหม่ที่จะนำเสนอถึงพวกเขา มันเป็นเรื่องเก่าที่จะเอามานำเสนอในรูปแบบใหม่” เป้าหมายหลักของบอมแบ็คในการบอกเล่าเรื่องราวที่ยังรักษาระดับความรุนแรงเอาไว้ กล่าวว่า “เราอยากให้ผู้ชมคิดว่า แฟรงค์หรือวิลจะตายลงตอนไหนก็ได้ และภาพยนตร์ก็ยังเดินเรื่องต่อได้อยู่” บอมแบ็ค กล่าวว่า “เพราะทางที่ดีที่สุด ผู้ชมจะเข้าใจได้ว่ารถไฟจะไม่ตกรางจนกว่าจะจบเรื่อง ฉะนั้นคำถามคือเรารักษาความเครียดนั้นเอาไว้ให้คงอยู่ได้อย่างไร? ผมทำอย่างดีที่สุดเพื่อให้มันอยู่ในความเป็นจริงที่ยอมรับได้ และไม่ออกไปไกลจนเกินไป” บอมแบ็คทำการเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างไม่เร่งรีบเป็นเวลา 2 ปีก่อนที่ โทนี่ สก็อต จะเข้ามามีส่วนร่วม ผู้กำกับกล่าวว่านี่เป็นครั้งแรกและน่าจะเป็นครั้งสุดท้ายในอาชีพของเขา เมื่อสตูดิโอของเขาได้ทำร่างแรกที่ไม่มีการจดบันทึกใดๆ ก่อนมีการรวมตัวกันระหว่างทีมงานและนักแสดง “บทภาพยนตร์ของมาร์คเป็นตัวพลิกสถานการณ์ที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยอ่านมาก่อน” สก็อต กล่าวว่า “ผมอ่านผ่านๆ ตัวละครมีความหนักแน่นขึ้นตามเรื่องราวที่ปรากฏให้เห็น และฉากแอคชั่นก็ประคับประคองตัวมันเองได้ มันมีแรงขับเคลื่อนไปข้างหน้าและไม่เคยยอมแพ้” สก็อตหวนคืนสู่นักแสดงโปรดของเขาอีกครั้ง เดนเซล วอชิงตัน นักแสดงผู้คว้ารางวัล Academy Award? เพื่อเป็นนักแสดงนำของกลุ่มนักแสดงเล็กๆ ที่ถูกคัดเลือก ภาพยนตร์เรื่อง UNSTOPPABLE ด่วนวินาศหยุดไม่อยู่ เป็นการร่วมงานกันของพวกเขาครั้งที่ 5 หลังจากภาพยนตร์เรื่อง “Crimson Tide,” “Man on Fire,” “D?j? Vu” และ “The Taking of Pelham 123” สก็อตกล่าวถึงวอชิงตันว่า “ภาพยนตร์ทุกเรื่องที่เดนเซลกับผมได้ทำงานร่วมกัน เขาถูกเลือกให้เข้ามารับบทบาทที่ตรงข้ามกับบุคลิกของเขาเสมอ “พวกเราแต่ละคนและแต่ละสิ่งที่ได้รับมอบหมายในชีวิตของพวกเรา ต่างมีบุคลิกลักษณะที่แตกต่างกันไป และเดนเซลมีความถนัดในการสวมบทบาทที่เหมาะสมกับโปรเจ็กต์ที่ได้รับมา” “ผมไว้ใจโทนี่ เขาเป็นผู้สร้างภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ และผมสนุกสนานที่ได้ร่วมงานกับเขา” วอชิงตัน กล่าวว่า “เรารู้ว่าเราต่างต้องการอะไร ผมรู้ว่าหลังจากนั้นเขาเป็นอย่างไร เขาก็รู้ว่าผมมีการทำงานเป็นอย่างไร เราแยกตัวทำงานกันอย่างเป็นอิสระ โทนี่เป็นคนมีความกระตือรือล้นมาก และทีมงานของเขารักการทำงานเพื่อเขา ฉะนั้นการทำงานร่วมกับเขา มันง่ายมาก” วอชิงตันสร้างการค้นหามากมาย ทั้งในความแตกต่างข้อใหญ่ๆ — รวมทั้งอายุ, ด้านเศรษฐกิจ, ประสบการณ์และทัศนคติ — ระหว่างตัวละครของเขา, แฟรงค์ และตัวละครของ คริส ไพน์ ที่มีชื่อว่า วิล “นี่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับช่องว่างระหว่างวัยด้วย” วอชิงตัน ยืนยันว่า “ทุกวันนี้มีธุรกิจการค้ากี่ประเภทที่ถูกกระทบโดยเศรษฐกิจที่กำลังดิ่งลง และขับไล่คนรุ่นเก่าออกไป เอาคนรุ่นใหม่เข้ามา แรงงานขั้นต่ำเข้ามาแทนที่บุคลากรที่มีประสบการณ์ จริงๆ แล้วแฟรงค์กำลังสอนคนรุ่นใหม่ว่า จะทำงานกับเขาอย่างไรที่เขาจะทดแทนที่ตัวเขาได้” วอชิงตัน อธิบายว่า “คงไม่ต้องบอกว่า แฟรงค์ไม่ได้มีความสุขเกี่ยวกับมันมากมาย” พนักงานใหม่คือ วิล โคลสัน ที่รับบทแสดงโดย คริส ไพน์ วอชิงตันเสนอแนะให้สก็อตคัดเลือกนักแสดงนำจากภาพยนตร์เรื่อง “Star Trek” และสก็อตเห็นด้วย โดยเฉพาะหลังจากที่เห็นชื่อเสียงของไพน์จากการแสดงภาพยนตร์เรื่อง “Farragut North” ที่รับบทแสดงเป็นชายหนุ่มที่มีชีวิตเหมือนจะเป็นอิสระ วิลไม่แน่ใจกับอะไรๆ เกือบทุกอย่าง และสิ่งที่ฝืนใจคือเขาต้องรับช่วงต่อจากธุรกิจของครอบครัวเขา ด้วยการเป็นพนักงานคนใหม่ของทางรถไฟ AWVR “วิลมาจากครอบครัวที่เป็นพนักงานรถไฟ” ไพน์ กล่าวว่า “เขาโตขึ้นใต้ร่มเงาของครอบครัวที่ตอนนี้เป็นบุคคลสำคัญแห่งทางรถไฟ วิลออกมาเพื่อหาทางเดินของตัวเอง แต่เมื่อมันกลับกลายเป็นความยากลำบากเกินกว่าที่เขาคาดหวังเอาไว้ เขาจึงกลับไปยังบ้านเกิด เพียงเพื่อมารับรู้ว่าการกลับบ้านยิ่งยากลำบากยิ่งกว่า แม้ว่าเขาจะลังเลใจ เขาก็กำลังสร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ให้ทางรถไฟ . . .สำหรับตอนนี้” เขาต้องแยกตัวออกจากภรรยาและลูกชาย หลังจากอารมณ์โกรธของเขาที่ครอบงำด้านดีของเขา วิลออกไปทำงานในวันที่เลวร้ายนั้นทั้งๆ ที่ไม่มีจุดมุ่งหมายที่เจาะจง เขาแค่อยากผ่านพ้นวันนั้นไป “วิถีทางของวิลเหมือนคนเห็นแก่ตัวที่อยากหาความสำเร็จในแบบของเขา” ไพน์ กล่าว “เขารู้สึกว่าเขาล้มเหลว มันเลยมีแต่ความเกลียดชังตัวเองเกิดขึ้น ความกดดัน 2 สิ่งทั้งจากครอบครัวของเขาและการฝึกงานกับคนที่ไม่ชอบใจ ที่ทำให้งานยากเท่าที่จะทำได้ และมันเพิ่งทับถมกันจนเป็นภูเขาไฟ” จากการแสดงความเห็นที่ต่อต้านเกี่ยวกับคนยุคใหม่ว่า มีความแตกต่างจากคนรุ่นเก่า แฟรงค์ บาร์นส ก็มีชีวิตความเป็นอยู่ในทำนองเดียวกัน เขาต้องห่างเหินกับลูกสาวทั้งสองและคนที่เขาหมดหวังจะสานสัมพันธ์ใหม่ แฟรงค์แค่อยากทุ่มเวลาไปกับการทำงาน ก้มหน้าก้มตาทำงานให้เสร็จสิ้น “เช่นเดียวกับวิล แฟรงค์เป็นคนที่ได้หยุดกับการประเมิณค่าตัวเอง ถึงแม้เพื่อเหตุผลที่แตกต่างมากกว่าและความเป็นมืออาชีพมากกว่า” บอมแบ็ค กล่าวว่า “เขารวบรวมความรู้และความเชี่ยวชาญมากมายมาหลายปี และเขาเผชิญหน้ากับไอเดียที่อาจไม่มีค่าใกล้กับสิ่งที่เขาคิดว่ามันควรจะเป็น” “แฟรงค์ไม่มีอะไรจะไปเปรียบเทียบกับวิลทางด้านส่วนตีวได้เลย” วอชิงตัน กล่าวว่า “เขาและพวกคนที่เหมือนเขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้พวกพนักงานรถไฟรุ่นเก่ากำลังถูกไล่ออก แม้ว่าพี่และลุงของวิลจะเป็นคนใหญ่คนโตในวงการธุรกิจ อย่างที่แฟรงค์บรรยายเอาไว้ วิลเพิ่งจะเป็นสมาชิกของ Lucky Sperm Club “แฟรงค์ไม่ยอมรับพวกพนักงานใหม่ด้วยซ้ำ” เขากล่าวต่อว่า “เขามองไม่เห็นหัวใคร เหมือนพวกเขาไม่มีตัวตนอยู่ แต่เมื่อมันเกิดขึ้นในวันผิดปกตินี้ แฟรงค์ก็ได้มอบหมายเด็กใหม่ให้เป็นพนักงานรักษารถของเขา ในฐานะคนขับรถไฟ แฟรงค์เป็นแค่คนขับ แต่เขารู้สึกเหมือนรถไฟขบวน 1206 เป็นรถไฟของเขา” การอยู่ร่วมกันบนรถไฟขบวน 1206 เริ่มต้นอย่างไม่ราบรื่น พร้อมด้วยชายทั้งสองที่ให้ความสนใจกับเรื่องส่วนตัวมากกว่าภาระหน้าที่ในมือ แต่ก่อนที่ครึ่งวันแรกจะผ่านพ้นไป พวกเขาพบว่าต้องพักเรื่องครอบครัวและเรื่องของอีกฝ่ายเอาไว้ข้างๆ ก่อน และให้ความสนใจว่าจะทำอย่างไรที่จะหยุดยั้งรถไฟอันทรงพลังที่กำลังมุ่งหน้ามาหาพวกเขา เมื่อเรื่องราวปรากฏขึ้น และมหันตภัยร้ายก็ยิ่งก่อตัวชัดขึ้น คนแปลกหน้าทั้งสองถักทอความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นได้กว่าที่พวกเขาเคยคิดเอาไว้ มากกว่าสิ่งที่ไม่คาดคิด และสิ่งที่สะเทือนอารมณ์ว่า ชายแต่ละคนจะยอมเดิมพันชีวิตตัวเองขนาดไหน และได้รู้จักตัวเองอย่างที่ไม่เคยมาก่อน “แฟรงค์กับวิลต้องมาอยู่ร่วมกันในเหตุการณ์ที่อันตรายและรุนแรงพวกนี้” วอชิงตัน กล่าวว่า “พวกเขาค้นพบตัวเองมากขึ้น เพราะพวกเขาต้องเลือกว่า พวกเขาจะยอมทำอะไรแบบนี้หรือไม่? แฟรงค์รู้ดีว่าเขาต้องพยายามที่จะช่วย แต่วิลลังเลใจในตอนแรก แต่ท้ายที่สุดก็ต้องแสดงความเป็นลูกผู้ชายออกมาเต็มตัว” “ชายทั้งสองต่างอยู่ผิดที่ผิดเวลา” บอมแบ็ค กล่าวว่า “มันคือสถานการณ์ที่ชี้เป็นชี้ตาย พนักงานรักษารถคนใหม่มีประสบการณ์พอที่จะรู้ว่า ไม่มีทางที่การไล่ล่าหัวรถจักรจะปลอดภัยได้ แต่เขาจะมั่นใจคนที่ทำงานด้านทางรถไฟมาเป็นเวลา 30 ปี เพื่อวางใจว่าเขาจะทำให้แผนการของแฟรงค์สำเร็จได้หรือไม่? เมื่อการต่อสู้ของพวกเขามาถึงจุดสำคัญ และเขาทั้งคู่ต่างพบว่าเขาร่วมมือกันได้เป็นอย่างดี” “เมื่อวิลถูกจับโยนเข้าไปสู่สถานการณ์ที่ เขาต้องเลือกว่าจะทำตามหน้าที่ หรือพยายามรักษาเมืองเหล่านี้และเป็นผู้เสียสละ” ไพน์ กล่าวว่า “นั่นคือสิ่งที่แฟรงค์ได้สอนเขาไว้จริงๆ วิลมีส่วนที่หล่อหลอมภายในความขัดแย้งภายในของเขาที่มันพาไปสู่สถานการณ์ขั้นขีดสุดที่บังคับให้เขาต้องสลัดคราบตัวเองออกมา ต้องกระตือรือล้น หยุดคิดเกี่ยวกับตัวเอง และทำอะไรสักอย่างเพื่อผู้อื่น ที่ในท้ายที่สุดคือสิ่งที่ช่วยเขาอย่างแท้จริง “วิลเป็นคนค่อนข้างหัวแข็ง” ไพน์ กล่าวเสริม “เขาคิดว่าเขารู้ดีทุกอย่าง แต่เราก็พบว่ามันไม่ใช่ และแฟรงค์ต่างหากที่ถูกต้อง 100% ในทุกสิ่ง เขาพบว่าผู้ควบคุมรุ่นเก่าหรือพวกหัวโบราณอย่างที่พนักงานรถไฟเรียกตัวเอง เขารู้เรื่องราวหนึ่งอย่างหรือสองอย่าง และในท้ายที่สุดเขาก็นับถือแฟรงค์ และอีกหลายๆ อย่างที่เขาพบว่ามันเป็นจริง” วอชิงตันไม่ได้เกิดความประทับใจง่ายสักเท่าไหร่ แต่เขาบรรยายว่าไพน์เป็นคนที่กำลังจะเลื่อนขั้นและมีอนาคตอย่างเห็นได้ชัด ในทางกลับกันไพน์เสนอบทเรียนสิ่งต่างๆ ให้ด้วยการ เฝ้าดูวอชิงตันทำงานและเก็บมันเอาไว้เพื่อใช้ในอนาคต “เดนเซลกระตุ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้ทำงานที่ดีกว่าเดิม” ไพน์ กล่าวว่า “เขาเข้าใจยากในทุกอย่างที่ดีที่สุด และเขาแสดงให้เห็นอย่างหมดเปลือกเลยว่าแต่ละคนมีความแตกต่าง แต่ละคนมีคุณลักษณะพิเศษ และหากเราถูกเสนอและให้ความสนใจ เราก็สามารถแสดงออกมาได้ถึงความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ พวกนั้น ที่ทำให้ตัวละครมีความลึกซึ้งมากขึ้น เดนเซลทำสิ่งที่เขาทำอย่างดีที่สุดแล้ว ผมเลยได้รับบทบาทของผมมาจากเขา” ขณะที่แฟรงค์กับวิลเผชิญหน้ากับอันตรายที่ใกล้เข้ามา สิ่งเดียวที่ปลอบใจพวกเขาได้คือเสียงของ คอนนีย์ ฮูเปอร์ (โรซาริโอ ดอว์สัน) ทางวิทยุที่ประจำอยู่ที่สถานีเก็บรถไฟมิงโก ที่หัวรถจักรอันหยุดไม่อยู่เริ่มต้นจากการเป็นขบวนรถไฟธรรมดา เสียงของคอนนีย์เป็นทั้งผู้ให้เหตุผลและคอยชี้นำทางตลอดเส้นทางความหายนะ “คอนนีย์ทำหน้าที่เป็นอีกมุมมองหนึ่งของทางรถไฟ” บอมแบ็ค กล่าวว่า “ท้ายที่สุดเธอเป็นคนที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของผู้มีอำนาจบริหาร เพราะเธอสามารถใช้ระบบทางรถไฟ ที่เป็นเหมือนโอกาสควบคุมชะตาชีวิตของเธอได้อย่างเต็มที่” “คอนนีย์เป็นหญิงแกร่ง” นักแสดงหญิง โรซาริโอ ดอว์สัน กล่าวว่า “เธอมีความมั่นใจและมีความมุ่งมั่น โดยไม่มีความหยิ่งหรือเป็นภัยกับผู้อื่น ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นมากหากเราอยากประสบความสำเร็จในสิ่งเป็นบทบาทของผู้ชายในสมัยก่อน เห็นได้ชัดว่าสถานีรถไฟเป็นโลกของผู้ชายจริงๆ “มันเป็นความท้าทายที่เราต้องมั่นใจว่า ผู้ชายที่อยู่รอบๆ จะได้ยินเสียงของคอนนีย์” เธอกล่าวต่อว่า “ไม่ใช่เฉพาะผู้ชายที่เธอควบคุมเท่านั้นนะ ยังรวมถึงผู้บริหารระดับสูงด้วย ต้องสามารถได้ยินเสียงเธอได้และต้องเชื่อฟังด้วย เพราะอาชีพของเธอมีการเดิมพันด้วยชีวิต” แม้ว่าก่อนที่คอนนีย์จะทราบว่ารถไฟได้ออกจากสถานีของเธอไปโดยไม่มีคนควบคุม ในเช้าของเดือนตุลาคมอันเร่งรีบ เป็นการเริ่มต้นวันที่ไม่สวยงามนักสำหรับเธอ เมื่อเธอกลับมาทำงานสาย เธอพบหน้ากับผู้ตรวจสอบความปลอดภัยที่ไร้ชีวิตชีวา โดยบังเอิญจากหน่วยงานรถไฟของรัฐที่ส่งให้มาช่วยเธอ ในการเป็นเจ้าบ้านทริปภาคสนามของโรงเรียนประถมที่มาศึกษาความรู้เกี่ยวกับระบบความปลอดภัยของรถไฟ ซึ่งเป็นความเพียรพยายามที่ใช้เวลามากเกี่ยวกับสิ่งที่เธอต้องรับผิดชอบทั้งหมด เมื่อผู้ช่วยผู้ดูแลสถานีรถไฟเกิดอารมณ์ขันบนความทุกข์ทรมาณของเธอ เธอยิ่งท้อใจและคิดว่าวันนี้จะเป็นวันที่ยาวนานเป็นพิเศษ หากเธอจะรับรู้มันได้ “เธอจะคอยประกาศแจ้งสาเหตุในสถานการณ์คับขัน” ดอว์สัน กล่าวเสริมว่า “แม้ว่าเธอจะทำตามโครงร่างระเบียบการในคู่มือที่คุกรุ่นด้วยฝุ่นบางเล่มแล้ว เธอก็ต้องมีความยึดมั่น เดินหน้ายืนกรานและตัดสินใจด้วยความมั่นใจ แต่เธอไม่จำเป็นต้องใช้มัน เวลามันมาสู่รถไฟที่มีขนาดเท่าอาคารไคส์เลอร์ ที่เคลื่อนที่เหมือนขีปนาวุธเข้าไปยังกลุ่มประชากรที่แน่นขนัด” นักแสดงนำทั้ง 