PayPal เผยผลศึกษาผู้บริโภคไทยใช้จ่ายสินค้า ผ่านระบบออนไลน์เป็นมูลค่าสูงถึง 14.7 พันล้านบาทในปีที่ผ่านมา

ข่าวเทคโนโลยี Wednesday July 13, 2011 16:04 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--13 ก.ค.--อินวิส แนะผู้ค้าปลีกไทยปรับกลยุทธ์เพิ่มช่องทางจำหน่าย เพื่อเข้าถึงผู้ซื้อกำลังซื้อสูงในระบบออนไลน์ และชิงโอกาสต่อยอดธุรกิจในตลาดออนไลน์ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เป็นครั้งแรกที่ PayPal เปิดเผยถึงผลการศึกษา “ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการซื้อสินค้าผ่านอินเตอร์เน็ตและผ่านโทรศัพท์มือถือในประเทศไทย” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มและทัศนคติที่ตอกย้ำกิตติศัพท์คนไทยว่าเป็นขาช็อปตัวยงที่เชี่ยวชาญการช็อปออนไลน์เป็นอย่างดี จากผลการวิจัยของ PayPal ซึ่งถูกจัดทำโดยบริษัท นีลเส็นพบว่า ในปี 2553 ขนาดของตลาดการซื้อสินค้าออนไลน์ของประเทศไทยมีมูลค่า 14.7 พันล้านบาท โดยมีจำนวนผู้ซื้อสินค้าออนไลน์คนไทยถึง 2.5 ล้านคน (อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป) มียอดใช้จ่ายเงินเฉลี่ยต่อคนถึง 13,181 บาท โดย 71% ของยอดรวมการซื้อสินค้าผ่านระบบออนไลน์ทั้งหมดมาจากกลุ่มชนที่มีรายได้ปานกลาง[1] ใน ประเทศไทย “ตลาดการซื้อสินค้าออนไลน์ที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและมีมูลค่าตลาดเกือบ 15,000 ล้านบาทนั้นบ่งบอกว่านักช็อปคนไทยมองเห็นประโยชน์มากมายจากการซื้อสินค้าและบริการผ่านอินเตอร์เน็ต ซึ่งก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของพวกเขา” เป็นคำกล่าวของ มร. เอเลียส กาห์เน็ม กรรมการผู้จัดการใหญ่และผู้จัดการใหญ่ของ PayPal ประจำภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย “ผู้บริโภคคนไทยชื่นชอบการซื้อสินค้าบนเว็บไซต์ ในประเทศมากพอ ๆ กับเว็บไซต์ต่างประเทศ และใช้สื่อออนไลน์เพื่อหาซื้อสินค้าที่แตกต่างและหลากหลาย และไม่ใช่เพื่อมองหาสินค้าราคาถูกที่สุดเพียงอย่างเดียว ดังนั้นผู้ค้าปลีกภายในประเทศมีโอกาสที่จะแข่งขันกับเว็บไซต์ต่างประเทศ และควรจะเร่งสร้างร้านค้าออนไลน์ในทันทีเพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาดที่มีมูลค่าสูงถึง 14.7 พันล้านบาท” ผู้บริโภคคนไทย ใช้จ่ายเงินเกือบเท่ากันในการซื้อสินค้าปลีกออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ในประเทศคิดเป็นมูลค่า 6.1 พันล้านบาท (41%) เทียบกับเว็บไซต์ต่างประเทศ 6.4 พันล้านบาท (44%) ส่วนที่เหลือ 2.2 พันล้านบาท (15%) เป็นการซื้อสินค้าจากเว็บไซต์ที่ไม่ระบุประเทศ ทั้งนี้ ผลการศึกษายังระบุถึงเหตุจูงใจของนักช็อปไทยในการซื้อสินค้าจากเว็บไซต์ต่างประเทศคือ “สินค้านี้ไม่มีจำหน่ายในประเทศไทย” (45%) “ผลิตภัณฑ์/บริการมีราคาถูกกว่า” (36%) และ “มีความสะดวกในการซื้อเทียบเท่ากับการซื้อผ่านระบบออนไลน์ในประเทศ” (30%) ดังนั้นผู้ขายสินค้าชาวไทยมีโอกาสกำชัยชนะจากการเติบโตของตลาดการซื้อสินค้าออนไลน์ในประเทศไทย ได้ไม่ยากเพียงจัดเตรียมสินค้าบนร้านค้าออนไลน์ของตนเองให้มีความหลายหลายเพิ่มมากขึ้น นอกเหนือจากการให้ข้อมูลภาพรวมตลาดการซื้อสินค้าออนไลน์ที่คึกคักแล้ว