สสส.หนุน อบต.ขุนทะเล ขยายผล “ตำบลสุขภาวะ” ดูแลผู้ด้อยโอกาส-พิการด้วยแนวคิด “ชุมชนไม่ทอดทิ้งกัน”

ข่าวทั่วไป Wednesday December 8, 2010 16:26 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--8 ธ.ค.--บรอดคาซท์ วิตามิน บี ผู้พิการและผู้ด้อยโอกาสมักจะถูกมองว่าเป็นปัญหาของสังคม เพราะด้วยความพิการจึงทำให้คนกลุ่มนี้ไม่สามารถประกอบอาชีพได้เหมือนกับคนปกติ ทำให้ไม่มีรายได้ที่จะเลี้ยงดูตนเองได้ และกลายเป็นภาระของครอบครัวและชุมชนในที่สุด ด้วยเหตุนี้ทาง องค์การบริหารส่วนตำบลขุนทะเล อำเภอลานสกา จังหวัดนครศรีธรรมราช จึงได้นำแนวคิด “ชุมชนไม่ทอดทิ้งกัน” มาเป็นหลักในการทำงานเพื่อสร้างสุขภาวะให้เกิดแก่ชุมชนโดยเฉพาะผู้พิการและผู้ด้อยโอกาส ผ่านการทำงานร่วมกับผู้นำชุมชน ประชาชน และภาคีเครือข่าย เน้นการมีส่วนรวมของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยนำทุนทางสังคมมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และหลอมรวมเข้ากับนโยบายการพัฒนาตำบล จนเกิดเป็นกิจกรรมการบริการสุขภาพที่ครอบคลุมความต้องการของประชาชนในทุกมิติ สิ่งเหล่านี้ได้ทำให้ อบต.ขุนทะเล กลายเป็น “ศูนย์เรียนรู้ต้นแบบ” ให้กับชุมชนอื่นๆ ตามโครงการ “สร้างสุขภาวะจากตำบลขุนทะเลด้วยการเรียนรู้เพื่อขยายผลสู่ตำบลเครือข่าย” ที่ได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) นายโสภณ พรหมแก้ว นายกองค์การบริหารส่วนตำบลขุนทะเล เปิดเผยว่า โครงการสร้างสุขภาวะด้วยการเรียนรู้จากตำบลขุนทะเลเพื่อขยายผลสู่ตำบลเครือข่าย เริ่มดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2552 โดยมีจุดเด่นที่ระบบการจัดสวัสดิการให้กับชุมชน ด้วยการสร้างให้สมาชิกทุกคนตระหนักว่าอนาคตและความยั่งยืนจะเกิดขึ้นในชุมชนได้นั้น จะต้องเกิดขึ้นจากความคิดและความต้องการคนในชุมชน ด้วยแนวคิดชุมชนไม่ท้องทิ้งกันจึงเกิดเป็นโครงการต่างๆ รวมถึงจัดตั้งกลุ่มสหกรณ์ออมทรัพย์ที่ดูแลสวัสดิการต่างๆ ให้กับสมาชิกในชุมชน นอกจากนี้ยังได้มีการตั้งกลุ่มอาชีพต่างๆ ให้กับกลุ่มผู้พิการที่เกิดขึ้นจากบริบทพื้นฐานของคนที่อยู่ชายขอบมารวมตัวกันประกอบอาชีพโดย อบต.และชุมชนร่วมกันสนับสนุนอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เขามีชีวิตได้อย่างปกติ มีคุณค่าและไม่ถูกสังคมทอดทิ้ง “แนวคิดหลักที่จะพัฒนาตำบลขุนทะเลให้เป็นตำบลสุขภาวะนั้น เราเน้นในเรื่องการบริหารจัดการคน โดยเฉพาะคนชายขอบหรือคนที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุข เช่นคนที่พิการ ผู้ยากไร้ ผู้ด้อยโอกาส ดังนั้นเราจึงเน้นไปที่การดูแลผู้ด้อยโอกาส เพราะกลุ่มนี้ก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งในสังคม แต่สังคมกลับไม่ได้ให้ความสำคัญและดูแลคนกลุ่มนี้ เราจึงให้ความสำคัญว่าทำอย่างไรให้คนพิการออกสู่สาธารณะ ทำอย่างไรให้เขามีสวัสดิการต่างๆ เพื่อให้เขาสามารถอยู่ร่วมในสังคมได้อย่างมีศักดิ์ศรี เพราะเมื่อทุกคนในชุมชนมีสุขภาพดี มีสุขภาวะที่ดีทั้งกาย ใจ สังคมก็จะเข้มแข็งไปด้วย แต่ความยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ สิ่งที่สำคัญคือคนในชุมชนจะต้องเห็นความสำคัญและมีจิตอาสาที่จะพัฒนาท้องถิ่นของตนเอง” นายโสภณกล่าว นายสุริยา พันธ์พืช ผู้พิการด้วยโรคโปลิโอจากหมู่บ้านสอ ตำบลขุนทะเล ที่ปัจจุบันหันมาประกอบอาชีพซ่อมรถมอเตอร์ไซค์ และมีรายได้ไม่น้อยกว่า 1 หมื่นบาทในแต่ละเดือน เล่าให้ฟังว่าเกือบทุกเดือนจะมีเจ้าหน้าที่อาสาสมัครมาเยี่ยมเยียนสอบถามสารทุกข์สุขดิบและคอยให้กำลังใจอยู่เสมอ ทำให้เขาเกิดความรู้สึกว่าน่าจะนำความสามารถที่ตนเองมีอยู่ออกไปช่วยเหลือชุมชนบ้าง “เวลาที่ทาง อบต.