3 ยอมรับว่ารถไฟที่หยุดไม่อยู่ — ขบวน 777 — แย่งซีนพวกเขาไปหมด “รถไฟขบวน 777 เป็นนักแสดงตัวจริงของภาพยนตร์เรื่องนี้” วอชิงตันกล่าวอย่างเฉยๆ เช่นเคย “มันเหมือนฉลามในเรื่อง ‘Jaws’ มันเป็นอสูรกายในจังหวะที่มุ่งหน้าจะทำลายผู้คนและเมืองต่างๆ — บางสิ่งหรือทุกๆ อย่างที่อยู่บนทางของมัน คริส ไพน์กับผมเป็นแค่ตัวประกอบ มันเกี่ยวกับรถไฟทั้งหมด นั่นแหละเหตุผลทำไมถึงมีชื่อเรื่องว่า UNSTOPPABLE ด่วนวินาศหยุดไม่อยู่” “รถไฟเป็นเหมือนตัวแทนที่แท้จริงของสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของวิล” ไพน์ กล่าวเสริมว่า “ในจุดเริ่มต้นทุกอย่างดูเหมือนจะไปได้สวย แต่ทุกอย่างก็เลวร้ายลงอย่างกระทันหันและรวดเร็ว” “เราเรียก [รถไฟ] ว่า ‘อสูรการตอง 7” โทนี่ สก็อต กล่าวว่า “มันมีเสียงด้วยนะ เหมือนฉลามในเรื่อง ‘Jaws’ หรือเหมือนรถในภาพยนตร์ [ที่เป็นเรื่อง สตีเฟ่น คิง เกี่ยวกับยวดยานผีสิงที่เข้ามาคุกคามย่านชุมชน] เรื่อง ‘Christine’ เราสร้างเสียงให้เจ้าอสูรกายขึ้นมาในขั้นตอนโพสต์โพรดักชั่น” แฟรงค์ วิล และคอนนีย์ไม่ได้ต่อสู้กับการหยุดยั้งอสูรกายอย่างโดดเดี่ยว คอนนีย์ได้รับการช่วยเหลือจากผู้ช่วยผู้ดูแลสถานีรถไฟของเธอที่มีชื่อว่า บันนี่ แสดงโดย เควิน แชมพ์แมน และ เวอร์เนอร์ คนเพี้ยนๆ ที่เป็นผู้ตรวจสอบความภัยที่ไม่ค่อยเต็ม แสดงโดย เควิน คอร์ริแกน ที่เพิ่งไปเยี่ยมสถานีรถไฟฟุลเลอร์เมื่อตอนเช้าของวันโหดร้ายนั้น “คอนนีย์ บันนี่ และ เวอร์เนอร์ กำลังมองไปยังผนังที่มีแสงไฟกระพริบ” ดอว์สัน อธิบายว่า “แสงไฟทุกจุดนั้นคือบ้าน, ฟาร์ม, โรงเรียน, ธุรกิจของใครสักคน แฟรงค์และวิล ออกมาเพื่อดูสภาพบ้านและพวกธุรกิจที่มีอยู่ตอนนี้ ซึ่งเป็นที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว พวกเขากำลังเคลื่อนที่ถอยหลังไปตามรางรถไฟที่วิ่งไปอย่างรวดเร็ว จนเกือบจะตกราง แต่พวกเขาไม่อยากให้เราตกใจกลัว พวกเขาอยากให้เราจัดเตรียมข้อมูล เพื่อที่เขาจะได้ตัดสินใจให้ดีที่สุด แต่ละกลุ่มก็มีมุมมองว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น และพวกเขาต้องสื่อสารกันระหว่างโลกแห่งรถไฟและห้องควบคุมรถไฟ” หลังจากคอนนีย์พบว่าอสูรกายได้เคลื่อนที่ออกจากสถานีรถไฟไปแล้ว สัญชาตญาณของเธอบอกทันทีว่าให้รีบโทรขอความช่วยเหลือจากพนักงานรถไฟสถานีอื่นด้วยการยืนหยัด ช่างเชื่อมโลหะ เน็ด โอล์ดแฮม แสดงโดย ลู เท็มเพิล เน็ดเป็นพวกชอบเข้าสังคม เขารักที่จะสร้างความบันเทิงให้กับสาวๆ ด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับความกล้าหาญ แต่พอมาถึงเรื่องงาน เขาก็เอาจริงเอาจังกับมัน “เน็ดเป็นคนขับรถไฟพิการที่มีความท้อแท้สิ้นหวัง” เท็มเพิล เล่าว่า “เขาทำตัวเป็นพวกโอ้อวดและวางท่ามากมาย และเมื่อโอกาสมาถึงเขาก็มีความกระตือรือล้นที่จะสร้างวีรกรรมแห่งรางรถไฟ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งเดียวที่เขาต้องการ คอนนีย์ออกคำสั่งอันยาวเหยียดมาให้ เขาก็ไม่ได้วางมือเลย เขาเดินหน้าลุยกับทุกอุปสรรค เขาขับรถออฟโรด เขากลายเป็นทหารม้า เขาอาจจะอยู่แถวหน้าแต่ในช่วงเวลารคับขัน เขาก็จะแสดงตัวออกมา สมรรถภาพของมนุษย์ที่เพิ่มขึ้นเหนือกว่าตัวพวกเขาเอง นั่นแหละคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเรื่องนี้” เกี่ยวกับการสร้างภาพยนตร์ ด้วยประสบการณ์อันยาวนานในภาพยนตร์แอคชั่น เดนเซล วอชิงตัน รู้ดีว่าเขาต้องการใช้นักแสดงแทนยาวนานขนาดไหน โดยไม่มีสิ่งใดจะพิสูจน์หลังจากประสบการณ์ในภาพยนตร์มามากมาย เขาเป็นคนชัดเจนมาก เกี่ยวกับสิ่งที่เขาจะทำและไม่ทำ และด้วยฐานะที่เขาลงมือเป็นผู้กำกับเอง เขารู้ดีว่าฉากแอคชั่นระยะใกล้ต้องการอะไร แต่ถึงแม้วอชิงตันจะถูกดูดให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงฉากโลดโผนที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนของภาพยนตร์ ด้วยเสน่ห์ในตัว โทนี่ สก็อต และความหลงใหลในสิ่งคล้ายกัน “ผมต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ” วอชิงตันหัวเราะ พยายามอธิบายเหตุผลว่า ทำไมบนโลกใบนี้เขายอมที่จะวิ่งกระโดดข้ามอยู่ด้านบนรถไฟที่กำลังเคลื่อนตัวอยู่ ซึ่งเป็นหนึ่งในฉากแอคชั่นอีกจำนวนมาก “รถไฟวิ่งไปตามรางด้วยความเร็ว 50 ไมล์ต่อชั่วโมง ผมวิ่งกระโดดข้ามอยู่ด้านบน เฮลิคอปเตอร์ก็กำลังบินเฉี่ยวเหนือผมเพียง 10 ฟุต ผมก็เกาะอยู่ด้านข้าง บ้ามั้ยล่ะ! ผมดีใจสุดๆ ที่สตั๊นท์แมนของผมออกจากเมืองไป เพราะผมรู้ดีว่าโทนี่จะไม่ร้องขอให้ผมทำงานร่วมกับเขาอีก” เขากล่าวติดตลก ตอนแรกสก็อตขอให้วอชิงตันวิ่งกระโดดข้ามรถไฟที่มีฐานค่อนข้างเตี้ย ที่สร้างขึ้นมาให้ดูเหมือนด้านบนของรถไฟ ช้าแต่ชัวร์ วอชิงตันอุ่นใจขึ้นมากับการเคลื่อนไหว และก่อนที่เขารู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น สก็อตก็ได้สลับฐานแห่งความเสี่ยง โดยการจัดวางตู้รถไฟของจริงบนฐานถ่ายทำด้วยระบบเครื่องลากและลูกรอก “โทนี่เป็นคนสุภาพมาก เขาไม่พูดอะไรเลย” วอชิงตัน กล่าวว่า “พวกเขาอุ่นเครื่องผมและก่อนที่ผมจะรู้ว่า ผมต้องลงเอยอยู่บนรถไฟ รถไฟต่างๆ มีความสูงมากกว่าที่เราจะจินตนาการเอาได้ และพวกคนขับเฮลิคอปเตอร์ [อลัน เพอร์วิน และ เฟร็ด นอร์ธ] กำลังบินโฉบไปมาระหว่างต้นไม้และขบวนรถไฟขึ้นลงและไปรอบๆ อย่างที่ คริส ไพน์ บอกเอาไว้ว่า ‘นั่นเป็นช่วงเวลาที่เกือบฉี่รดเลยล่ะ’” เขาหัวเราะ [เคลย์ ดอนาฮิว ฟอนต์นอท สตั๊นท์แมนจะต้องแสดงแทนวอชิงตันสำหรับบางฉากที่อันตราย ที่สตูดิโอ (และการประกันภัย) ไม่ยอมอนุญาตให้วอชิงตันแสดง] “ตอนที่ผมอ่าน ผมลืมไปว่าผมต้องแสดงสิ่งที่เขียนเอาไว้ในบทภาพยนตร์จริงๆ” ไพน์ กล่าวว่า “แม้ว่านั่นจะหมายความถึงทุกๆ ฉากเราใช้สถานที่ในโบกี้รถไฟ หรือแม้แต่ตัวละครของผมกระโดดจากด้านหลังของรถบรรทุกที่วิ่งด้วยความเร็ว 50 ไมล์ต่อชั่วโมงไปยังรถไฟที่วิ่งเร็วกว่าก็ตาม” ฉากหนึ่งที่มีความหวาดเสียว วิลต้องพยายามเชื่อมขอเกี่ยวรถไฟสองขบวนที่กำลังเคลื่อนที่อยู่ด้วยความกล้าหาญ ขณะที่ขบวนรถไฟกำลังกระแทกกัน โดยรถส่งสินค้าที่เต็มไปด้วยเมล็ดข้าว “แดเนียล สตีเฟ่นส์ เป็นสตั๊นท์ของผมที่น่าทึ่ง” เขากล่าวว่า “ตอนแรกเขาลื่นไถลไป เลยต้องใช้ความแข็งแกร่งของร่างกายส่วนบน เพื่อไม่ให้ถูกลากไปใต้ขบวนรถ แต่เขาก็ทำถึงห้าครั้ง!” ในฉากอื่นๆ ไพน์ถูกรัดอยู่บนเตียงด้วยรถบรรทุกที่เคลื่อนที่ไปตามทางขนานกับรางรถไฟ เป็นการเลียนแบบสตั๊นท์ของเขาที่กระโดดจากรถบรรทุกมาบนรถไฟ แม้ว่าในขั้นตอนการถ่ายทำจะไม่อนุญาตให้ไพน์แสดงแทนสตั๊นท์ เขาก็ปีนขึ้นไปยังกล่องอุปกรณ์โลหะที่ตั้งอยู่บนเตียงและกระโดดหลอกๆ “ผมคงต้องเชื่อใจในคนขับรถสตั๊นท์และภาวนาสุดชีวิต” เขากล่าวว่า “มีพวกแมงลงและยุงบนหน้าผม และถึงแม้ผมจะกระโดดหลอกๆ แต่ก็มีความเครียดที่รู้ว่าโทนี่มีกล้องกำลังถ่ายทำถึง 40 ตัว และมีเฮลิคอปเตอร์ที่บินโฉบ_อยู่บนศีรษะ แน่นอนว่าผมอยากทำให้งานออกมาดี และมองไปยังกล้องหลัก ฉะนั้นมีเสี้ยววินาทีตรงนั้นที่ผมกระเด็นไปด้านหลัง ขอบคุณพระเจ้าและเครื่องลากที่คว้าผมเอาไว้” “เห็นได้ชัดว่าความท้าทายอันยิ่งใหญ่ในการแสดงฉากโลดโผนใดๆ นั่นคือรถไฟ” แกรี่ โพเวล ผู้ประสานด้านสตั๊นท์ กล่าวว่า “ไม่ว่าจะเป็นสตั๊นท์ที่แสดงแทนหรือเป็นตัวนักแสดงเอง เราก็ต้องมีการป้องกันเอาไว้ก่อนเหมือนกัน เพราะหากมีใครตกลงไป รถไฟนั่นมันวิ่งไม่หยุด ล้อเหล็กของรถไฟจะบดขยี้หน้าของเรา ไปจนหูผ่าไปยังจมูกเพราะมันเป็นโลหะทั้งแท่ง เมื่อเรามีเหล็กหลายตันที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 40 ไมล์ต่อชั่วโมงบนรางรถไฟ ทั้งหมดมันน่ากลัวมาก แต่ในฉากแสดงผาดโผนเราแสดงจริง ซึ่งหาได้ยากในปัจจุบันเพราะใช้เทคนิค CGI กันมากมาย เราทำภาพยนตร์เรื่องนี้โดยใช้เทคนิคเก่าๆ ซึ่งมีการใช้นักแสดงผาดโผนของจริงกระโดดจากรถบรรทุกไปยังบนรถไฟ วิ่งกระโดดข้ามข้างบนและโหนตัวอยู่ด้านข้างด้วย เพราะด้านข้างที่อยู่ด้านล่างห่างจากศีรษะบางคนเพียงไม่กี่นิ้ว พวกเขาล้วนเป็นนักแสดงผาดโผนที่มีฝีมือ” วอชิงตันและไพน์ก็เหมือนกับผู้กำกับของเขา ที่ทำการศึกษาค้นคว้าข้อมูลอย่างกว้างขวาง ในโลกที่พวกเขาต้องเข้าไปมีส่วนร่วม ไม่ใช่แค่การใช้เวลาร่วมกับสก็อตและผู้เขียนบทภาพยนตร์ มาร์ค บอมแบ็ค พูดคุยถึงตัวละครและแนวโน้มของเรื่องราว นักแสดงทั้งคู่เก็บตัวอยู่ที่สถานที่เก็บรถไฟหลายอาทิตย์ เพื่อความเข้าใจถึงงานที่หลากหลายจากผู้ดูแลสถานีรถไฟไปยังพนักงานรักษารถ และการเรียนรู้ถึงกลเม็ดจากมืออาชีพตัวจริง ไม่ใช่แค่การเรียนรู้เกี่ยวกับคำศัพท์ทั่วไป แต่ยังได้บังคับหัวรถจักร รวมไปถึงงานที่อันตรายที่สุดอย่าง การเชื่อมและปลดรถไฟแต่ละขบวน หลังจากได้รับมอบหมายโปรเจ็กต์แล้ว อย่างแรกเลย โทนี่ สก็อต กลับไปหาผู้ออกแบบฉาก คริส ซีเกอร์ส และผู้จัดการด้านสถานที่ เจนิซ โพลีย์ เพื่อช่วยถักทอผลงานด้านภาพ เขาเริ่มกระบวนการด้วยลากภาพต่าง ที่จะย้ำเตือนเขาถึงภาพลักษณ์ องค์ประกอบและอารมณ์ความรู้สึกที่เขาต้องการเพื่อภาพยนตร์มาอยู่ด้วยกัน สำหรับสก็อตที่เป็นทั้งศิลปินและจิตรกร รูปภาพเหล่านี้บรรยายถึงสิ่งที่คำพูดไม่สามารถสื่อความหมายออกมาได้ ความกังวลแรกของซีเกอร์สคือการหารถไฟที่มีความเหมาะสม “เห็นได้อย่างชัดเจนว่ามันมีเรื่องราวมากมาย แต่ตัวรถไฟคือสิ่งที่เราให้ความสนใจเป็นอันดับแรก’ เขากล่าวว่า “ขนาด ภาพลักษณ์ สี ที่มีผลทำให้เรานึกถึงเวลาที่เราถ่ายทำอยู่ ฉะนั้นเรื่องสีจึงกลายเป็นส่วนสำคัญที่สุด เราต้องดูว่ารถไฟสองขบวนที่กำลังเอาชนะซึ่งกันและกันเป็นอย่างไร ก่อนที่เราจะมองที่สิ่งอื่นใดในแง่มุมของศิลปะ เราต้องคิดถึงเรื่องราวทางการเมืองภายในโลกแห่งรถไฟ เพราะทุกบริษัทมีภาพลักษณ์ของตัวเองอยู่ จากนั้นเราก็เริ่มจากที่มาของรถไฟ ต้องมั่นใจว่าเรามีรถไฟที่ถูกประเภท พวกเราส่วนใหญ่คิดว่ารถไฟก็คือรถไฟ แต่เมื่อเราได้ไปคลุกคลีกับมัน เราก็พบว่ารถไฟมีกี่ประเภทและมีกี่แบบ เวลาที่บริษัทรถไฟต่างๆ ซื้อรถไฟมาจากผู้ผลิต พวกเขาจะใช้กลอุบายล่อหลอกตามที่เขาต้องการ เพื่อความต้องการเฉพาะทางของพวกเขา “เราลงเอยโดยการเช่ารถไฟ 777 ถึงสี่ขบวน และดัดแปลงให้ทั้งหมดเป็นรถไฟร้างที่เคลื่อนที่โดยไม่มีคนขับ” เขากล่าวต่อว่า “เราทำแบบเดิมกับขบวน 1206 ที่มีการทำงานผ่านรีโมทคอนโทรล ไม่ว่าคนขับจะอยู่ในรถไฟหรือไม่ก็ตาม เพราะขบวน _ 1206 มีขนาดเล็กกว่าและเป็นต้นแบบที่มีความกะทัดรัดมากกว่า เราใช้ตาข่ายหุ้มแบบเดียวกับที่พวกนักโฆษณาใช้ประดับหุ้มรถประจำทาง ทุกอย่างที่เราเห็นจากภายนอกคืองานสีของโฆษณาที่หุ้มรถประจำทาง เราจะมองไม่เห็นข้างนอก ซึ่งมันค่อนข้างใช้ได้ผล” ทีมงานของซีเกอร์สสร้างหลายฉากที่มีความคล้ายกับสิ่งที่เขาเรียกว่า “องค์ประกอบเล็กๆ น้อยๆ” ของหัวรถจักรขบวน 1206 และ 777 “มันเป็นส่วนเล็กๆ เหมือนชิ้นส่วนจิ๊กซอว์” เขากล่าวว่า “เมื่อมันมีความชัดเจนว่าเราไม่สามารถสร้างฉากที่มีสตั๊นท์บนรถไฟจริงได้ เราก็ต้องสร้างหมวดหมู่ของหัวรถจักร รถไฟหลายขบวนที่มีความแตกต่าง และเพิ่มจำนวนของรถไฟขบวนที่มีความเร็วสูง มันเลยคล้ายกับรถไฟ แต่เราต้องสร้างชิ้นส่วนแต่ละชิ้นขึ้นมาใหม่ ฉะนั้นมันเลยใช้งานได้จากด้านหลังรถไฟหรือหัวรถจักร เราไม่มีทางใช้อะไรที่อยู่ข้างหน้ารถไฟที่กำลังเคลื่อนที่ได้เลย เราต้องคอยไล่ตามมันตลอด” เมื่อทีมงานผู้สร้างภาพยนตร์เดินทางมาถึงที่แคนตัน รัฐโอไฮโอ ซีเกอร์สและช่างทาสีของเขาทำงานอย่าร้อนรน เพื่อให้รถไฟขบวน 1206 เสร็จสิ้น และส่วนที่เหลือของขบวนรถไฟบริษัท AWVR จะสามารถทำงานได้ในวันแรกของการถ่ายทำ เมื่อการถ่ายทำภาพยนตร์เดินหน้าไป รถไฟมีความสกปรกมากขึ้นและแสดงให้เห็นถึงความสึกหรอและความปกติของการเดินทาง เช่นเดียวกับฉากที่เหมาะเจาะกับความเสียหายที่บรรยายในบทภาพยนตร์ “ในขั้นต้น โทนี่ให้ผมดูรูปของมอนทาน่า” ผู้ร่วมอำนวยการสร้างและผู้จัดการบริหารด้านสถานที่ เจนิซ โพลีย์ ที่ร่วมงานกับสก็อตมาเป็นเวลายาวนาน กล่าวว่า “ภูเขาต่างๆ หินสูงชัด ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่เหมือนอะไรบางอย่างที่มาจากโฆษณาของมาร์ลโบโร่ แต่จากนั้นเขาเห็นภาพของรางรถไฟที่สูงขึ้นของเส้นทางรถไฟ Wheeling & Lake Erie ที่มีความโค้งในเบลแลร์ รัฐโอไฮโอ สถานที่อื่นก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นจากจุดนั้น “เขายังได้รับแรงบันดาลใจมาจากรูปร่างของแหล่งอุตสาหกรรมที่มีโรงงานขนาดใหญ่ที่เสื่อมโทรม ในตอนกลางของสหรัฐอเมริกา” เธอกล่าวว่า “แต่เขาไม่อยากให้ภาพลักษณ์อุตสาหกรรมดูหยาบกระด้าง ไอเดียที่รถไฟจะวิ่งผ่านเมืองที่สวยงามไปยังเมืองเล็กๆ เหล่านี้ ได้เห็นวันที่สดใสขึ้นกว่าเดิมเป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับเขามากกว่า” โพลีย์และทีมงานของเธอค่อนข้างถูกจำกัดลิมิตในการค้นหาข้อมูล เมื่อพวกเธอพบว่าไม่สามารถหารางรถไฟที่มีขนาดใหญ่กว่าได้ เมื่อพวกเธอพบรางรถไฟที่เล็กกว่าที่เต็มใจและสามารถจัดเตรียมเที่ยวรถไฟให้ได้ ฝ่ายสถานที่ต่างๆ เริ่มทำการลาดตระเวนกันอย่างจริงจัง บางฉากที่มีความสำคัญมากในบทภาพยนตร์ ใช้สถานที่บนรางแยกสำหรับหยุดรถไฟ ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับรถไฟสามารถสลับไปยังรางหลักได้ เหมือนกับพื้นที่เพื่อจอดพักบนถนนสายใหญ่ๆ การเก็บภาพส่วนใหญ่เริ่มต้นที่บรูสเตอร์ รัฐโอไฮโอ ที่สถานีเก็บรถไฟบรูสเตอร์ ซึ่งอยู่ตอนใต้ของแคนตัน เมื่อวันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม 2009 หนึ่งอาทิตย์หลังจากการถ่ายทำภาพยนตร์ที่สถานีเก็บรถไฟ Wheeling & Lake Erie Railroad นักแสดงและทีมงานมุ่งหน้าจากทางตอนเหนือไปยังเพนซิลวาเนีย เพื่อจัดเตรียมออฟฟิศในแบรดฟอร์ด เพนซิลวาเนีย ประมาณ 5 ไมล์จากทางตอนใต้เพนซิลวาเนีย ติดพรมแดนนิวยอร์ค ทุกๆ วันทีมงานจะเดินทางไปยังพื้นที่ห่างไกลของ WNYP (ตะวันตกของนิวยอร์คและเพนซิลวาเนีย) รางรถไฟบรรทุกสินค้า บางครั้งต้องใช้เวลานานกว่าชั่วโมงเพื่อขับรถเข้าไปในเมืองเพนซิลวาเนีย ไปยังเมืองต่างๆ อย่าง พอร์ต อัลเลแกนี่, เอลเดร็ด, เทอร์เทิลพอยท์, บลันชาร์ด และเอ็มโพเรียม เช่นเดียวกับทางตอนเหนือไปยังโอลีน, นิวยอร์ค ในวันที่ 10 ตุลาคม ทีมงานได้เคลื่อนฐานทัพไปยัง State College (บ้านของ เพ็นน์ สเตท) ที่อากาศหนาวจัดเพียงชั่วข้ามคืน ทางตอนกลางของเพนซิลวาเนียที่ประสบกับพายุหิมะประหลาดในตอนปลายสัปดาห์แรกของการถ่ายทำ ทำให้ต้องหยุดการถ่ายทำไปหลายวัน พื้นที่แต่ละเอเคอร์ของสีสันไหล่เขาอันเจิดจ้าที่ครอบคลุมไปด้วยสีแดง, ส้ม และสีเหลือง เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลขุ่นเมื่อใบไม้แข็งตัวอยู่บนต้นไม้ และฤดูใบไม้ร่วงได้เปลี่ยนเป็นฤดูหนาวเพียงชั่วข้ามคืน ตอนนี้ทางทีมงานใช้รางรถไฟของ Nittany Bald Eagle ที่ทอดตัวยาวจากไทโรนไปสู่ ล็อค เฮเว่น ที่ให้บริการ พอร์ต มาทิลด้า, มาร์ธาส เฟอร์เนส ไมล์สเบิร์ก และ เบลเลฟอนเต้ รัฐเพนซิลวาเนีย ทีมงานใช้ข้อได้เปรียบจากความมีน้ำใจของรางรถไฟขนาดเล็ก และใช้หมู่บ้านเล็กๆ ทุกแห่งที่สามารถใช้ได้ ถัดมาคือการย้ายจากตอนใต้ไปยังพรมแดนหลายเมืองในทางตะวันออกเฉียงใต้ของโอไฮโอ ขนานกับ Wheeling & Lake Erie Railroad ซึ่งรวมถึงเบลแลร์, มาร์ติน เฟอร์รี่, มิงโก้ จังชั่น และ โซเบ็นวิล ขณะที่ทำการถ่ายทำในพื้นที่ ทีมงานส่วนมากพักอยู่ที่วีลลิ่ง ตะวันตกของเวอร์จิเนีย (บางคนพักอยู่ที่ Oglebay Resort ที่สวยงาม) หรือใกล้เคียงกับที่ เซนต์ แคลร์สวิล รัฐโอไฮโอ ซึ่งเป็นที่บรรจบกันของโอไฮโอ ตะวันตกของเวอร์จิเนีย และ เพนซิลวาเนีย อาทิตย์สุดท้ายของการถ่ายทำได้ใช้เวลาอยู่ที่สตูดิโอ Mogul Mind Studio ซึ่งเป็นที่ว่างของใจกลางเมืองพิตต์สเบิร์ก การถ่ายทำภาพยนตร์ปิดกล้องการถ่ายทำช่วงต้นในวันที่ 18 ธันวาคม ที่เอ็มโพเรียม ทีมงานถ่ายทำในสถานที่มีอุบัติเหตุรถไฟตกรางจริง ฉากสเปเชียลเอ็กเฟ็กต์ขนานใหญ่ที่ต้องปิดชุมทางหลักของหมู่บ้านเล็กๆ นานกว่า 5 ชั่วโมง “ผมโชคดีที่มีของจำลองเหล่านั้น ที่สามารถใช้เพื่อถ่ายทำให้เหมือนสถานการณ์จริงเท่าที่จะเป็นไปได้” สก็อต กล่าวว่า “เรายังมีเฮลิคอปเตอร์มากมายในหลายฉากสองลำที่มีกล้องหลายตัวกำลังถ่ายทำตลอดเวลา การถ่ายทำภาพยนตร์บนรถไฟจริงช่วยให้ผู้ชมรับรู้อารมณ์ได้ว่า มันเป็นอย่างไรเมื่อตัวละครต่างๆ อยู่ต่อหน้าสภาพอากาศจริง คุณไม่สามารถหาความกระตือรือล้นแห่งการถ่ายทำภาพยนตร์แบบนั้นได้ในฉากหรอก” ทีมงานใช้หัวรถจักร 8 ขบวน และขบวนรถไฟเดี่ยวๆ อีกประมาณ 60 ขบวน เมื่อทุกอย่างที่กล่าวไว้พร้อมเพรียงแล้ว ทุกๆ ขบวนถูกควบคุมความเร็วรวมถึงการควบคุมเบรค พร้อมทั้งการตรวจตราอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำของอุตสาหกรรม การทำงานในภาพยนตร์เหมือนกับการทำงานบนรางรถไฟเล็กๆ เพราะด้วยสภาพอากาศที่ทารุณ การทำงานยาวนานหลายชั่วโมง และความต้องการเกี่ยวกับรถไฟทั้งหมดสำหรับการถ่ายทำภาพยนตร์ คนขับรถไฟตัดสินใจให้หัวรถจักรเดินหน้าไปตลอด 24 ชั่วโมงทั้ง 7 วัน เมื่อทีมงานเคลื่อนย้ายจากสถานที่หนึ่งไปอีกสถานที่หนึ่ง แผนกรถไฟจึงย้ายทางรถไฟเล็กๆ พวกเครื่องบิน รถยนต์ และรถบรรทุก แต่ละหัวรถจักรและรถไฟแต่ละขบวนจะมีหมายเลขเฉพาะ ไม่มีทางเหมือนกัน เพื่อที่จะไม่สับสน เจ้าหน้าที่ควบคุมกฏของรัฐพร้อมด้วยแบบจำลองต่างๆ ของหัวรถจักร 2 ขบวนและรถไฟบรรทุกสินค้าบางขบวน แผนกศิลป์ของซีเกอร์สสร้างแผ่นป้ายแม่เหล็กขนาดใหญ่ พร้อมด้วยตัวเลขจริงของรถไฟทุกขบวนและเครื่องหมายบอกปลายทาง ผู้กำกับภาพ เบ็น เซอเรซิน อยู่ในการปฏิบัติหน้าที่ด้านรายละเอียดวันต่อวันของการถ่ายทำภาพยนตร์ ภาพยนตร์เรื่อง UNSTOPPABLE ด่วนวินาศหยุดไม่อยู่ เป็นการร่วมงานครั้งแรกของเซอเรซินกับ โทนี่ สก็อต แต่มันเป็นที่เข้าใจได้อย่างดี เมื่อถึงนาทีที่พวกเขาพบว่า เซอเรซินได้รักษาจังหวะฝีเท้าแห่งการทำงานอันดุเดือดของสก็อตเอาไว้ได้ “ภาพยนตร์ของโทนี่เต็มไปด้วยพลังและความคิดสร้างสรรค์ที่มีความเฉพาะเจาะจงมากมาย” เซอเรซิน กล่าวว่า “เขาชอบจินตนาการถึงความกล้าหาญ และสไตล์การถ่ายทำภาพยนตร์ของเขา ทำให้มันเป็นภาพยนตร์ในแบบที่เขาสร้าง เขาเป็นคนที่มีระเบียบมาก เขาเข้าใจถึงการจัดแสงไฟ และเขามีความกระตือรือล้นที่ไม่มีจุดสิ้นสุด เขาทุ่มเต็มที่ 100% จนกว่าฉากสุดท้ายของการถ่ายทำในทุกๆ วัน “เขายังตื่นประมาณตี 2 ทุกเช้าเพื่อร่างรายละเอียดสตอรี่บอร์ดของทุกๆ ฉาก” เซอเรซิน หัวเราะ “ฉะนั้นผลที่ตามมาสำหรับผมคือ เขาสร้างการตัดสินใจด้านวิสัยทัศน์หลายอย่างก่อนที่จะเข้าฉาก และเขารู้ดีว่าเขาต้องการอะไร ความท้าทายคือจะให้ในสิ่งที่เขาต้องการจากรถไฟที่กำลังเคลื่อนที่อยู่ได้อย่างไร” ในทุกๆ วันทีมกล้องจะจัดเตรียมกล้อง 6-12 ตัวไว้บนรถไฟ ใกล้ๆ กับชานชาลาประจำและข้างๆ รางรถไฟ หากเหตุการณ์เกิดขึ้น 10 นาทีในฉากนั้น รถไฟอาจต้องวิ่งบนราง 5 ไมล์ ซึ่งจะมีความสัมพันธ์สำหรับการตั้งกล้องขึ้นมา ทุกฉากมีความแตกต่างกันและกล้องทุกตัวต้องเป็นอิสระกันโดยมาตรฐานในแต่ละขั้นตอน เพื่อที่จะจับภาพการแสดงที่ถูกต้อง จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องใช้กล้องที่กำหนดตามสถานที่ “เราเดินทางผ่าน 6 สถานที่แตกต่างกัน และมุมถ่ายทำที่ต่างกันถึง 6 แบบ ในการเดินหน้าครั้งเดียว” เซอเรซิน กล่าวว่า “ฉะนั้นขนาดของสถานที่ถ่ายทำจึงมีขนาดใหญ่โตมาก พยายามติดต่อสื่อสารกับทีมงานของผม ที่อยู่กระจายตัวกันบนรางรถไฟหลายไมล์ เพียงเพื่อเพิ่มความซับซ้อนของสถานการณ์ให้มากขึ้น” แม้ว่าฉากส่วนใหญ่ในภาพยนตร์เกิดขึ้นภายนอก สก็อตและเซอเรซินเดินตามโทนสีที่เป็นธรรมชาติโดยตลอดการถ่ายทำภาพยนตร์ รวมไปถึงด้านในด้วยว่า “เราไม่อยากให้อะไรดูราบรื่นหรือทันสมัยเกินไป’ เซอเรซินกล่าวว่า “เรื่องราวมีการใช้สถานที่ในโลกแห่งความจริง และการเดินทางจากสถานที่เก็บรถไฟไปยังเมืองที่สวยงาม จนเข้าสู่เมืองที่ทรุดโทรมลง และเราคิดว่าควรรักษาภาพลักษณ์ของแต่ละสถานที่เอาไว้” ภาพยนตร์เรื่อง UNSTOPPABLE ด่วนวินาศหยุดไม่อยู่ ใช้สถานที่ในหนึ่งวันด้วยฉากแอคชั่นที่ปรากฏให้เห็นภายในฉากเป็นเวลา 2 ชั่วโมง ทีมงานใช้เวลาถ่ายทำ 3 เดือนครึ่ง ตั้งแต่ช่วงซัมเมอร์เข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว ที่กล่าวได้ว่าสภาพอากาศมีความหลากหลายอย่างที่สุดและไม่มีความแน่นอน “การเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลเป็นตัวกำหนดสถานการณ์อย่างเห็นได้ชัด” เซอเรซินยอมรับว่า “ไม่น่าสงสัยเลยที่เรื่องราวเริ่มจากที่ใบไม้บนต้นไม้เป็นสีเขียว และในท้ายที่สุดเป็นฤดูหนาว แต่มันให้อารมณ์ของการเปลี่ยนแปลง” เขากล่าวว่า “ในทางเดียวกันกับที่เขาสามารถบังคับรถไฟผ่านเมือง และเรียนรู้ถึงความรุนแรงของสภาพอากาศอย่างกะทันหัน แต่คุณจะเลี้ยวอีกด้านหนึ่งและมาถึงหุบเขาอันตระการตาในแสงแดดอย่างรวดเร็ว มันคือสิ่งเดียวกัน เพราะรถไฟกำลังเคลื่อนที่ไป จริงๆ แล้วการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ช่วยสร้างอารมณ์ความรู้สึกของระยะทางและการอยู่ในการเดินทางได้” เขาวางกล้องเอาไว้บนพื้นและกล้องตัวสำคัญอีก 4 ตัวอยู่บนรถไฟเรียงตามลำดับ เซอเรซินและสก็อตยังยานพาหนะความเร็วสูงอย่าง the Pursuit System Porsche Cayenne camera car, motorcycle rigs, quad rigs, และเฮลิคอปเตอร์ 2 ลำที่ขับโดย อลัน เพอร์วิน และ เฟร็ด นอร์ธ ควบคุมโดย เดวิด บี. โนเวล, ASC, ผู้กำกับภาพทางด้านอากาศและฝ่ายเทคนิคกล้องของเขา สก็อต ซี. สมิธ เฮลิคอปเตอร์ทั้งสองลำถูกติดตั้งเครื่องมือด้วยกล้องความละเอียดสูง Cineflex “องค์ประกอบของภาพยนตร์เรื่องนี้มีขนาดใหญ่มากสำหรับกองทางอากาศ” โนเวล อธิบาย “เราถ่ายทำทุกวันบนรถไฟที่กำลังวิ่ง ไม่ฝนตกก็แดดออก โดยทั่วไปเราถ่ายทำ 2-3 วันหรือหนึ่งอาทิตย์ตรงบริเวณนี้และตรงนั้น เพื่อให้อยู่ในฉากทุกวัน เป็นสิ่งที่ประหลาดมาก โดยเฉพาะเวลาที่โทนี่กำลังใช้เฮลิคอปเตอร์สองลำ โดยที่ทั้งกล้องและภาพสลับสับเปลี่ยนกันทางอากาศ ไม่ว่าเราจะถ่ายทำภาพยนตร์แอคชั่นที่กองหลักหรือในฐานะการรายงานข่าว หรือไม่ว่ากล้องทางภาคพื้นดินกำลังครอบคลุมพวกเราอยู่ โดยเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์ด้วยตัวมันเอง เราก็อยู่บนอากาศตลอด” ช่วงเวลาหนึ่งแห่งความเข้มข้นของภาพยนตร์คือ รถไฟเคลื่อนที่ไปรอบๆ เป็นโค้งรูปตัว U แต่ทางรถไฟมีการกำหนดควบคุมความเร็วที่น้อยกว่า 15 ไมล์ต่อชั่วโมง “โทนี่ต่อต้านการพึ่งเทคนิคคอมพิวเตอร์กราฟฟิคใดๆ เวลาที่มันมีสถานการณ์ปัญหาทำนองนี้” เซอเรซินกล่าวว่า “เมื่อเราถูกบีบต้อนเข้ามุม บางทีเราต้องเผชิญหน้ากับผลลัพธ์อันยิ่งใหญ่ที่ตามมา” เขาหันไปพึ่งสิ่งที่เขาเรียกว่า “ใช้กลอำพรางสไตล์คนโบราณ” เพื่อเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนที่ของรถไฟ ภายใต้การควบคุมของผู้ชำนาญการอย่างสก็อต ภาพยนตร์ UNSTOPPABLE ด่วนวินาศหยุดไม่อยู่ มีการผสมผสานความตื่นเต้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด พร้อมด้วยการร่วมมือกันระหว่างสองนักแสดงซึ่งเป็นที่จดจำอย่างแฟรงค์และวิล ผู้ที่เริ่มต้นวันของพวกเขาอย่างปกติเท่าที่เป็นไปได้ และจบลงด้วยการเป็นฮีโร่ สก็อตสรุปความว่า ภาพยนตร์จะทำให้ผู้ชมพร้อมทั้งแฟรงค์และวิลเดินหน้าควบคู่ไปกับการผจญภัย “ผมว่าในภาพยนตร์เรื่องนี้ เมื่อคุณเริ่มนั่งเอนตัวลงไปบนเบาะของคุณ และในไม่ช้าคุณจะต้องมีการขยับเบาะ ภาพยนตร์เรื่อง UNSTOPPABLE ด่วนวินาศหยุดไม่อยู่ มีแรงผลักดันที่ทำให้คุณไม่สามารถลุกไปไหนได้เลย” เกี่ยวกับนักแสดง นักแสดงชายผู้คว้ารางวัล Academy Award? ถึงสองครั้ง เดนเซล วอชิงตัน (แฟรงค์ บาร์นส) เป็นผู้ชายที่ไม่เคยหยุดนิ่ง