ผลการศึกษาในครั้งนี้ยังแสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคคนไทยเมื่อซื้อสินค้าผ่านระบบออนไลน์และผ่านโทรศัพท์มือถือ โดยมีข้อสรุปที่สำคัญดังนี้: ไม่จำกัดแค่การจองตั๋วเครื่องบินและการจองห้องพักโรงแรม ประเภทสินค้าที่นักช็อปไทยเลือกซื้อออนไลน์มีความหลากหลาย ทั้งนี้แสดงให้เห็นว่าการซื้อสินค้าออนไลน์กำลังกลายเป็นกระแสนิยมและกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคนไทย สินค้าแฟชั่น (เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องแต่งตัว สุขภาพ ความงาม เครื่องประดับ นาฬิกา) คิดเป็นมูลค่า 3.1 พันล้านบาท (21%) สาระบันเทิง (หนังสือ ภาพยนตร์ เพลง เกมส์ การแสดง) คิดเป็นมูลค่า 3.1 พันล้านบาท (21%) ผลิตภัณฑ์ไอที (ฮาร์ดแวร์/ซอฟแวร์คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ส่วนตัว/ในบ้าน) คิดเป็นมูลค่า 2.4 ล้านบาท (16%) การเดินทาง (ตั๋วเครื่องบิน เรือสำราญ รถไฟ และแพ็คเกจท่องเที่ยว) คิดเป็นมูลค่า 1.8 พันล้าน (13%) การประกันภัยทั่วไป คิดเป็นมูลค่า 1.1 พันล้านบาท (11%) สินค้าที่ผู้บริโภคชาวไทยเลือกซื้อผ่านเว็บไซต์ในประเทศและต่างประเทศแตกต่างกัน คนไทยใช้จ่ายเงินซื้อตั๋วเครื่องบินในเว็บไซต์ต่างประเทศถึง 61% (696 ล้านบาท) เมื่อเทียบกับเว็บไซต์ท้องถิ่น (433 ล้านบาท) คนไทยใช้จ่ายเงินมากกว่า 27% สำหรับเสื้อผ้า รองเท้า และเครื่องประดับในเว็บไซต์ต่างประเทศ (716 ล้านบาท) เมื่อเทียบกับเว็บไซต์ท้องถิ่น (562 ล้านบาท) อย่างไรก็ตามคนไทยใช้จ่ายเงินมากกว่า 17% สำหรับหนังสือในเว็บไซต์ท้องถิ่น (655 ล้านบาท) เมื่อเทียบกับเว็บไซต์ต่างประเทศ (561 ล้านบาท) คนไทยยังใช้จ่ายเงินมากกว่า 11% สำหรับสินค้าสุขภาพและความงามในเว็บไซต์ในประเทศ (526 ล้านบาท) เมื่อเทียบกับเว็บไซต์ต่างประเทศ (473 ล้านบาท) มีการซื้อขายผลิตภัณฑ์/บริการทางด้านการเงิน (427 ล้านบาท) ในเว็บไซต์ในประเทศเป็นส่วนใหญ่ ประเทศ 5 อันดับแรกที่คนไทยใช้จ่ายเงินซื้อของบนเว็บไซต์ต่างประเทศคือ สหรัฐอเมริกา (27%) ญี่ปุ่น (15%) จีน (14%) เกาหลีใต้ (13%) และฮ่องกง (10%) การเสริมความแข็งแกร่งด้านระบบรักษาความปลอดภัยสามารถช่วยเพิ่มปริมาณการซื้อสินค้าออนไลน์ได้ คนไทยที่ซื้อสินค้าออนไลน์ 4 ใน 10 คนกล่าวว่ามาตรการการรักษาความปลอดภัยระบบออนไลน์ของบัตรเครดิต/เดบิตในปัจจุบันยังไม่เพียงพอ คนไทยที่ซื้อสินค้าออนไลน์มากกว่า 6 คนใน 10 คนเชื่อว่าพวกเขากำลังตกอยู่ในความเสี่ยงทุกครั้งที่ทำธุรกรรมออนไลน์โดยใช้บัตรเครดิต/เดบิตของพวกเขา อย่างไรก็ตามการเพิ่มมาตรการด้านระบบรักษาความปลอดภัยมีส่วนในการการโน้มน้าวให้ผู้ซื้อสินค้าออนไลน์มากกว่าครึ่งหนึ่งใช้จ่ายเงินในการซื้อสินค้าออนไลน์เพิ่มมากขึ้น ในความเป็นจริงแล้ว (58%) ของผู้ซื้อสินค้าออนไลน์ที่มีรายได้ปานกลาง[2] เต็มใจที่จะเพิ่มการสั่งซื้อสินค้าทางออนไลน์มากขึ้นถ้าระบบรักษาความปลอดภัยได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น ทั้งนี้ผู้ซื้อสินค้าออนไลน์กลุ่มนี้ คิดเป็นสัดส่วนมากที่สุดของผู้ซื้อสินค้าออนไลน์ทั้งหมด (71%) สุดท้ายคือข้อค้นพบที่สำคัญสำหรับการซื้อสินค้าผ่านโทรศัพท์มือถือแสดงให้เห็นว่าเอ็ม-คอมเมิร์ซ (m-commerce) กำลังอยู่ในขั้นเริ่มต้นแต่ก็มีศักยภาพในการเติบโตเพิ่มมากขึ้นในอนาคต ผู้ซื้อสินค้าออนไลน์มากกว่า 837,000 คนใช้จ่ายราว 1.7 พันล้านบาทผ่านโทรศัพท์มือถือในปี 2553 คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 11% ของมูลค่ารวมของตลาดการซื้อสินค้าออนไลน์ โดยปกติแล้วผู้ซื้อสินค้าผ่านโทรศัพท์มือถือจะซื้อสินค้าราคาถูกเช่น การดาวน์โหลดภาพยนตร์/เพลง/เกมส์ (27%) เสื้อผ้า/รองเท้า/เครื่องประดับ (23%) หนังสือ (19%) และตั๋วภาพยนตร์/การแสดง (11%) และคิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนราว 1,600 บาทในปีที่ผ่านมา ผู้ซื้อสินค้าออนไลน์ 4 คนจาก 10 คนเต็มใจที่จะซื้อสินค้าผ่านทางโทรศัพท์มือถือ อุปสรรคสำคัญ 3 ประการสำหรับการซื้อสินค้าผ่านโทรศัพท์มือถือคือ การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตของโทรศัพท์มือถือที่มีความเร็วต่ำ (54%) ขนาดหน้าจอมือถือที่เล็กเกินไป (44%) และปัญหาเรื่องระบบการรักษาความปลอดภัย (29%) จากผลการศึกษาการซื้อสินค้าผ่านระบบออนไลน์และผ่านโทรศัพท์มือถือ มร. เอเลียสได้กล่าวย้ำว่า “เรื่องเร่งด่วนที่ผู้ประกอบการไทยควรเร่งดำเนินการในทันทีคือ การนำกลยุทธ์การจัดจำหน่ายหลายช่องทางมาประยุกต์ใช้โดยเร็วเพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้ทั้งในร้านค้า ร้านค้าออนไลน์ และผ่านโทรศัพท์มือถือ ในขณะเดียวกันก็ควรมีการจัดเตรียมสินค้าที่มีความหลากหลายมากกว่าเดิมและเพิ่มตัวเลือกในการชำระเงินที่มีความปลอดภัยมากขึ้นภายในเว็บไซต์ของตนเอง ในการเพิ่มยอดขายสินค้าให้กับผู้ซื้อสินค้าผ่านโทรศัพท์มือถือ ควรมีตัวเลือกวิธีการชำระเงินบนโทรศัพท์มือถือที่มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น โดยสามารถทำธุรกรรมเสร็จสมบูรณ์ได้รวดเร็วเพียงไม่กี่คลิกเท่านั้น” ระเบียบวิธีที่ใช้ในการวิจัย บริษัทนีลเส็นเป็นผู้ดำเนินการโครงการวิจัยในครั้งนี้ โดยได้รับมอบหมายจาก PayPal และมีจุดประสงค์เพื่อทำการศึกษาและทำความเข้าใจเรื่องขนาดของตลาดอี-คอมเมิร์ซ (e-commerce) และเอ็ม-คอมเมิร์ซ (m-commerce) ในประเทศไทย รวมทั้งศึกษาพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยด้วย การวิจัยเริ่มดำเนินการในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2554 และได้ทำการสำรวจคนไทยที่ซื้อสินค้าออนไลน์จำนวน 400 คนที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป โดยกลุ่มผู้เชี่ยวชาญของบริษัทนีลเส็นได้ศึกษาธุรกรรมการซื้อสินค้าผ่านระบบออนไลน์และผ่านโทรศัพท์มือถือของกลุ่มตัวอย่างในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา PayPal มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองซานโฮเซ่ มลรัฐแคลิฟอร์เนียและมีสำนักงานระหว่างประเทศตั้งอยู่ที่สิงคโปร์ ติดต่อฝ่ายข่าว มร. ดิคสัน เซียว อนงค์ภัทร เดชกล้า PayPal เอเชียแปซิฟิค บริษัท อินวิส จำกัด โทร: +65-6510-6463 โทร: +662-219-1945 อีเมล์: dseow@paypal.com อีเมล์: anongpat@inwisthailand.com [1] เป็นผู้ที่มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาท จนถึง 100,000 บาท [2] เป็นผู้ที่มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาท จนถึง 100,000 บาท

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