ขุนทะเลจัดกิจกรรมต่างๆ หรืองานสาธารณประโยชน์ก็จะปิดร้านแล้วอาสาไปร่วมกับคนอื่นๆ ในการดูแลซ่อมแซมรถมอเตอร์ไซค์ เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ หรือช่วยงานอื่นๆ เท่าที่ช่วยได้ เพราะที่มีอาชีพได้อย่างทุกวันนี้ ก็เพราะว่าได้รับความช่วยเหลือจากอาสาสมัครของ อบต.ขุนทะเลที่มาคอยดูแลและให้กำลังใจอย่างสม่ำเสมอ” นายสุริยากล่าว นางนงลักษณ์ สุตระ หัวหน้ากลุ่มดอกไม้ดินวิทยาศาสตร์ เล่าว่าในกลุ่มมีสมาชิกทั้งหมด 9 คน เป็นผู้พิการ 2 คน การทำดอกไม้ประดิษฐ์จากดินวิทยาศาสตร์นั้นเป็นอาชีพเสริมที่สามารถรับงานไปทำอยู่ที่บ้านได้ พอเสร็จก็นำมาส่งรวมกันไว้ที่กลุ่ม ทำให้คนพิการก็สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงดูตัวเองได้ “ราคาของดอกไม้ที่ทำขึ้นจะแยกเป็นชิ้นต่างๆ แต่ละชิ้นราคาจะอยู่ระหว่าง 7-30 บาท ซึ่งจะนำมารวมประกอบเป็นช่อดอกอีกครั้งหนึ่งตามแบบที่ต้องการ โดยสมาชิกแต่ละคนจะมีรายได้ตกราว 600-700 บาทต่อสัปดาห์ขึ้นอยู่กับความขยัน ซึ่งผู้พิการก็สามารถทำได้และมีรายได้เท่ากับคนปกติ ทำให้เขามีอาชีพที่สามารถเลี้ยงตนเองได้โดยไม่ต้องเป็นภาระกับคนอื่นๆ” นางนงลักษณ์กล่าว ด้าน นางโชติมา ทรายขาว ประธานกลุ่มเพาะเห็ด ผู้พิการมือซ้ายผิดปกติมาแต่กำเนิด เปิดเผยว่าเมื่อก่อนคนพิการในชุมชนไม่กล้าสู้หน้าคนอื่นๆ ในสังคม เพราะกลัวว่าเขาจะรังเกียจ อีกทั้งเมื่อพิการก็ไม่สามารถประกอบอาชีพเหมือนคนปกติได้ ทำให้ถูกมองว่าเป็นภาระของสังคม แต่เมื่อทาง อบต.ขุนทะเลเข้ามากระตุ้น โดยมีอาสาสมัครมาคอยให้กำลังใจ ทำให้กลับมามีความตั้งใจที่จะสู้ชีวิตอีกครั้งหนึ่ง จึงเริ่มตั้งกลุ่มเพาะเห็ดขึ้นมาในปี 2551 “ปัจจุบันกลุ่มเพาะเห็ดมีสมาชิก 10 คน เป็นคนพิการทั้งหมด โดยเฉลี่ยแล้วจะเก็บผลผลิตได้วันละ 10 กิโลกรัม ขายราคากิโลกรัมละ 100 บาท แล้วก็ยังนำเห็ดกลับไปรับประทานที่บ้านได้ ทุกวันนี้ผู้พิการทุกคนมีรายได้และส่วนแบ่งจากการขายเห็ดนางฟ้าและเห็ดภูฐานทุกวัน เมื่อมีรายได้สามารถเลี้ยงตัวเอง เลี้ยงลูกและครอบครัวได้ ชีวิตก็ดีขึ้น สังคมและชุมชนก็ให้การยอมรับและช่วยกันสนับสนุน” นางโชติมากล่าว นางสาวดวงพร เฮงบุณยพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการสร้างสุขภาวะในพื้นที่และชุมชน สสส. กล่าวว่าโครงการสร้างสุขภาวะจากตำบลขุนทะเลฯ เป็นภารกิจหนึ่งของ สสส. ในการออกแบบและสร้างชุมชนหรือตำบลต้นแบบในการดูแลสุขภาวะของชุมชน เพื่อให้ชุมชนอื่นๆ ได้มาเรียนรู้และช่วยกันขับเคลื่อนสิ่งดีๆ จากชุมชนหนึ่งออกไปสู่อีกหลายๆ ชุมชน “โครงการนี้ สสส.ไม่ได้สนับสนุนเงินงบประมาณไปเพื่อให้ อบต.ทำกิจกรรมต่างๆ แต่เราให้งบประมาณไปเพื่อใช้สำหรับให้องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นอื่นๆ ได้เข้ามาศึกษาเรียนรู้จากชุมชนที่เป็นต้นแบบ ซึ่งในปัจจุบันเรามีศูนย์เรียนรู้ต้นแบบจำนวน 18 ศูนย์จากทั่วประเทศ โดยตั้งเป้าจะทำให้เกิดศูนย์ในลักษณะเดียวกันนี้เพิ่มขึ้นเป็น 75 ศูนย์การเรียนรู้ทั่วประเทศภายใน 3 ปีนับจากนี้ ซึ่งเราเชื่อมั่นในศักยภาพของท้องถิ่นว่าสามารถทำได้ แต่สิ่งสำคัญที่จะทำให้โครงการนี้จะขับเคลื่อนไปได้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะต้องเห็นความสำคัญของการสร้างสุขภาวะในชุมชนจึงจะสามารถขยายผลการดำเนินงานออกไปได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น” นางสาวดวงพรระบุ.

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