เขาไม่เคยพอใจในการย่ำอยู่ที่เดิมหรือความสำเร็จของเขา วอชิงตันค้นหาความท้าทายใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ภาพยนตร์ที่หลากหลายและมากมายของเขา และรวมถึงการแสดงบนละครเวที ตั้งแต่บทบาทของเขาอย่างทริป ทาสรับใช้ผู้หลบหนีจากความทุกข์ทรมาณในภาพยนตร์เรื่อง “Glory” มาถึงนักสู้ผู้มีอิสระแห่งแอฟริกาใต้ สตีเฟ่น บิโก้ ในภาพยนตร์เรื่อง “Cry Freedom” จากภาพยนตร์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของบุคคลสำคัญอันน่าสลด ผลงานของเชคสเปียร์ เรื่อง “Richard III” มาจนถึงตำรวจจอมโฉดที่มีชื่อว่าอลอนโซ่ ในภาพยนตร์เรื่อง “Training Day” วอชิงตันได้สร้างความอัศจรรย์และความสนุกสนานให้กับพวกเราด้วยตัวละครที่โดดเด่นแตกต่างกันไปในแบบของเขา เมื่อฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา วอชิงตันหวนกลับไปบรอดเวย์ เพื่อปรากฏตัวคู่กับ วิโอล่า เดวิส ในละครของ ออกัส วิลสัน ที่มีการแสดง 14 สัปดาห์ เรื่อง “Fences” เมื่อไม่นานมานี้วอชิงตันได้รับบทนำในภาพยนตร์ของวอร์เนอร์ บราเดอร์ส เรื่อง “Book of Eli” ภาพยนตร์แนวตะวันตกเกี่ยวกับโลกหลังความหายนะ ที่บอกเล่าเรื่องราวของชายคนหนึ่งที่ต้องต่อสู้ข้ามอเมริกา เพื่อปกป้องหนังสือศักดิ์สิทธิ์ที่มีความลับแห่งการช่วยเหลือมนุษย์เอาไว้ เมื่อปีที่แล้วในเดือนมิถุนายน 2009 วอชิงตันปรากฏตัวคู่กับ จอห์น ทราโวลต้า ในภาพยนตร์ผลงานของ โทนี่ สก็อต ที่หยิบภาพยนตร์ของปี 1974 กลับมาสร้างใหม่เรื่อง “The Taking of Pelham 123” ให้กับโคลัมเบีย พิกเจอร์ส ภาพยนตร์เรื่อง “Pelham” ที่บอกเล่าเรื่องราวของเจ้าหน้าที่รถไฟใต้ดิน (วอชิงตัน) ที่ได้รับการเรียกค่าไถ่จากโจร (ทราโวลต้า) ผู้ควบคุมเพียงหนึ่งเดียวของรถไฟหลายขบวน ช่วงปลายธันวาคมปี 2007 วอชิงตันทำการกำกับและร่วมแสดงกับนักแสดงชายที่คว้ารางวัล Academy Award ฟอเรส ไวเทคเกอร์ ในภาพยนตร์เรื่อง “The Great Debaters” ภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นจากเรื่องจริงของ เมลวิน บี. ทอลสัน ศาสตราจารย์แห่ง Wiley College ในเท็กซัส ที่ในปี 1935 สร้างแรงบันดาลใจให้กับนักเรียนทั้งหลาย จากทีมโต้วาทีของโรงเรียนที่แข่งขันกับ Harvard ในการแข่งขันระดับชาติ ในเดือนพฤศจิกายน 2007 วอชิงตันแสดงภาพยนตร์ร่วมกับ รัสเซล โครว์ ในภาพยนตร์ผลงานของ ริดลีย์ สก็อต เรื่อง “American Gangster” ภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นจากชีวประวัติของฮีโร่ ที่ประสบผลสำเร็จอย่างโด่งดังในฮาเล็มแห่งปี 1970 ในช่วงที่มีสงครามยาเสพย์ติดอันยิ่งใหญ่ที่สุดในอเมริกา ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้สูงถึง 43.6 ล้านดอลลาร์ในสัปดาห์แรก ทำให้เป็นภาพยนตร์ที่เปิดตัวสุดสัปดาห์ที่ประสบผลสำเร็จมากที่สุดของเดนเซล เดือนมีนาคมปี 2006 วอชิงตันในภาพยนตร์ผลงานของ สไปค์ ลี เรื่อง “Inside Man” ที่เขาแสดงร่วมกับ คลิฟ โอเว่น และ โจดี้ ฟอสเตอร์ ภาพยนตร์เกี่ยวกับการปล้นธนาคารด้วยความชำนาญ ความสำเร็จจากการเปิดตัวในช่วงสุดสัปดาห์ทำรายได้ทั้งหมด 29 ล้านดอลลาร์ และเป็นสัญลักษณ์แห่งการเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่เป็นอันดันสองของวอชิงตัน ณ วันนี้ ในช่วงปลายปี 2006 วอชิงตันสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ชมอีกครั้งด้วยภาพยนตร์ของ ทัชสโตน พิกเจอร์ส เรื่อง “D?j? Vu” โดยเป็นการกลับมาร่วมทีมกันอีกครั้งกับผู้กำกับ โทนี่ สก็อต ในภาพยนตร์โรแมนติกอันน่าตื่นเต้นที่เล่าเรื่องราวย้อนอดีต วอชิงตันแสดงเป็นสายลับ ATF ที่เดินทางย้อนเวลาไปช่วยหญิงสาวคนหนึ่งจากการถูกฆาตกรรม และตกหลุมรักเธอในเวลาต่อมา ในปี 2005 วอชิงตันกลับมายังรากฐานแห่งโรงละครของเขาอีกครั้ง ด้วยการแสดงบรอดเวย์ในบทบาทของ มาร์คัส บรูตัส ในละครเรื่อง “Julius Caesar” การแสดงได้รับเสียงตอบรับอย่างดีจากนักวิจารณ์และแฟนๆ ในปี 2004 วอชิงตันร่วมงานกับผู้กำกับ โทนี่ สก็อต ในภาพยนตร์เรื่อง “Man on Fire” ในภาพยนตร์เรื่องนี้วอชิงตันแสดงเป็นอดีตนาวิกโยธิน ที่ถูกว่าจ้างให้ปกป้องเด็กสาวคนหนึ่งจากการถูกขู่ลักพาตัว ซึ่งแสดงโดย ดาโกตะ แฟนนิ่ง ในปีเดียวกันนั้นเอง วอชิงตันแสดงในภาพยนตร์เรื่อง “The Manchurian Candidate” ซึ่งเป็นภาพยนตร์ยุคปัจจุบันที่นำภาพยนตร์คลาสสิคแห่งปี 1962 กลับมาสร้างใหม่โดย พาราเมาท์ พิกเจอร์ส ภาพยนตร์กำกับโดย โจนาธาน เดมเม่ วอชิงตันแสดงร่วมกับ เมริล สตรีพ และ ลีฟ ไชรเบอร์ ในบทบาทเดิมที่ แฟรงค์ ซีนาตร้า ได้สร้างชื่อเสียงเอาไว้ เขารับบทแสดงเป็น เบ็นเนธ มาร์โค ทหารแห่งสงครามอ่าวที่กลับมาจากการต่อสู้ และถูกล้างสมองจนไม่สามารถจดจำเหตุการณ์ต่างๆ ได้ บางทีการแสดงหนึ่งของเขาที่ได้รับชื่อเสียงจากเหล่านักวิจารณ์ที่สุดมาจนถึงปัจจุบัน คือการแสดงจากภาพยนตร์ที่คว้ารางวัล Academy-Award เรื่อง “Training Day” กำกับโดย แอนทวล ฟูควา เรื่องราววนเวียนเกี่ยวกับอดีตนายตำรวจ LAPD นำแสดงโดยวอชิงตัน ที่ชี้แนะตำรวจมือใหม่เกี่ยวกับยาเสพย์ติด ซึ่งแสดงโดย อีธาน ฮอว์ค ถึงกลเม็ดในวันแรกของการปฏิบัติหน้าที่ในเมืองหลวง ภาพยนตร์เป็นเพียงแค่หนึ่งในสองแห่งปี 2001 ที่ใช้เวลาเพียงสองสัปดาห์ในการก้าวไปอยู่อันดับหนึ่งของบ็อกซ์ ออฟฟิศ ในปี 2003 วอชิงตันปรากฏตัวให้เห็นในภาพยนตร์เรื่อง “Out Of Time” ที่กำกับโดย คาร์ล แฟรงค์ลิน วอชิงตันแสดงร่วมกับ อีวา เมนเดซ และ ซาน่า ลาธาน ในภาพยนตร์เขย่าขวัญเกี่ยวกับการฆาตกรลึกลับของ MGM เขาแสดงเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจแห่งฟลอริด้า ที่ต้องแก้คดีฆาตกรรมสองหน ก่อนเขาจะตกอยู่ภายใต้การสงสัยในการสังหารตัวเอง เดือนธันวาคมปี 2002 เป็นสัญลักษณ์แห่งการกำกับภาพยนตร์ครั้งแรกของวอชิงตัน ในภาพยนตร์เรื่อง “Antwone Fisher” ภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นจากเรื่องจริง และได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังสืออัตชีวประวัติที่ขายดี ภาพยนตร์เรื่อง “Finding Fish” ที่ติดตามเรื่องราวของฟิชเชอร์ ทหารเรือหนุ่มที่มีเรื่องยุ่งยาก แสดงโดยนักแสดงหน้าใหม่ เดเร็ค ลูค ที่เขาต้องพยายามประนีประนอมกับอดีตของเขา ภาพยนตร์ได้รับการยกย่องจากเหล่านักวิจารณ์ และได้รับรางวัล Stanley Kramer Award จาก Producers Guild of America เช่นเดียวกับการคว้ารางวัล NAACP Award สาขาภาพยนตร์โดดเด่น และบทบาทนักแสดงสมทบโดดเด่นสำหรับวอชิงตัน รวมถึงในปี 2002 วอชิงตันได้แสดงในภาพยนตร์เรื่อง “John Q” เรื่องราวเกี่ยวกับคุณพ่อผู้โชคร้าย ที่ลูกชายต้องการปลูกถ่ายหัวใจ ภาพยนตร์ได้รับการบันทึกในวันเปิดตัวสำหรับวันเปิดตัวสุดสัปดาห์ของวันหยุด President’s Day โดยกวาดรายได้ทั้งหมด 24.1 ล้านดอลลาร์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้วอชิงตันกวาดรางวัล NAACP Image Award สาขานักแสดงชายโดดเด่นในภาพยนตร์ ในเดือนกันยายนปี 2000 เขาแสดงในภาพยนตร์ของ เจอร์รี่ บรัคไฮเมอร์ ซึ่งประสบผลสำเร็จทางรายได้ (กวาดรายได้ภายในประเทศทั้งหมด 115 ล้านดอลลาร์) เรื่อง “Remember the Titans” ภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นจากเรื่องจริง เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการรวมตัวกันของทีมฟุตบอลไฮสคูลในอเล็กซานเดรีย เวอร์จิเนีย ในปี 1971 ในช่วงต้นปีนั้น เขาแสดงในภาพยนตร์ของยูนิเวอร์แซลเรื่อง “The Hurricane” เป็นการกลับมาร่วมทีมกับผู้กำกับ นอร์แมน เจวิสัน วอชิงตันได้รับรางวัล Golden Globe? Award สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม และถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Academy Award (ครั้งที่สี่) สำหรับการรับบทแสดงเป็นรูบิน “เฮอร์ริเคน” คาร์เตอร์ นักมวยชนะเลิศระดับโลกรุ่นมิดเดิลเวทในช่วงปี 1960 ผู้ถูกจำคุกอย่างผิดกฏหมายเป็นครั้งที่สองเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 1966 ในการฆาตกรรมชาวผิวขาว 3 คนที่บาร์แห่งนิวเจอร์ซี่ เดือนพฤศจิกายนปี 1999 เขาแสดงในภาพยนตร์ของยูนิเวอร์แซลเรื่อง “The Bone Collector” ที่ดัดแปลงมาจากนวนิยายของ เจฟฟรีย์ ดีเวอร์ เกี่ยวกับการค้นหาฆาตกรต่อเนื่อง เขาแสดงร่วมกับ แองเจลิน่า โจลี่ กำกับโดย ฟิลลิป นอยซ์ เขารับบทแสดงเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งเป็นอัมพาตและมีวาทศิลป์ ในปี 1998 เขาแสดงในภาพยนตร์อาชญากรรมระทึกขวัญของวอร์เนอร์ บราเดอร์ส เรื่อง "Fallen” ผลงานของผู้กำกับ เกร็ก ฮอบลิท และภาพยนตร์ผลงานของ สไปค์ ลี เรื่อง “He Got Game” ที่จัดจำหน่ายโดยทัชสโตน และเขายังร่วมทีมกับผู้กำกับ เอ็ด ซวิค ในภาพยนตร์เกี่ยวกับการก่อการร้ายระทึกขวัญของ ทเว็นตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ เรื่อง “The Siege” ที่แสดงร่วมกับ แอนเนธ เบ็นนิ่ง และ บรูซ วิลลิส ในช่วงซัมเมอร์ปี 1996 เขาแสดงในภาพยนร์ดราม่าเกี่ยวกับสงครามที่ได้รับการชมเชยจากเหล่านักวิจารณ์เรื่อง “Courage Under Fire” สำหรับผู้กำกับที่เคยกำกับภาพยนตร์เรื่อง “Glory” ที่เขาแสดงอย่าง เอ็ด ซวิค วอชิงตันรับบทแสดงเป็น ร้อยโท โคโลเนล นาธานีล เซอร์ลิง ผู้บังคับบัญชาการรถถังในสงครามอ่าว ผู้ถูกกล่าวหาว่าได้ตรวจสอบข้อมูลที่ขัดแย้ง เกี่ยวกับทหารหญิงคนแรกที่ถูกเสนอชื่อเข้ารับเหรียญแห่งเกียรติยศ หลังจากปีนั้นวอชิงตันแสดงภาพยนตร์ร่วมกับ วิทนีย์ ฮุสตัน ในภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้ของ เพ็นนี่ มาร์แชล เรื่อง “The Preacher’s Wife” วอชิงตันรับบทแสดงเป็นเทวดา ผู้มาช่วยเหลือบาทหลวงบิกส์ (คอร์ทนีย์ บี. แวนซ์) ผู้สงสัยในความสามารถของเขา ในการสร้างความขัดแย้งในสังคมอันวุ่นวายของเขา ซึ่งกระทบกระเทือนถึงครอบครัวของเขาด้วย ในปี 1995 เขาแสดงภาพยนตร์ร่วมกับ ยีน แฮคแมน โดยเขารับบทเป็น นาวาตรี รอน ฮันเตอร์ ในภาพยนตร์แอคชั่นผจญภัยใต้น้ำของ โทนี่ สก็อต เรื่อง “Crimson Tide” โดยรับบทแสดงเป็นนายตำรวจเก่า พาร์คเกอร์ บาร์นส ที่ถูกปล่อยตัวจากห้องขังเพื่อตามคดีที่ฆาตกรถูกสร้างขึ้นจากคอมพิวเตอร์ ในภาพยนตร์ระทึกขวัญล้ำสมัยเรื่อง “Virtuosity” และรับบทแสดงเป็น อีซี่ โรลินส์ ทหารผ่านศึกในสงครามโลกครั้งที่สอง ในภาพยนตร์โรแมนติกระทึกขวัญแห่งปี 1940 เรื่อง “Devil in a Blue Dress” (ที่ Mundy Lane Entertainment ของวอชิงตันสร้างร่วมกับ Clinica Estetico ของโจนาธาน เดมเม่) เขาเป็นที่ยอมรับจากเหล่านักวิจารณ์ในการรับบทแสดงเป็น มัลคอล์ม เอ็กซ์ นักทฤษฎีผิวสีที่ชอบปะทะคารมแห่งปี 1960 ในภาพยนตร์มหากาพย์ชีวประวัติ ผลงานของ สไปค์ ลี เรื่อง “Malcolm X” ที่ยิ่งใหญ่อลังการและถ่ายทำภาพยนตร์นานกว่า 6 เดือนในอเมริกาและแอฟริกา ภาพยนตร์เรื่อง “Malcolm X” เป็นที่ต้อนรับโดยเหล่านักวิจารณ์และผู้ชมให้เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปี 1992 สำหรับบทบาทการแสดงของเขา วอชิงตันได้รับรางวัลมากมาย ซึ่งรวมถึงการถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Academy Award สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม นอกจากนั้นสำหรับความสำเร็จของเขาทางด้านภาพยนตร์ วอชิงตันรับบทแสดงที่มีความแตกต่างกันในปี 2000 เขาสร้างภาพยนตร์สารคดีที่ฉายทาง HBO เรื่อง “Half Past Autumn: The Life and Works of Gordon Parks” เขาถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Emmys? ถึงสองครั้ง และยังทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารในภาพยนตร์เรื่อง “Hank Aaron: Chasing The Dream” ภาพยนตร์สารคดีชีวประวัติที่ฉายทาง TBS ซึ่งถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Emmy Award ต่อจากนั้นวอชิงตันยังถ่ายทอดเรื่องราวแห่งตำนานของ “จอห์น เฮนรี่” และถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Grammy Award ในปี 1996 สาขา Best Spoken Word Album for Children และเขาได้รับรางวัล NAACP Image Award ในปี 1996 สำหรับการแสดงของเขาในภาพยนตร์แอนิเมชั่นชุดพิเศษสำหรับเด็กเรื่อง “Happily Ever After: Rumpelstiltskin” เขาเป็นชาว เมาท์ เวอร์นอน, นิวยอร์ค เดิมทีวอชิงตันมีความตั้งใจจะเรียนแพทย์ เมื่อเขาศึกษาที่ Fordham University ในช่วงที่เขาเป็นผู้ให้คำปรึกษาของซัมเมอร์แคมป์ เขาก็ปรากฏตัวให้เห็นในการสร้างละครเรื่องหนึ่ง วอชิงตันเกิดสะดุดกับการแสดงละครและหวนคืนสู่ Fordham ในปีนั้นเขาได้รับการสอนของ โรบินสัน สโตน หนึ่งในอาจารย์ระดับแนวหน้าของโรงเรียน เมื่อสำเร็จการศึกษาจาก Fordham วอชิงตันก็ตกลงเข้าร่วมในโรงละคร American Conservatory Theater อันทรงเกียรติที่ซานฟรานซิสโก ตามมาด้วยการเรียนด้านการละครอย่างคร่ำเคร่งในปีนั้น เขากลับมาที่นิวยอร์คหลังจากที่เขาแวะช่วงหยุดพักในลอส แองเจลิส ความเป็นมืออาชีพของวอชิงตันด้านการละครที่นิวยอร์ค เริ่มต้นด้วย Shakespeare in the Park ของ โจเซฟ แพพ และตามมาด้วยการสร้างละคร off-Broadway อีกมากมายอย่างรวดเร็ว ซึ่งรวมถึงเรื่อง “Ceremonies in Dark Old Men;” “When The Chickens Came Home to Roost (ที่เขาแสดงเป็น มัลคอล์ม เอ็กซ์);” “One Tiger to a Hill;” “Man and Superman;” “Othello;” “A Soldier’s Play” ที่เขาคว้ารางวัล Obie? Award เมื่อไม่นานมานี้วอชิงตันยังแสดงละครที่รวมถึงการสร้างละครบรอดเวย์เรื่อง “Checkmates” และ “Richard III” ที่ถูกสร้างขึ้นโดยเป็นส่วนหนึ่งของ Free Shakespeare in the Park series ในปี 1990 จัดขึ้นโดย Public Theatre ของ โจเซฟ แพพ ในเมืองนิวยอร์ค วอชิงตันถูกคว้าตัวโดยฮอลลีวูด เมื่อเขาเข้าคัดเลือกตัวนักแสดงเมื่อปี 1979 ในภาพยนตร์ทางทีวีเรื่อง “Flesh and Blood” แต่เป็นเพราะการชนะเลิศการแสดงของเขาบนเวทีเรื่อง “A Soldier’s Play” ที่ได้รับความสนใจจากผู้สร้างซีรี่ย์โทรทัศน์ที่ฉายทาง NBC เรื่อง “St. Elsewhere” ในไม่นานวอชิงตันก็เข้าคัดเลือกตัวแสดงในภาพยนตร์ซีรี่ย์สุดฮิตที่มีการฉายมาอย่างยาวนาน ในบทบาทของ ดร.ฟิลลิป แชนด์เลอร์ ผลงานทางทีวีที่มีชื่อเสียงเรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ “The George McKenna Story,” “License to Kill” และ “Wilma” ในปี 1982 วอชิงตันกลับมาสร้างบทบาทของเขาอีกครั้ง จากภาพยนตร์เรื่อง “A Soldier’s Play” ให้กับภาพยนตร์ในแบบฉบับของ นอร์แมน เจวิสัน ในชื่อใหม่เรื่อง “A Soldier’s Story” การแสดงเป็น พลทหาร ปีเตอร์สัน ของเดนเซลได้รับการตอบรับอย่างดีจากเหล่านักวิจารณ์ วอชิงตันเดินหน้าต่อด้วยการแสดงในภาพยนตร์ผลงานของ ซิดนีย์ ลูเม็ต เรื่อง “Power” ภาพยนตร์ผลงานของ ริชาร์ด แอทเทนโบโร่ เรื่อง “Cry Freedom” ที่เขาได้รับการถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Oscar? เป็นครั้งแรก ภาพยนตร์เรื่อง “For Queen and Country,” “The Mighty Quinn,” “Heart Condition,” “Glory” ที่เขาคว้ารางวัล Academy Award สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม และภาพยนตร์ผลงานของ สไปค์ ลี เรื่อง “Mo’ Better Blues” วอชิงตันยังได้แสดงในภาพยนตร์แอคชั่นผจญภัยเรื่อง "Ricochet” และในภาพยนตร์คอมเมดี้หวานอมขมกลืนของ มีร่า แนร์ เรื่อง “Mississippi Masala” ผลงานภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงมากมายของเขา ยังรวมถึงภาพยนตร์ที่มีการดัดแปลงเรื่องราว ผลงานของ เค็นเนธ บรานอก์ เรื่อง “Much Ado About Nothing” ผลงานของ โจนาธาน เดมเม่ ที่เป็นเรื่องอื้อฉาวเรื่อง “Philadelphia” ที่เขาแสดงร่วมกับ ทอม แฮงค์ส และภาพยนตร์เรื่อง “The Pelican Brief” ที่สร้างขึ้นจากนวนิยายของ จอห์น กริชแฮม คริส ไพน์ (วิล โคลสัน) ได้ปรากฏตัวออกมาในฐานะนักแสดงหนุ่มสุดฮอตแห่งฮอลลีวูด ในปี 2009 เขาปรากฏตัวให้เห็นในภาพยนตร์ของพาราเมาท์ที่โด่งดังทะลุบ็อกซ์ ออฟฟิศเรื่อง “Star Trek” ของผู้กำกับ เจ.เจ. อับรัมส์ ภาพยนตร์บันทึกเรื่องราวในวันแรกๆ ของ เจมส์ ที. เคิร์ก และสมาชิกเพื่อนร่วมทีม USS Enterprise ตอนนี้เขาอยู่ในระหว่างการแสดงภาพยนตร์เรื่อง “This Means War” โดยไพน์แสดงร่วมกับ รีซ ไวเธอร์สพูน และ ทอม ฮาร์ดี้ ภาพยนตร์เกี่ยวกับความสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างสุดยอดสายลับทั้งสอง ที่กลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบ เมื่อพวกเขาตกหลุมรักหญิงคนเดียวกัน คู่ศัตรูผู้เป็นมิตรที่มีการฝึกอย่างเชี่ยวชาญ ได้ใช้ยุทธศาสตร์กลยุทธแยบยลเพื่อทำรายกันเอง เพื่อสกัดแต่ละฝ่ายในการเข้าถึงนางเอก เพื่อพยายามพิชิตใจเธอ ขณะที่พยายามหยุดยั้งศัตรูตัวฉกาจของรัฐ แมคจีทำหน้าที่เป็นผู้กำกับ มีกำหนดฉายในปี 2011 ไพน์แสดงภาพยนตร์ของ Paramount Vantage film เรื่อง “Carriers” ของผู้กำกับ อเล็กซ์ แพสเตอร์ ภาพยนตร์มุ่งความสนใจไปยังการหลบหนีไวรัสที่แพร่ระบาดไปทั่วของเพื่อนทั้งสี่ และความวุ่นวายต่างๆ ที่ตามมา นอกจากนั้นเขายังให้เสียงพากย์ในภาพยนตร์แอนิเมชั่นเพื่อการศึกษาเรื่อง “Quantum Quest: A Cassini Space Odyssey” เขาให้เสียงพากย์ของตัวละครที่ชื่อว่าเดฟ ซึ่งเป็นโฟตอนน้อยที่ถูกบังคับจากพระอาทิตย์ให้ออกค้นคว้าการเดินทาง ก่อนหน้านั้นไพน์ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง “Bottle Shock” ของผู้เขียนบท/ผู้กำกับ แรนดอล มิลเลอร์ ที่สร้างขึ้นเมื่อปี 1970 ภาพยนตร์สร้างขึ้นจากเรื่องจริงของโรงกลั่นเหล้าองุ่น Chateau Montelena ที่ชนะการแข่งขัน international wine tasting และพาให้ Napa Valley ไปอยู่แถวหน้าของไวน์ระดับโลก ไพน์รับบทแสดงเป็นลูกชายเจ้าของไร่องุ่น ที่อนุรักษ์ไวน์และเป็นตัวแทน Napa ในงาน French tasting ภาพยนตร์ยังประกอบด้วยนักแสดงอย่าง อลัน ริคแมน, บิล พุลแมน และ ราเชล เทเลอร์ ยิ่งไปกว่านั้นไพน์ยังแสดงในภาพยนตร์เรื่อง “Small Town Saturday Night” ซึ่งเป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับชายหนุ่มที่หลบหนีจากการจองจำชีวิตในชนบทของเขา เพื่อการตามหาอาชีพทางดนตรีอย่าง นักร้อง/นักแต่งเพลง โปรเจ็กต์ภาพยนตร์โดยผู้เขียนบทภาพยนตร์/ผู้กำกับ ไรอัน เคร็ก โดยในขั้นต้นมีการฉายที่งาน Sundance Producers Lab ในปี 2006 ผลงานภาพยนตร์ของไพน์ที่มีชื่อเสียง ยังรวมถึงการร่วมแสดงในภาพยนตร์ดราม่าที่ผสมผสานกับความกล้าหาญ ผลงานของ โจ คาร์นาฮาน เรื่อง “Smokin’ Aces” ที่ไพน์รับบทแสดงเป็น ดาร์วิน ทรีมอร์ ผู้นำแห่งวง three brothers ที่เป็นมือสังหารรับจ้าง คริสยังรับบทแสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง “Blind Dating” ร่วมกับ เอ็ดดี้ เคน โธทัส และ เจน ซีมัวร์ ภาพยนตร์คอมเมดี้ที่มุ่งประเด็นเกี่ยวกับการถูกครอบงำทางวัฒนธรรม และการพูดถึงนิยามแห่งอุปสรรคด้านความรัก ไพน์ยังแสดงในภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้เรื่อง “Just My Luck” ร่วมกับ ลินเซย์ โลฮาน โดยการกำกับของ โดนัลด์ เพทรี ภาพยนตร์บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลที่มีความโดดเด่นในวงสังคมที่โชคดีสุดๆ ที่เปลี่ยนโชคชะตาของเธอหลังจากมีโอกาสเผชิญหน้ากับชายหนุ่มที่ตกกระป๋อง ผลงานทางเวที เมื่อไม่นานมานี้ไพน์แสดงใน The Lieutenant of Inishmore ของมาร์ติน แมคโดนอก์ ที่ Mark Taper Forum ในลอสแองเจลิส นิตยสารวาไรตี้เรียกผลงานการแสดงของไพน์ว่า “สยองขวัญแต่มีความเป็นเลิศ” และได้ให้ความเห็นว่า “ผู้ชม Inishmore มาร่วมงานเปิดตัว ซึ่งเป็นความหวังว่าจะส่งให้อาชีพทางเวทีละครของเขาเด่นขึ้นมาแน่นอน” ไพน์ยังได้รับการชมเชยวิจารณ์อย่างมาก และถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Ovation Award ในปี 2009 สำหรับการแสดงของเขาในละครดราม่า Farragut North ที่แสดงร่วมกับ คริส นอธ ที่ Geffen Playhouse ในลอส แองเจลิส ผลงานทางเวทีของเขาที่มีชื่อเสียงยังรวมถึงละครของ นีล ลาบุท ที่มีชื่อว่า Fat Pig และรวมถึงที่ Geffen Playhouse และ The Atheist การแสดงเดี่ยวที่โรงละคร off off Broadway ไพน์สำเร็จการศึกษาจาก the University of California เบิร์กลีย์ ด้วยปริญญาภาษาอังกฤษ และเขาเรียนด้านการแสดงที่โรงละคร American Conservatory Theater และ University of Leeds ในประเทศอังกฤษ ผลงานทางเวทีอันกว้างขวางของเขา ยังรวมถึงการแสดงในผลงานของ Our Town, American Buffalo, No Exit, Waiting for Godot และ Orestes พ่อแม่ของไพน์คือนักแสดงที่มีชื่อว่า กวิน กิลฟอร์ด และ โรเบิร์ต ไพน์ ย่าผู้ล่วงลับไปแล้วของเขาคือ แอน กวิน เป็นนักแสดงหญิงของยุคปี 30 และ 40 โรซาริโอ ดอว์สัน (ผู้ดูแลสถานีรถไฟ คอนนีย์ ฮูเปอร์) ได้รับคำชมเชยสำหรับการรับบทแสดงอันมากมายของเธอ พร้อมด้วยเหล่านักแสดงและผู้กำกับที่โด่งดังในปัจจุบัน ทำให้เธอถูกฮอลลีวูดตามตัวให้รับบทนักแสดงนำหญิงมากที่สุด ดอว์สันได้รับรางวัล Satellite Award สำหรับการรับบทแสดงเป็น มิมี่ มาร์เควซ ในภาพยนตร์เรื่อง “Rent” เธอได้รับเกียรติอีกครั้งที่งาน ShoWest ของปี 2007 โดยเธอถูกขนานนามให้เป็นนักแสดงสมทบหญิงแห่งปี เมื่อไม่นานมานี้ดอว์สันคว้ารางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมของภาพยนตร์ในงาน NAACP Image Awards แห่งปี 2009 สำหรับการแสดงของเธอในภาพยนตร์เรื่อง “Seven Pounds” (แสดงร่วมกับ วิล สมิธ) และคว้ารางวัล Half-Life Award ที่งาน Cine Vegas International Film Festival ในปี 2008 ร่วมกับ ดอน ชีเดิล, วิกโก้ มอร์เทนเสน และ แซม ร็อคเวล เธอปรากฏตัวให้เห็นในภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้ของ MGM เรื่อง “Zookeeper” ที่แสดงร่วมกับ เควิน เจมส์, ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน, อดัม แซนเลอร์ และ จอน ฟาฟโร่ ดอว์สันรวมทีมอีกครั้งกับ “Rent” กับผู้กำกับ คริส โคลัมบัส ในภาพยนตร์แฟนตาซีคอมเมดี้เรื่อง “Percy Jackson” ที่เธอแสดงร่วมกับ อูม่า เธอร์แมน, แคทเธอรีน คีเนอร์ และ เพียร์ซ บรอสแนน ภาพยนตร์กวาดรายได้ทั้งหมด 127 ล้านดอลลาร์ทั่วโลก เธอยังร่วมแสดงในภาพยนตร์ระทึกขวัญเรื่อง “Eagle Eye” ร่วมกับ ไชอา ลาเบิฟ และ บิลลี่ บ็อบ ธอร์นตัน ให้กับ Paramount/Dreamworks และแสดงในภาพยนตร์ผลงานของ จอห์น แมดเด็น เรื่อง “Killshot” ที่สร้างขึ้นจากนวนิยายอาชญากรรมที่ขายดีที่สุด ร่วมกับ มิคกี้ รุค, ไดแอน เลน และ จอห์นนี่ นอกซ์วิล ในปี 2008 ดอว์สันแสดงในภาพยนตร์ดราม่าที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับพรรคการเมืองเรื่อง “Explicit Ills” โดยมีการฉายรอบปฐมทัศน์ที่งาน SXSW Film Festival ภาพยนตร์ได้รับการยกย่องจากเหล่านักวิจารณ์ รวมไปถึงการคว้ารางวัลอีก 3 รางวัลที่รวมถึงรางวัล Audience Award ของงาน ดอว์สันร่วมงานกับ เคว็นติน ตารานติโน่ ในภาพยนตร์เรื่อง “Grindhouse” เป็นภาพยนตร์สองเรื่องควบ เรื่องแรกกำกับโดยตารานติโน่ และอีกเรื่องกำกับโดย โรเบิร์ต โรดริเกซ ภาพยนตร์เรื่อง “Death Proof” ซึ่งเป็นอีกครั้งหนึ่งของภาพยนตร์ควบ ผลงานของ เคว็นติน ตารานติโน่ ถูกเลือกให้เป็นภาพยนตร์ที่เข้าชิงรางวัลที่งาน Cannes Film Festival ในปี 2007 และต่อเนื่องความสำเร็จของภาพยนตร์ไปยังต่างประเทศ ดอว์สันแสดงและอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง “Descent” ของผู้กำกับ ทาเลีย ลูแกซี่ ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่อำนวยการสร้างโดยดอว์สันเป็นครั้งแรก ภายใต้สัญลักษณ์แห่งการสร้างของเธอที่มีชื่อว่า Trybe Films ภาพยนตร์เรื่อง. “Descent” มีการฉายรอบปฐมทัศน์ที่งาน