กรุงเทพฯ--11 พ.ค.--ตลท.
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET Index) ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่สาม ปิดที่ระดับ 1,093.56 จุด ณ สิ้นเดือนเมษายน เพิ่มขึ้น 4.40% จากเดือนก่อนหน้า ส่วนหนึ่งเกิดจากผู้ลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหลักทรัพย์ไทยและตลาดหลักทรัพย์สำคัญในเอเชีย ทั้งนี้ ดัชนีที่ปรับสูงขึ้นส่งผลให้ market capitalization ของตลาดหลักทรัพย์ฯ เพิ่มขึ้นเป็น 8,860,111 ล้านบาท และมี forward P/E ratio เพิ่มขึ้นเป็น 12.85 เท่า โดยยังคงเป็นตลาดหลักทรัพย์ที่ให้อัตราเงินปันผลตอบแทนสูงที่สุดในภูมิภาคที่ระดับ 3.53% ขณะที่มูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยรายวันรวมของ SET และ mai ในเดือนเมษายนทรงตัวในระดับสูงที่ 36,017.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44.45% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับภาวะการซื้อขายในตลาดอนุพันธ์มีสภาพคล่องในระดับสูงเช่นกัน โดยมีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันรวม 30,569 สัญญา
ณ สิ้นเดือนเมษายน 2554 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET Index) ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องโดยปิดที่ระดับ 1,093.56 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 4.40% จากเดือนก่อนหน้า และปรับเพิ่มขึ้น 5.89% จากสิ้นปี 2553 สูงเป็นอันดับสองในภูมิภาคเอเชียรองจากเกาหลีใต้ ทั้งนี้ ในเดือนเมษายนดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยปรับเพิ่มขึ้นสอดคล้องกับตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ในภูมิภาค โดยส่วนหนึ่งเกิดจากผู้ลงทุนต่างประเทศลงทุนเพิ่มขึ้นในประเทศที่มีปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจดี โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคอื่นที่มีความเสี่ยงสูงกว่า เช่น กลุ่มประเทศในภูมิภาคยุโรปที่มีวิกฤตหนี้สาธารณะในระดับสูง และการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสถาบันจัดอันดับ S&P ที่มีต่อประเทศสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาแยกตามดัชนีหลักทรัพย์รายอุตสาหกรรม พบว่า ดัชนีหลักทรัพย์ของทุกอุตสาหกรรมปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน โดย ณ สิ้นเดือนเมษายน 2554 ดัชนีหลักทรัพย์ของกลุ่มทรัพยากรปรับเพิ่มขึ้นสูงสุด ขณะที่มีเพียงกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมที่ดัชนียังอยู่ในระดับต่ำกว่าระดับเมื่อสิ้นปี 2553 สำหรับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ( mai Index) ปิดที่ 293.83 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 5.12% จากเดือนก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 7.71 จากสิ้นปี 2553
ราคาหลักทรัพย์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นส่งผลให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (market capitalization) ของทั้ง SET และ mai ปรับเพิ่มขึ้น โดย ณ สิ้นเดือนเมษายน 2554 market capitalization ของ SET อยู่ที่ 8,860,111 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.38% จากสิ้นเดือนก่อนหน้า ขณะที่ของ mai มีมูลค่าอยู่ที่ 71,227 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 27.26% จากสิ้นเดือนก่อนหน้า เนื่องจากมีการเพิ่มทุนของ บมจ. สตีล อินเตอร์เทค (STEEL) นอกจากนี้ ได้ส่งผลให้อัตราส่วนระหว่างราคาหลักทรัพย์ต่อกำไรสุทธิคาดการณ์ต่อหุ้น (forward P/E ratio) ของตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) ณ สิ้นเดือนเมษายน 2554 เพิ่มขึ้นเป็น 12.85 เท่า จาก 12.38 เท่าในเดือนก่อนหน้า และ 11.33 เท่า ในช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม แม้ว่าดัชนีได้ปรับสูงขึ้นต่อเนื่องแต่ยังคงให้อัตราเงินปันผลตอบแทนสูงสุดในภูมิภาค โดย ณ สิ้นเดือนเมษายน 2554 มีอัตราเงินปันผลตอบแทนอยู่ที่ระดับ 3.53% ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ mai มีอัตราเงินปันผลตอบแทนอยู่ที่ระดับ 3.90%
มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยรายวันของ SET และ mai ในเดือนเมษายน 2554 มีมูลค่าสูงสุดในรอบ 7 เดือนนับจากเดือนตุลาคม 2553 โดยมีมูลค่ารวม 36,017.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.55% จากเดือนก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 44.45% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในเดือนนี้ผู้ลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นเดือนที่สามด้วยมูลค่าซื้อสุทธิ 29,543.27 ล้านบาท ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีถึงสิ้นเดือนเมษายน 2554 ผู้ลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 28,832.57 ล้านบาท นอกจากนี้ บัญชีบริษัทหลักทรัพย์มีสถานะซื้อสุทธิ 983.54 ล้านบาทเช่นกัน ขณะที่ผู้ลงทุนบุคคลในประเทศและผู้ลงทุนสถาบันในประเทศเป็นผู้ขายสุทธิมูลค่า 14,757.89 และ 15,768.91 ล้านบาท ตามลำดับ
หากพิจารณามูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์แยกตามกลุ่มหลักทรัพย์ตาม market capitalization และกลุ่มอุตสาหกรรม พบว่า ในเดือนเมษายน 2554 สัดส่วนมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์กระจายตัวไปสู่หลักทรัพย์ขนาดเล็กเพิ่มขึ้นในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม โดยสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ในกลุ่ม Non-SET50 เพิ่มขึ้นเป็น 29.84% ของมูลค่าการซื้อขายรวม จาก 24.04% ในเดือนก่อนหน้า ขณะที่มูลค่าการซื้อขายของบริษัทขนาดใหญ่ในกลุ่ม SET10 ปรับลดลง
สำหรับตลาดอนุพันธ์ในเดือนเมษายน 2554 มีปริมาณการซื้อขายรวม 619,678 สัญญา โดยมีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 30,569 สัญญา ซึ่งสูงสุดนับตั้งแต่ตลาดอนุพันธ์เริ่มซื้อขายในเดือนเมษายน 2549 และเพิ่มขึ้น 3.73% จากเดือนมีนาคม 2554 ในเดือนนี้ ตราสารประเภท Single Stock Futures (SSFs) และ Gold Futures ปรับเพิ่มขึ้น และมีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มซื้อขาย โดย SSFs มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 8,148 สัญญา ด้าน Gold Futures ขนาด 50 บาท มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 5,169 สัญญา และ Gold Futures ขนาด 10 บาท ที่มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 4,979 สัญญา สำหรับปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของ Interest Rate Futures ยังทรงตัวในระดับต่ำ
ด้านการระดมทุนในเดือนเมษายน 2554 บริษัทจดทะเบียนมีการระดมทุนในรูปตราสารทุนมูลค่ารวม 5,303.39 ล้านบาท โดยมีการระดมทุนในตลาดแรก 3,420.00 ล้านบาท จากกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ไพร์มออฟฟิส (POPF) จำนวน 1 กองทุน ขณะที่มีการระดมทุนในตลาดรองมูลค่า 1,883.39 ล้านบาท ทั้งนี้ มูลค่าระดมทุนในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2554 มีมูลค่าถึง 47,482 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3 เท่า หรือ 334.58% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.set.or.th/setresearch หรือสอบถามข้อมูลที่ S-E-T Call Center 0 2229 2222