Tribeca Film Festival ในปี 2007 และได้รับคำชมเชยจากเหล่านักวิจารณ์อย่างมาก อีกไม่นานเธอจะร่วมทีมอีกครั้งกับผู้กำกับ แฟรงค์ มิลเลอร์ และ โรเบิร์ต โรดริเกซ เพื่อแสดงบทบาทเดิมของเธอที่เคยแสดงเป็นเกล ในภาพยนตร์ภาคต่อที่ได้รับการคาดหวังอย่างสูงเรื่อง “Sin City 2” ภาพยนตร์เรื่องอื่นที่มีชื่อเสียง ยังรวมถึงภาพยนตร์ผลงานของ เควิน สมิธ เรื่อง “Clerks 2,” ภาพยนตร์ผลงานของ ดิโต้ มอนทีล เรื่อง “A Guide to Recognizing Your Saints,” ภาพยนตร์มหากาพย์ผลงานของ โอลิเวอร์ สโตน เรื่อง “Alexander” (โดยเป็นส่วนหนึ่งของนักแสดงทั้งหมดอย่าง โคลิน ฟาร์เรล, แองเจลีน่า โจลี่, แอนโธนี่ ฮอพกินส์ และ จาราด ลีโต้) ภาพยนตร์แอคชั่นคอมเมดี้เรื่อง “Rundown” ภาพยนตร์ดราม่าเรื่อง “Shattered Glass” และ “Chelsea Walls,” ภาพยนตร์อินดี้เรื่อง “This Girl’s Life” และ “Love in the Time of Money,” Spike Lee’s “25th Hour” และ “He Got Game,” Men in Black 2,” “The Adventures of Pluto Nash,” Ed Burns’ “Sidewalks of New York” และ“Ash Wednesday,” “The First $20 Million is Always the Hardest,” “Light it Up,” “Down to You,” “Josie and the Pussycats,” และภาพยนตร์ของเธอครั้งแรกเรื่อง “Kids” ดอว์สันยังอำนวยการสร้างภาพยนตร์สั้นที่มีความยาว 15 นาที ซึ่งมีชื่อว่า “Bliss Virus” เขียนบทภาพยนตร์และกำกับโดย ทาเลีย ลูแกซี่ และมีความหวังที่จะได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องแรกของลูแกซี่บ้างในอนาคตอันใกล้ เกี่ยวกับผู้สร้างภาพยนตร์ โทนี่ สก็อต (ผู้กำกับ) ได้สร้างภาพยนตร์แอคชั่นที่น่าเฝ้าสังเกตุมาอย่างต่อเนื่อง ความเชี่ยวชาญในการสร้างสมดุลของความสามารถพิเศษในด้านเทคนิค พร้อมด้วยอารมณ์ความรู้สึกของท่วงทำนองที่มีความกระตือรือล้น สก็อตเป็นสมาชิกคลับพิเศษของผู้กำกับที่ทำรายได้รวมเป็นพันล้าน ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของฮอลลีวูดที่มีความวางใจได้ และเป็นผู้สร้างภาพยนตร์แอคชั่นที่มีความทันสมัยตั้งแต่ช่วงกลางปี 1980 พร้อมด้วยข้อมูลโปรเจ็กต์ที่ยอดเยี่ยมมากมายที่มีกำหนดฉาย และอีกหลายโปรเจ็กต์ที่อยู่ระหว่างขั้นการพัฒนา สก็อตไม่มีวี่แววแสดงให้เห็นถึงท่วงทำนองที่เชื่องช้าเลย เมื่อไม่นานมานี้ สก็อตทำการกำกับภาพยนตร์สุดฮิตของบ็อกซ์ ออฟฟิศ เรื่อง “The Taking of Pelham 1 2 3” ของโคลัมเบีย พิกเจอร์ส ก่อนหน้าภาพยนตร์เรื่อง “The Taking of Pelham 1 2 3” สก็อตทำการกำกับภาพยนตร์เรื่อง “D?j? Vu” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งการทำงานร่วมกับ เดนเซล วอชิงตัน เป็นครั้งที่สาม และเป็นการร่วมงานกับ เจอร์รี่ บรัคไฮเมอร์ เป็นครั้งที่หก ในปี 1995 สก็อตกำกับภาพยนตร์ที่มีชื่อว่า “Crimson Tide” นำแสดงโดยวอชิงตันและ ยีน แฮคแมน อำนวยการสร้างโดยบรัคไฮเมอร์ ซึ่งได้รับการยกย่องชมเชยทั้งจากเหล่านักวิจารณ์และจากประชาชน สก็อตเดินหน้ากำกับวอชิงตันต่ออีกครั้งในภาพยนตร์แอคชั่นระทึกขวัญแห่งปี 2004 เรื่อง “Man on Fire” โดยในครั้งนี้ได้ทำงานร่วมกับ ดาโกตะ แฟนนิ่ง และ คริสโตเฟอร์ วอคเคน ด้วย สก็อตสร้างภาพยนตร์ครั้งแรกในปี 1983 เป็นภาพยนตร์ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับแวมไพร์ที่มีความทันสมัยเรื่อง “The Hunger” นำแสดงโดย แคทเธอรีน ดานูฟ, เดวิด โบวี่ และ ซูซาน ซารานดอน ภาพยนตร์ถูกดัดแปลงให้เป็นภาพยนตร์ไตรภาคที่ฉายทาง Showtime ในปี 1998 โดยสก็อตทำการกำกับหนึ่งตอน นำแสดงโดย จีโอแวนนี่ ริบิซี่ และ เดวิด โบวี่ ในปี 1986 สก็อตเป็นผู้กำกับของ ทอม ครูซ และ เคลลี่ แม็คกิลลิส ในภาพยนตร์ที่โด่งดังอย่างยิ่งใหญ่เรื่อง “Top Gun” ซึ่งมีฉากบนท้องฟ้าที่น่าตะลึง ช่วยทำให้ภาพยนตร์ประสบความสำเร็จไปทั่วโลก สก็อตประกันตำแหน่งแห่งความเป็นผู้กำกับภาพยนตร์แอคชั่นคนสำคัญแห่งฮอลลีวูดในปีถัดมา ด้วยภาพยนตร์ที่มีชื่อว่า “Beverly Hills Cop II” นำแสดงโดย เอ็ดดี้ เมอร์ฟี่ ความสามารถของสก็อตได้สร้างขุมทองด้านรายได้ โดยการผสมผสานความเชี่ยวชาญด้านบทและความสามารถได้ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ในภาพยนตร์ของทัชสโตน พิกเจอร์สที่มีชื่อว่า “Enemy of the State” เป็นการกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งของสก็อตกับ ยีน แฮ็คแมน ร่วมถึงผู้อำนวยการสร้าง เจอร์รี่ บรัคไฮเมอร์ ภาพยนตร์ระทึกขวัญเกี่ยวกับเรื่องการเมือง นำแสดงโดย วิล สมิธ ซึ่งกลายเป็นภาพยนตร์ที่มีความนิยมอย่างยิ่งใหญ่เรื่องหนึ่งแห่งปี 1998 ในปี 2001 สก็อตกำกับภาพยนตร์ของยูนิเวอร์แซลเรื่อง “Spy Game” ภาพยนตร์สายลับอำพรางที่ตั้งใจสร้างขึ้น ที่กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งของนักแสดงภาพยนตร์ผู้ยิ่งใหญ่อย่าง โรเบิร์ต เรดฟอร์ด และ แบรด พิตต์ ในปี 2005 หลังจากปีแห่งการพัฒนาภาพยนตร์ ในท้ายที่สุดสก็อตก็นำโปรเจ็กต์ภาพยนตร์อันเป็นที่รักของเขาเรื่อง “Domino” ออกมาฉายบนจอ พร้อมด้วยนักแสดงอย่างคับคั่ง นำทีมโดย คีร่า ไนท์ลีย์ แสดงบทเป็นนักล่าเงินรางวัลตัวจริง โดมิโน่ ฮาร์เวย์ ภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงของสก็อต ยังรวมถึงภาพยนตร์เรื่อง “Revenge” (1988) ที่เขาร่วมงานกับ เควิน คอสต์เนอร์ และ แอนโธนี่ ควินน์; “Days Of Thunder” (1990) แสดงโดย ทอม ครูซ และ โรเบิร์ต ดูวอล; “The Last Boy Scout” (1991) เป็นการร่วมงานกับ บรูซ วิลลิส; ภาพยนตร์ที่ได้รับคำชมเชยจากเหล่านักวิจารณ์เรื่อง “True Romance” (1993) แสดงโดย คริสเตียน สเลเตอร์, โรซีอานน่า อาร์เค็ท และ คริสโตเฟอร์ วอล์คเคน พร้อมด้วยบทภาพยนตร์โดย เคว็นติน ตารานติโน่ และภาพยนตร์เรื่อง “The Fan” (1996) แสดงโดย โรเบิร์ต เดอ นีโร่ และ วีสลีย์ สไนปส์ เขาเกิดที่นิวคาสเซิล, ไทน์แอนด์แวร์ ประเทศอังกฤษ สก็อตเข้าศึกษาที่ Sunderland Art School และเขาได้รับปริญญาด้านศิลปศาสตร์ เอกการวาดภาพ ขณะทำโปรเจ็กต์สำเร็จการศึกษาที่ Leeds College เขาได้เริ่มให้การสนใจทางด้านการถ่ายภาพ และสร้างภาพยนตร์เรื่อง “One of the Missing” ซึ่งเป็นภาพยนตร์ความยาวครึ่งชั่วโมง ได้รับทุนสนับสนุนโดย British Film Instituteและสร้างขึ้นจากเรื่องสั้นของ เอ็มโบรส เบียซ จากนั้นเขาได้รับปริญญาโทด้านศิลปศาสตร์ที่ Royal College of Arts และยังได้สร้างภาพยนตร์เรื่องอื่นให้กับ British Film Institute ที่มีชื่อว่า “Loving Memory” จากบทภาพยนตร์ต้นฉบับที่ได้รับเงินทุนสนับสนุนโดย อัลเบิร์ต ฟินนีย์ ในปี 1973 สก็อตร่วมมือกับน้องชายริดลีย์จากบริษัท RSA ที่เป็นผู้สร้างภาพยนตร์โฆษณาที่มีถิ่นฐานอยู่ที่ลอนดอน. เป็นเวลากว่าหนึ่งทศวรรษที่สก็อตได้สร้างความบันเทิงอันยิ่งใหญ่ให้กับโลก รวมไปถึงโฆษณาอันเป็นที่น่าจดจำต่างๆ และขัดเกลาภาษาภาพยนตร์ และได้คว้าเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ในทุกด้าน รวมไปถึงรางวัล Clio awards จำนวนมาก, Silver and Gold Lion Awards อีกหลากหลายจากงาน Cannes International Television/Cinema Commercials Festival และรางวัล Designers & Art Directors Award อันทรงเกียรติของอังกฤษ ขณะที่เขาทำหน้าที่เป็นผู้กำกับโฆษณา สก็อตก็ยังสร้างภาพยนตร์ทางโทรทัศน์อีกสามเรื่อง: ภาพยนตร์สารคดี 2 เรื่อง และภาพยนตร์พิเศษที่มีความยาว 1 ชั่วโมงเรื่อง “Author of Beltraffio” จากเรื่องราวโดย เฮนรี่ เจมส์ ในปี 2002 ภายใต้สัญลักษณ์ของ RSA สก็อตได้สร้างภาพยนตร์เรื่องสั้นทันสมัยที่มีความต่อเนื่องกัน ภาพยนตร์โฆษณาแฝงบันเทิสำหรับผู้สร้างรถยนตร์ยี่ห้อ BMW แสดงโดย คลีฟ โอเว่น สก็อตกำกับหนึ่งในภาพยนตร์เรื่องสั้นที่มีชื่อว่า “Beat the Devil” ที่แสดงโดยโอเว่น, เจมส์ บราวน์ และ แกรี่ โอลด์แมน ในปี 1995 สองพี่น้องได้เดินหน้าสร้างบริษัทสร้างภาพยนตร์และผลงานทางทีวีที่มีชื่อว่า Scott Free พร้อมด้วยบริษัทต่างๆ ในลอสแองเจลิสและลอนดอน บริษัทของสก็อตได้สร้างภาพยนตร์มากมายมาแล้วอย่างเรื่อง “The A Team,” “In Her Shoes,” “Tristan + Isolde” และภาพยนตร์ที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Academy Award “The Assassination of Jesse James by the Coward Robert Ford,” นำแสดงโดย แบรด พิตต์ พวกเขายังอำนวยการสร้างบริหารซีรี่ย์สุดฮิตที่ฉายทาง CBS เรื่อง “Numbers” ที่ปิดกล้องฤดูกาลที่ห้าและเป็นฤดูกาลสุดท้ายไปเมื่อต้นปีนี้ และยังรวมถึงซีรี่ย์เรื่องใหม่ที่ได้รับคำชมเชยจากเหล่านักวิจารณ์ที่มีชื่อว่า “The Good Wife” ที่ฉายทาง CBS มาร์ค บอมแบ็ค (ผู้เขียนบทภาพยนตร์) ได้อำนวยการสร้างผลงานที่รวมถึงภาพยนตร์เรื่อง “Race to Witch Mountain,” “Deception,” “Live Free or Die Hard,” “Constantine” (ฉบับขัดเกลาที่ไม่ได้รับการอ้างอิง) และภาพยนตร์เรื่อง “Godsend” เมื่อไม่นานมานี้เขาเพิ่งเสร็จสิ้นการเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง “The Umbrella Academy” ให้กับยูนิเวอร์แซล, “Agent Zigzag” ให้กับ นิวไลน์ ซีเนม่า และภาพยนตร์เรื่อง “Protection” ของทเว็นตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ ที่ดัดแปลงมาจากนวนิยายของ ริชาร์ด ฟอร์ด ที่มีชื่อว่า The Sportswriter โดยการกำกับของ เจมส์ แมนโกล์ด บอมแบ็คยังทำการสอนในหลักสูตรการเขียนบทภาพยนตร์ที่สถาบันการศึกษาเก่าของเขา Wesleyan University เขาอาศัยอยู่ที่นิวยอร์คกับภรรยาและลูกๆ ทั้งสี่คน จูลี่ ยอร์น (ผู้อำนวยการสร้าง) จูลี่ ยอร์น ได้ใช้เวลาเกือบ 20 ปีในฐานะผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์, ผู้บริหารและผู้จัดการในโลกฮอลลีวูด ในปี 2008 เธอร่วมเป็นหุ้นส่วนในธุรกิจกับ ริค ยอร์น มาเป็นเวลายาวนานในบริษัทที่อำนวยการสร้างและพร้อมด้วยการบริหารศิลปินแห่งใหม่ พร้อมด้วยการนำเสนอบทภาพยนตร์เพื่อให้ ทเว็นตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ พิจารณาเป็นรายแรก เมื่อไม่นานมานี้ยอร์นเพิ่งปิดกล้องจากการอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง “Red Riding Hood” ของ วอร์เนอร์ บราเดอร์ส ภาพยนตร์นำนิทานคลาสสิคกลับมาเล่าใหม่อีกครั้ง โดยนักแสดง อแมนด้า ซายฟราย และกำกับโดย แคทเธอรีน ฮาร์ดวิค ยอร์นกำลังอยู่ในช่วงพรี-โพรดักชั่นในภาพยนตร์เรื่อง “We Bought a Zoo” ของ ทเว็นตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ โดยมี คาเมรอน โครว์ ทำการกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ดัดแปลงมาจากไดอารี่ที่น่าสะเทือนใจที่เขียนโดย เบ็นจามิน มี และจะถูกสวมบทบาทแสดงบทนี้โดย แม็ต เดมอน ก่อนหน้านี้ยอร์นอำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์เรื่อง “Bride Wars” ของ นิว เรเจนซี่ และ ฟ็อกซ์ ซึ่งแสดงโดย แอน แฮทอะเวย์ และ เคท ฮัดสัน กำกับโดย แกรี่ วินิค ภาพยนตร์กวาดรายได้ทั้งหมด 114 ล้านดอลลาร์ทั่วโลก ในปีเดียวกันเธออำนวยการสร้างในภาพยนตร์เรื่อง “Max Payne” ภาพยนตร์นีโอ-นัวร์ที่ดัดแปลงมาจากวีดีโอเกมส์ยดนิยม; ภาพยนตร์แสดงโดย มาร์ค วาลเบิร์ก และ มีล่า คูนิส และเปิดตัวอยู่ที่อันดับหนึ่งของบ็อกซ์ ออฟฟิศผลงานของเธอเมื่อไม่นานมานี้ที่มีชื่อเสียงได้แก่ ภาพยนตร์ของโซนี่เรื่อง “First Sunday” แสดงโดย ไอซ์ คิวบ์ และ เทรซี่ มอร์แกน; “The Cleaner” ที่เธอร่วมงานกับ ซามูเอล แอล. แจ็คสัน และ อีว่า เม็นเดส และมินิซีรี่ย์ทางทีวีที่เธอร่วมงานกับนักแสดงที่มีชื่อเสียงอย่าง แลร์รี่ แม็คเมอร์ทรีย์ เรื่อง “Comanche Moon,” ภาคกำเนิดของภาพยนตร์เรื่อง “Lonesome Dove” ผลงานก่อนหน้านี้ที่มีชื่อเสียง ยังรวมถึงภาพยนตร์เรื่อง “The Exorcism of Emily Rose,” “The Devil’s Rejects,” “Come Early Morning,” “Wonderland,” “The Caveman’s Valentine,” “Eve’s Bayou” และ “Trees Lounge” ก่อนให้ความสนใจเป็นพิเศษทางด้านอำนวยการสร้างภาพยนตร์ ยอร์นเป็นผู้จัดการที่มีความสามารถมาเป็นเวลาหลายปี เป็นเวลากว่าทศวรรษที่ทำงานในอุตสาหกรรมบันเทิง ในปี 1998 เธอแยกตัวออกมาร่วมก่อตั้ง Artists Management Group ร่วมกับ ริค ยอร์น และ มิเชล โอวิตซ์ เธอใช้เวลาถึง 7 ปีในฐานะผู้ร่วมบริหารของ The Firm มาตามลำดับ ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับในส่วนของการอำนวยการสร้างที่จูลี่ทำการควบคุม บริษัทปัจจุบันได้ดูแลลูกค้าในรายชื่อที่น่าประทับใจ ซึ่งรวมถึง ลีโอนาโด ดิคาปริโอ, คาเมรอน ดิแอซ, เบนิซิโอ เดล โตโร่, จัสติน ทิมเบอร์เลค และ มาร์ติน สกอร์เซซี่ และนักแสดงอื่นๆ อีกมาก. เธอเป็นชาวนิวยอร์คโดยกำเนิด และสำเร็จการศึกษาที่ Tulane University ยอร์นอาศัยอยู่กับลูกสาวของเธอที่ชื่อว่าแซมมี่ที่ลอส แองเจลิส มีมี่ โรเจอร์ส (ผู้อำนวยการสร้าง) มีประสบการณ์มาหลายปีในวงการภาพยนตร์ ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง โรเจอร์สเป็นนักแสดงหญิงและผู้อำนวยการสร้างที่ได้รับการยอมรับด้วยประสบการณ์กว่า 20 ปีในภาพยนตร์และผลงานทางทีวี รวมไปถึงการรับบทนักแสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง “The Rapture,” “Someone to Watch over Me” และ “The Mirror Has Two Faces” โรเจอร์สและ คริส ซีอาฟฟ่าเริ่มก่อตั้ง Millbrook Farm Productions ที่มีการก่อตั้งมาตั้งแต่เมื่อ 12 ปีก่อน ได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ที่ได้คว้ารางวัลมาแล้วหลายต่อหลายเรื่อง ภาพยนตร์เรื่อง “The Devil’s Arithmetic” ที่แสดงโดย เคอร์สเทน ดันส์ และ บริททานี่ เมอร์ฟี่ อำนวยการสร้างโดยการร่วมมือกับ ดัสติน ฮอฟฟ์แมน ภาพยนตร์คว้ารางวัล Daytime Emmys สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม (ดอนน่า ไดช์) และบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (โรเบิร์ต เจ. แอฟเรช) ในภาพยนตร์พิเศษสำหรับเด็ก เช่นเดียวกับการถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล สาขาภาพยนตร์พิเศษสำหรับเด็กที่โดดเด่น ในปีเดียวกันสำหรับภาพยนตร์เรื่อง “Harlan County War” ที่แสดงโดยนักแสดงผู้คว้ารางวัล Academy Award ฮอลลี่ ฮันเตอร์, ได้รับการถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Emmy ดีเด่นถึงสองรางวัล และถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Golden Globe สำหรับฮันเตอร์ในสาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยม โปรเจ็กต์ภาพยนตร์นอกจากนั้นยังรวมถึงภาพยนตร์เรื่อง “My Horrible Year” ที่ทำให้ผู้กำกับ อีริค สตอล์ซ ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Daytime Emmy ในปี 2002 และภาพยนตร์เรื่อง “Charms for the Easy Life” ที่ฉายทาง Showtime โดยภาพยนตร์สร้างขึ้นจากนวนิยายสุดฮิตที่ขายดีที่สุด เขียนขึ้นโดย เคน กิ๊บบอนส์ แสดงโดย จีน่า โรวแลนด์ และอำนวยการสร้างโดยโรเจอร์ส มิลบรูคมีโปรเจ็กต์ภาพยนตร์อีกมากมายที่อยู่ในช่วงพัฒนาที่สตูดิโอภาพยนตร์ใหญ่ๆ มากมายพร้อมความสามารถอันโดดเด่นที่ใส่เข้าไป ในบรรดาโปรเจ็กต์มากมายของเขายังมีภาพยนตร์เรื่อง “Faking It in America” ที่สร้างขึ้นจากหนังสือที่แต่งขึ้นเกี่ยวกับแผนการร้ายในตลาดหุ้น ซึ่งเป็นภาพยนตร์ของ นิวไลน์ ซีเนม่า และภาพยนตร์แนวอินดี้ที่เกี่ยวกับการเงินเรื่อง “Dragster” สำหรับรายชื่อภาพยนตร์เพิ่มเติมของพวกเขา โรเจอร์และ ซีแอฟฟ่า ได้ทำการพัฒนาและอำนวยการสร้างภาพยนตร์ทางทีวีในตอนแรกเรื่อง _“Written in Stone,” “Stay Home Dad” และ “2 Minute Mysteries” ภาพยนตร์ของพวกเขาเรื่อง “Up for Renewal” กำลังอยู่ในช่วงพัฒนาสำหรับช่อง Lifetime อีริค แมคลอย์ด (ผู้อำนวยการสร้าง) มีประสบการณ์ในการอำนวยการสร้างภาพยนตร์ที่หลากหลายในฐานะผู้อำนวยการสร้าง, ผู้อำนวยการสร้างบริหารและผู้จัดการกองถ่ายย่อย เขาทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับภาพยนตร์อันโด่งดังของ เจอร์รี่ บรัคไฮเมอร์ มาแล้วมากมาย ผลงานการอำนวยการสร้างภาพยนตร์ยังรวมถึงเรื่อง “Prince of Persia: The Sands of Time” เช่นเดียวกับภาคที่ 2 และ 3 ของภาพยนตร์เรื่อง “Pirates of the Caribbean,” “Dead Man’s Chest” และ “At World’s End” ก่อนหน้านี้แมคลอย์ดอำนวยการสร้างภาพยนตร์ที่มีการคาดหวังอย่างสูงอย่างเรื่อง “Tropic Thunder,” ภาพยนตร์สุดฮิตเรื่อง “Mr. and Mrs. Smith” และเป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับภาพยนตร์เรื่อง “The Dukes of Hazzard,” “The Cat in the Hat,” “Showtime,” “Bubble Boy” และ “Austin Powers: International Man of Mystery” เขายังอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง “Austin Powers in Goldmember,” “The Cell” และ “Austin Powers: The Spy Who Shagged Me” แมคลอย์ดเป็นผู้ร่วมอำนวยการสร้างในภาพยนตร์เรื่อง “Feeling Minnesota” และ “Now and Then” เป็นผู้อำนวยการด้านงบประมาณในภาพยนตร์เรื่อง “Corrina, Corrina” และ “Even Cowgirls Get the Blues” และร่วมอำนวยการสร้างในภาพยนตร์เรื่อง “Live Wire” และเขายังทำหน้าที่เป็นผู้จัดการกองถ่ายย่อยในภาพยนตร์หลายเรื่องที่กล่าวมาข้างต้น เช่นเดียวกับการอำนวยการสร้างในภาพยนตร์ของ เจอร์รี่ บรัคไฮเมอร์ เรื่อง “Enemy of the State,” “Wag the Dog,” “Wide Sargasso Sea” และ “The Rapture” แมคลอย์ดเริ่มอาชีพของเขาทางด้านภาพยนตร์ในฐานะผู้ร่วมอำนวยการสร้างในภาพยนตร์เรื่อง “Cry-Baby,” “Drugstore Cowboy” และ “8 Seconds” อเล็กซ์ ยัง (ผู้อำนวยการสร้าง) ก่อนที่จะรับหน้าที่ในการจัดการอำนวยการสร้างภาพยนตร์ที่ ทเว็นตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ เขาเป็นเจ้าหน้าที่อาวุโสสายงานผลิตภาพยนตร์ที่สตูดิโอ และในตอนท้ายได้เลื่อนขั้นเป็นประธานร่วมสายงานผลิตภาพยนตร์ ในบรรดาภาพยนตร์มากมายที่เขาควบคุมดูแล_ที่ฟ็อกซ์ คือภาพยนตร์เรื่อง “X-Men Origins: Wolverine,” “Live Free or Die Hard,” “X-Men: The Last Stand,” “Fantastic Four” และ “X2: X-Men United” ภายใต้การจัดการอำนวยการสร้างภาพยนตร์ร่วมกับสตูดิโอ เขายังเป็นผู้อำนวยการสร้างในภาพยนตร์เรื่อง “The A-Team” ซึ่งเป็นภาพยนตร์แอคชั่นผจญภัยจอยักษ์ที่สร้างขึ้นจากซีรี่ย์ขวัญใจทางทีวี กำกับโดย โจ คาร์นาฮาน แสดงโดย เลียม นีสัน, แบรดลีย์ คูเปอร์, ชาร์ลโต โคพลีย์ และ ควินตัน “แรมเพจ” แจ็คสัน ยังเป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับภาพยนตร์เรื่อง “Predators” ความกล้าหาญตอนใหม่ในโลกแห่งพรีเดเตอร์ สร้างขึ้นภายใต้การอุปการะของ โรเบิร์ต โรดริเกซ และภาพยนตร์เรื่อง “Wall Street: Money Never Sleeps” ที่กำกับโดย โอลิเวอร์ สโตน ก่อนการร่วมงานที่ฟ็อกซ์ ยังเป็นรองประธานสายงานผลิตภาพยนตร์ที่พาราเมาท์ พิกเจอร์ส คริส ซีแอฟฟ่า (ผู้อำนวยการสร้างบริหาร) เป็นผู้ช่วยผู้กำกับในการสร้างภาพยนตร์และทางทีวีเป็นเวลากว่า 10 ปี ก่อนที่ผันตัวมาอำนวยการสร้าง เขาและมีมี่ โรเจอร์ส เริ่ม Millbrook Farm Productions ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 12 ปีที่แล้ว และได้สร้างภาพยนตร์ที่คว้ารางวัลมาแล้วมากมาย ภาพยนตร์เรื่อง “The Devil’s Arithmetic” ที่แสดงโดย เคอร์สเทน ดันส์ และ บริททานี่ เมอร์ฟี่ อำนวยการสร้างโดยการร่วมมือกับ ดัสติน ฮอฟฟ์แมน ภาพยนตร์คว้ารางวัล Daytime Emmys สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม (ดอนน่า ไดช์) และบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (โรเบิร์ต เจ. แอฟเรช) ในภาพยนตร์พิเศษสำหรับเด็ก เช่นเดียวกับการถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล สาขาภาพยนตร์พิเศษสำหรับเด็กที่โดดเด่น ในปีเดียวกันสำหรับภาพยนตร์เรื่อง “Harlan County War” ที่แสดงโดยนักแสดงผู้คว้ารางวัล Academy Award ฮอลลี่ ฮันเตอร์, ได้รับการถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Emmy ดีเด่นถึงสองรางวัล และถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Golden Globe สำหรับฮันเตอร์ในสาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยม โปรเจ็กต์ภาพยนตร์นอกจากนั้นยังรวมถึงภาพยนตร์เรื่อง “My Horrible Year” ที่ทำให้ผู้กำกับ อีริค สตอล์ซ ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Daytime Emmy ในปี 2002 และภาพยนตร์เรื่อง “Charms for the Easy Life” ที่ฉายทาง Showtime โดยภาพยนตร์สร้างขึ้นจากนวนิยายสุดฮิตที่ขายดีที่สุด เขียนขึ้นโดย เคน กิ๊บบอนส์ แสดงโดย จีน่า โรวแลนด์ และอำนวยการสร้างโดยโรเจอร์ส มิลบรูคมีโปรเจ็กต์ภาพยนตร์อีกมากมายที่อยู่ในช่วงพัฒนาที่สตูดิโอภาพยนตร์ใหญ่ๆ มากมายพร้อมความสามารถอันโดดเด่นที่ใส่เข้าไป ในบรรดาโปรเจ็กต์มากมายของเขายังมีภาพยนตร์เรื่อง “Faking It in America” ที่สร้างขึ้นจากหนังสือที่แต่งขึ้นเกี่ยวกับแผนการร้ายในตลาดหุ้น ซึ่งเป็นภาพยนตร์ของ นิวไลน์ ซีเนม่า และภาพยนตร์แนวอินดี้ที่เกี่ยวกับการเงินเรื่อง “Dragster” สำหรับรายชื่อภาพยนตร์เพิ่มเติมของพวกเขา โรเจอร์และ ซีแอฟฟ่า ได้ทำการพัฒนาและอำนวยการสร้างภาพยนตร์ทางทีวีในตอนแรกเรื่อง _“Written in Stone,” “Stay Home Dad” และ “2 Minute Mysteries” ภาพยนตร์ของพวกเขาเรื่อง “Up for Renewal” กำลังอยู่ในช่วงพัฒนาสำหรับช่อง Lifetime ริค ยอร์น (ผู้อำนวยการสร้างบริหาร) ภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงของเขา ยังรวมถึงภาพยนตร์ผลงานของ มาร์ติน สกอร์เซซี่ เรื่อง “The Aviator” และ “Gangs of New York” บวกกับภาพยนตร์เรื่อง “The Wolfman” บริษัทบริหารศิลปินของยอร์นยังเป็นตัวแทนของ เบนิซิโอ เดล โตโร, คาเมรอน ดิแอซ, ลีโอนาโด ดิคาปริโอ, มาร์ติน สกอร์เซซี่ และ จัสติน ทิมเบอร์เลค เจฟฟ์ ควาติเนตซ์ (ผู้อำนวยการสร้างบริหาร) เป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์และผู้บริหาร ภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงของเขารวมถึงภาพยนตร์เรื่อง “Big Momma’s House,” “National Security” และ “Black Knight” เบ็น เซเรซิน (ผู้กำกับภาพ) เขาเกิดและเติบโตขึ้นที่นิวซีแลนด์ จากพ่อแม่ที่เป็นชาวรัซเซีย เขาย้ายไปอยู่ออสเตรเลียเมื่ออายุ 18 ปีเพื่อตามหาอาชีพด้านภาพยนตร์ เขาทำงานเป็นผู้ช่วยอยู่ที่นั่นอยู่ 4 ปีก่อนย้ายที่ทำงานอีกครั้งเพื่อไปอยู่ที่อังกฤษ เซเรซินไม่ได้รับการฝึกด้านตากล้องอย่างเป็นกิจลักษณะ แต่ได้เรียนรู้จากการเรียนที่ทำงานของตากล้องผู้มีชื่อเสียงโดยเฉพาะ วิตโตริโอ สโตราโร่ และ ดาริอุส คอนจิ ตอนอายุ 17 ปี เขาทำงานเป็นช่างไฟในภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา เมื่ออายุ 19 เขาได้เป็นตากล้องครั้งแรกในภาพยนตร์อนามอร์ฟิคของชาวออสเตรเลีย เป็นเวลาเกินกว่า 6 ปีที่เซเรซินใช้เวลาทำงานระหว่างที่อังกฤษและออสเตรเลีย ในขั้นต้นเขาเป็นผู้ช่วยจากนั้นจึงได้เป็นผู้ถ่ายทำ ในปี 1992 เซเรซินได้ย้ายไปอยู่ที่อังกฤษอย่างถาวรเพื่อประกอบอาชีพเป็นผู้กำกับภาพของโฆษณาและภาพยนตร์อินดี้ต่างๆ ในปี 2000 เซเรซินทำหน้าที่เป็นผู้กำกับภาพกองสอง ให้กับภาพยนตร์เรื่อง “Lara Croft: Tomb Raider” ตามมาด้วยการถ่ายทำกองสอง ในปีถ้ดมาสำหรับภาพยนตร์เรื่อง “Terminator 3” นี่เป็นผลทำให้เขาทำงานอยู่ที่อเมริกาเป็นหลัก เซเรซินได้ใช้เวลาหลายปีจากนั้นในการทำงานและใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษและอเมริกา ในปี 2007 เขาใช้เวลาอยู่ 5 สัปดาห์สำหรับการควบคุมการถ่ายภาพส่วนใหญ่ของภาพยนตร์เรื่อง “Pirates of the Caribbean: At World’s End” สำหรับตากล้อง ดารีอุส วอลสกี ผู้ต้องการเริ่มทำงานในโปรเจ็กต์ภาพยนตร์เรื่องอื่น ผลงานของเซเรซินในภาพยนตร์อินดี้เรื่อง “The James Gang” ซึ่งเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา ทำให้เขาคว้ารางวัล N?stor Almendros Giovanni Autori della Fotografia Cinematografico Award จาก Istituto Cinematografico Dell’Aquila และ A.I.C. (สมาคมผู้กำกับภาพแห่งอิตาลี) เขารับรางวัลหลายต่อหลายครั้งสำหรับผลงานโฆษณาของเขา และได้ร่วมงานกับผู้กำกับภาพยนตร์โฆษณาผู้มีชื่อเสียงมากมาย เช่น แฟรงค์ บัดเจน, รินแกน เล็ดวิดจ์ และ เฟร็ดริก บอนด์ ภาพยนตร์เรื่อง “Transformers: Revenge of the Fallen” เป็นผลงานแรกของเซเรซินในเมเจอร์สตูดิโอ ผลงานต่อไปของเขาจะได้เห็นในภาพยนตร์เรื่อง “X-Men: First Class” ของผู้กำกับ แมทธิว วอน คริส ซีเกอร์ส (ผู้ออกแบบฉาก) เริ่มการทำงานร่วมกับผู้กำกับ โทนี่ สก็อต ในฐานะผู้ควบคุมงานกำกับศิลป์การถ่ายทำในประเทศมอรอคโค สำหรับภาพยนตร์เรื่อง “Spy Game” และผลงานของสก็อตเมื่อไม่นานมานี้ในเรื่อง “The Taking of Pelham 123,” “D?j? Vu,” “Man on Fire” และ “Domino” ผลงานของเขาจะได้เห็นในภาพยนตร์ที่กำลังจะฉายเรื่อง “The Rum Diary” ที่สร้างขึ้นจากนวนิยายของ ฮันเตอร์ เอส. ทอมพ์สัน อำนวยการสร้างและแสดงโดย จอห์นนี่ เดปป์ ซีเกอร์สเป็นผู้ออกแบบฉากให้กับภาพยนตร์ที่มีการล้อเลียนสายลับอย่างเรื่อง “Johnny English” และเป็นผู้กำกับศิลป์ในภาพยนตร์เรื่อง “Captain Corelli’s Mandolin” และ “The End of the Affair” ผลงานเรื่องอื่นของเขาในฐานะผู้กำกับศิลป์ ยังรวมถึงภาพยนตร์เรื่อง “Saving Private Ryan” ที่เขาได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมผู้ออกแบบที่ถูกเสนอเข้าชิงรางวัลอันทรงเกียรติ Art Directors Guild Award สาขาการออกแบบฉากยอดเยี่ยม ภาพยนตร์เรื่อง “The Good Thief,” “The Crying Game” และ “A Kiss Before Dying” คริส เลเบ็นซอน, A.C.E. (ผู้ลำดับภาพ) ร่วมงานกับผู้สร้างภาพยนตร์หลายคนที่ประสบความสำเร็จในการทำงานปัจจุบันอย่างมาก จากผู้กำกับ ทิม เบอร์ตัน และ โทนี่สก็อต มาจนถึงผู้อำนวยการสร้างที่ยิ่งใหญ่ เจอร์รี่ บรัคไฮเมอร์ เขาเป็นผู้ลำดับภาพคนหนึ่งที่ได้รับรางวัลมามากมาย เขาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Academy Award อันยอดเยี่ยมถึงสองครั้ง สำหรับผลงานของเขาร่วมกับสก็อตในภาพยนตร์ยอดนิยมเรื่อง “Crimson Tide” และ “Top Gun” เลเบ็นซอนยังร่วมงานกับผู้กำกับในภาพยนตร์มากมายเช่น “The Taking of Pelham 123,” “D?j? Vu,” “Enemy of The State,” “Days of Thunder,” “The Last Boy Scout,” “Revenge,” และ “Beverly Hills Cop 2” การร่วมงานของเขากับผู้กำกับ ทิม เบอร์ตัน รวมถึงภาพยนตร์เรื่อง “Alice in Wonderland,” “Sweeney Todd: The Demon Barber of Fleet Street,” “Charlie and the Chocolate Factory,” “Corpse Bride,” “Big Fish,” “Planet of the Apes,” “Sleepy Hollow,” “Mars Attacks!,” “Ed Wood,” “Tim Burton’s The Nightmare Before Christmas” และ “Batman Returns” ผลงานอื่นๆ ของเลเบ็นซอนที่มีชื่อเสียงคือภาพยนตร์เรื่อง “Pearl Harbor,” “Gone in Sixty Seconds,” “Armageddon” และ “Con Air,” ทั้งหมดนี้สำหรับผู้อำนวยการสร้าง เจอร์รี่ บรัคไฮเมอร์ เช่นเดียวกับภาพยนตร์เรื่องอื่นเช่น “Eragon,” “Radio,” “xXx,” “Midnight Run” และ “Weird Science” โรเบิร์ต ดัฟฟี่ (ผู้ลำดับภาพ) เป็นผู้ร่วมคว้ารางวัล editorial house Spotwelders ที่จัดขึ้นในเวนิซ แคลิฟอร์เนีย เขาเป็นผู้ลำดับภาพให้กับมิวสิควีดีโออันโด่งดังของ Jay-Z, Madonna, Nine Inch Nails, Johnny Cash, REM และ Michael Jackson เช่นเดียวกับโฆษณาด้านการตลาดให้กับ Nike, Coke, Pepsi, Levi’s และ Microsoft ดัฟฟี่อยู่ในแถวหน้าของพลังอันสร้างสรรค์ยุคใหม่ของภาพยนตร์เรื่องสั้นและผลงานทางทีวี ผลงานของเขาทำให้เขาได้รับรางวัล Monitor and MTV Video Awards มาแล้วมากมาย เช่นเดียวกับการยอมรับจาก National Academy of Recording Arts & Sciences (NARAS) สำหรับผลงานการลำดับภาพของเขาให้กับผลงานของ โรลลิ่ง สโตนส์ ที่คว้ารางวัล Grammy? Award ในเพลง “Love Is Strong” ที่คว้ารางวัลขององค์กรสาขามิวสิควีดีโอยอดเยี่ยม, Short Form ในปี 1994 ผลงานการลำดับภาพเรื่องแรกของดัฟฟี่ที่มีชื่อเสียงมาจากภาพยนตร์เรื่อง “The Cell” เขายังได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมลำดับภาพในภาพยนตร์เรื่อง “The League of Extraordinary Gentlemen” และ “Man on Fire” ในปี 2006 เขาลำดับภาพในภาพยนตร์ที่ดึงดูดความสนใจตามที่ปรากฏให้ทางสายตาเรื่อง “The Fall” กำกับโดย ทาร์เซ็ม ซิง ลี ทริงค์ (ผู้ร่วมอำนวยการสร้าง) เป็นผู้ให้คำปรึกษาในการอำนวยการสร้าง Spike ทีวีซีรี่ย์เรื่อง “On The Road: A True Rock-N-Roll Story” เพ็นนี่ โรส (ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย) เธอถูกเสนอชื่อเข้าชิงหลายรางวัล รวมถึงรางวัล BAFTA for Best Costume Design and the Costume Designers Guild Award สำหรับการออกแบบอันยอดเยี่ยม (ทั้งในแนวพีเรียดและแนวแฟนตาซี) สำหรับผลงานพิเศษในภาพยนตร์ของผู้อำนวยการสร้าง เจอร์รี่ บรัคไฮเมอร์ เรื่อง “Pirates of the Caribbean” ไตรภาค ที่กำกับโดย กอร์ เวอร์บินสกี ตอน “The Curse of the Black Pearl,” “Dead Man’s Chest” และ “At World’s End” เธอกำลังอยู่ในระหว่างการทำงานที่ฮาวายและลอนดอนสำหรับภาพยนตร์ภาคที่ 4 ของเรื่อง “Pirates of the Caribbean” กำกับโดย ร็อบ มาร์แชล, “On Stranger Tides” โรสได้รับการถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล BAFTA สำหรับผลงานของเธอในภาพยนตร์ที่ได้รับการยกย่องของผู้กำกับ อลัน พาร์คเกอร์ เรื่อง “Evita” ที่แสดงโดย มาดอนน่า โรสร่วมงานกับพาร์คเกอร์มาเป็นเวลายาวนาน และได้ออกแบบเครื่องแต่งกายให้กับภาพยนตร์ของเขาอีก 3 เรื่อง: “The Road to Wellville,” “Pink Floyd: The Wall” และ “The Commitments” เธอออกแบบเครื่องแต่งกายให้กับภาพยนตร์ของบรัคไฮเมอร์เรื่อง “Prince of Persia: The Sands of Time” กำกับโดย ไมค์ เนเวล และแสดงโดย เจค จิลลินฮอล และสำหรับซีรี่ย์ที่ได้รับการยกย่องอย่างมากที่ฉายทาง HBO เรื่อง “The Pacific” ซึ่งทำให้เธอได้รับการถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Emmy ถึง 23 รางวัล ผลงานอื่นของเธอที่มีชื่อเสียงยังรวมถึงในภาพยนตร์เรื่อง “Made of Honor” แสดงโดย แพทริค เดมพ์ซีย์ และ มิเชล โมนาฮาน; “Wild Hogs” ที่เธอร่วมงานกับ จอห์น ทราโวลต้า, ทิม อัลเลน, มาร์ติน ลอว์เรนซ์ และ วิลเลียม เอช. เมซี่; ภาพยนตร์ของเวอร์บินสกีเรื่อง “The Weather Man” แสดงโดย นิโคลาส เคจ; “King Arthur” แสดงโดย คลีฟ โอเว่น และ คีร่า ไนท์ลีย์ กำกับโดย แอนทวน ฟูควา; “The Sleeping Dictionary” ที่เขียนบทและกำกับภาพยนตร์โดย กาย เจนกินส์ แสดงโดย เจสสิก้า อัลบ้า, เบร็นด้า บลีธิน และ บ็อบ ฮอสกินส์; “The Good Thief” ของผู้กำกับ นีล จอร์แดน แสดงโดย นิค โนลเต้ แ ละ เชกี้ คาร์โย; “Just Visiting” ที่เธอร่วมงานกับ ยีน รีโน่, คริสติน่า แอปเปิลเกต และ คริสเตียน เคลเวียร์; “Entrapment” แสดงโดย ฌอน คอนเนอรี่ และ แคทเธอรีน ซีต้า-โจนส์ และภาพยนตร์ที่นำกลับมาสร้างใหม่โดยดิสนีย์เรื่อง “The Parent Trap” แสดงโดย เด็นนิส เควด, นาตาชา ริฮาร์ดสัน และ ลินด์เซย์ โลฮาน กำกับโดย แนนซี่ มีเยอร์ส ในช่วงแรกของอาชีพการงานเธอ โรสออกแบบเครื่องแต่งกายให้กับภายพนตร์ของ ไบรอัน เดอ พัลม่า เรื่อง “Mission: Impossible” และได้ร่วมงานเป็นครั้งที่สองกับผู้กำกับ ลอร์ด ริชาร์ด แอทเทนโบโร่ ในภาพยนตร์เรื่อง “Shadowlands” และ “In Love and War” ผลงานของเธอต่อไปยังรวมถึงในภาพยนตร์ของ คริสโตเฟอร์ แฮมพ์ตัน เรื่อง “Carrington;” ภาพยนตร์ของ วินเซนต์ วาร์ด เรื่อง “Map of the Human Heart;” ภาพยนตร์ผลงานของ บิล ฟอร์ซิธ เรื่อง “Local Hero;” ภาพยนตร์ผลงานของ แพท โอคอนเนอร์ เรื่อง “Cal;” ภาพยนตร์ผลงานของ มาเร็ค เคนีฟสกา เรื่อง “Another Country;” และภาพยนตร์ผลงานของ ยัง-ชัง อันโนลด์ เรื่อง “Quest for Fire” โรสได้รับการฝึกหัดจากโรงละคร West End Theatre เธอไม่ได้เริ่มเส้นทางอาชีพแค่ทางด้านโรงละครเท่านั้น แต่ยังรวมถึงทางทีวี ที่มีการออกแบบให้กับโฆษณามากมาย ซึ่งเธอได้พบกับ อลัน พาร์คเกอร์, เอเดรียน ลิน, ริดลีย์ และ โทนี่ สก็อต และ ฮิวจ์ ฮัดสัน เป็นครั้งแรก เธอเกิดและเติบโตที่บริเทน และสามารถใช้ภาษาฝรั่งเศสและอิตาเลียนได้อย่างคล่องแคล่ว แฮร์รี่ เกร็กสัน-วิลเลียมส์ (ผู้ประพันธ์ดนตรี) ได้ประพันธ์ดนตรีให้กับภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมมาแล้วมากมาย ทั้งภาพยนตร์ไลฟ์-แอคชั่นและแอนิเมชั่น เขาสร้างผลงานในภาพยนตร์แฟรนไชส์อันโด่งดังเรื่อง “Shrek” ทั้งสี่ภาค ซึ่งรวมถึง “Shrek Forever After” ที่เพิ่งผ่านมาไม่นาน เขาถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล BAFTA Award ในช่วงแรกสำหรับเพลงประกอบภาพยนตร์ของ “Shrek” ภาคแรก โดยการร่วมกำกับของ แอนดรูว์ อดัมสัน ต่อมา เกร็กสัน-วิลเลียมส์ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Golden Globe และ Grammy Award สำหรับดนตรีประกอบภาพยนตร์ของเขา ในภาพยนตร์ผลงานของอดัมสันเรื่อง “The Chronicles of Narnia: The Lion, The Witch, and The Wardrobe” ก่อนหน้านี้เกร็กสัน-วิลเลียมส์ ได้ร่วมงานกับ โทนี่ สก็อต ในภาพยนตร์หลายต่อหลายเรื่อง ซึ่งรวมถึงภาพยนตร์เรื่อง “The Taking of Pelham 1 2 3,” “D?j? Vu,” “Domino,” “Man on Fire,” “Spy Game” และ “Enemy of the State” เขายังได้ร่วมงานกับผู้กำกับคนอื่นๆ อีกหลายครั้ง รวมถึงผู้กำกับที่มีชื่อเสียงมากอย่าง โจแอล ชูมัคเกอร์ ในภาพยนตร์เรื่อง “Twelve,” “The Number 23,” “Veronica Guerin” และ “Phone Booth”; และภาพยนตร์ผลงานของ เบ็น เอ็ฟเฟล็ค เรื่อง “Gone Baby Gone” และ “The Town” รายชื่ออันยาวเหยียดของผลงานที่มีชื่อเสียง ยังรวมถึงผลงานในภาพยนตร์ของ ไมค์ เนเวล เรื่อง “Prince of Persia: The Sands of Time”; “X-Men Origins: Wolverine”; ภาพยนตร์ผลงานของอดัมสันเรื่อง “The Chronicles of Narnia: Prince Caspian”; “Seraphim Falls”; ภาพยนตร์ของ ริดลีย์ สก็อต เรื่อง “Kingdom of Heaven”; ภาพยนตร์ผลงานของบีแบน คิดรอน เรื่อง “Bridget Jones: The Edge of Reason”; ภาพยนตร์แอนิเมชั่นที่ดังระเบิด ผลงานของอาร์ดแมน เรื่อง “Chicken Run”; “Return to Sender” และ “Smilla’s Sense of Snow” ภาพยนตร์ของทั้งสองผู้กำกับ บิลลี่ ออกัส และ แอนทวน ฟูควา เรื่อง “The Replacement Killers” และภาพยนตร์เรื่อง “Antz” เขาเกิดในครอบครัวนักดนตรีที่ประเทศอังกฤษ เมื่ออายุ 7 ขวบเกร็กสัน-วิลเลียมส์ได้รับทุนจากโรงเรียนดนตรีของ St. John’s College ที่แคมบริดจ์ เมื่ออายุ 13 ผลงานเพลงของเขาที่ถูกเสนอในการบันทึกเสียงอันมากมาย จากนั้นเขาได้รับ coveted spot ที่ Guildhall School of Music and Drama ที่ลอนดอน เขาเริ่มอาชีพทางด้านภาพยนตร์ฐานะผู้ประพันธ์และเป็นผู้เตรียมการให้กับผู้ประพันธ์อย่าง สแตนลีย์ ไมเยอร์ส และต่อมาได้ประพันธ์ดนตรีประกอบภาพยนตร์ครั้งแรกให้กับผู้กำกับ นิโคลาส โรค ต่อมาเขาได้ร่วมงานกับผู้ประพันธ์ดนตรี ฮานส์ ซิมเมอร์ ซึ่งทำให้เกร็กสัน-วิลเลียมส์นำเสนอดนตรีให้กับภาพยนตร์เรื่อง “The Rock,” “Broken Arrow,” “Armageddon,” “As Good as it Gets” และ “The Prince of Egypt”

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