กรุงเทพฯ--18 ก.ค.--ตลท.
ตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET) ยังคงแสดงศักยภาพการเติบโตทั้งการซื้อขายหลักทรัพย์ และตราสารอนุพันธ์ใน 6 เดือนแรกของปี 2554 ด้วยมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยรายวันเพิ่มขึ้นถึง 43.69% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และอยู่ในอันดับต้นของภูมิภาค ขณะที่ปริมาณการซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ทำสถิติสูงสุดใหม่นับตั้งแต่เริ่มเปิดซื้อขาย ทั้งนี้ แม้จะได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบภายในและภายนอกประเทศ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังคงรักษาอัตราเงินปันผลตอบแทนสูงที่สุดในภูมิภาคต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8
มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (market capitalization) ของตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) เพิ่มขึ้น 2.14% จากสิ้นปี 2553 มาอยู่ที่ 8,512,876 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน ตามการปรับตัวขึ้นของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ และจำนวนบริษัทจดทะเบียน ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ mai เพิ่มขึ้น 45.71% จากสิ้นปี 2553 มาอยู่ที่ 80,327 ล้านบาท โดยในช่วง 6 เดือนแรก ดัชนีหลักทรัพย์กลุ่มเทคโนโลยีมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดเมื่อเทียบกับสิ้นปี 2553 ตามด้วยกลุ่มเกษตรและอาหาร สำหรับอุตสาหกรรมที่ปรับลดลงมีเพียง 2 กลุ่ม คือกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง
จากปัจจัยลบทั้งภายในและภายนอกประเทศในช่วงไตรมาส 2/2554 ทำให้นักลงทุนต่างประเทศมีสถานะขายสุทธิในตลาดหลักทรัพย์ไทยในช่วง 6 เดือนแรก โดยขายสุทธิรวม 14,803 ล้านบาท โดยในเดือนพฤษภาคม การขายสุทธิของผู้ลงทุนต่างประเทศปรากฏทั่วทั้งภูมิภาค เนื่องจากความกังวลต่อการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือในระยะยาวของกรีซ ขณะที่เดือนมิถุนายน ความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศไทยส่งผลให้ผู้ลงทุนต่างประเทศขายสุทธิต่อเนื่อง และทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2554 ปรับตัวลดลง 3.01% เมื่อเทียบกับสิ้นเดือนพฤษภาคม 2554 มาอยู่ที่ 1,041.48 จุด แต่เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2553 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังคงปรับเพิ่มขึ้น 0.84%
สรุปตัวเลขที่สำคัญ
ภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทย
มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (market capitalization) ของ SET อยู่ที่ 8,512,876 ล้านบาท ณ สิ้นมิถุนายน 2554 เพิ่มขึ้น 2.14% จากสิ้นปี 2553 ขณะที่ของ mai อยู่ที่ 80,327 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45.71% จากสิ้นปี 2553
อัตราส่วนระหว่างราคาหลักทรัพย์ต่อกำไรสุทธิคาดการณ์ต่อหุ้น (forward P/E ratio) ของ SET ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2554 อยู่ที่ระดับ 11.67 เท่า เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ 11.49 เท่า ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2553
อัตราเงินปันผลตอบแทนของ SET ทรงตัวในระดับสูงที่ 3.70% ซึ่งสูงที่สุดในภูมิภาคต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 แม้จะลดลงเล็กน้อยจาก 3.91% ในเดือนมิถุนายน 2553 ในขณะที่ mai มีอัตราเงินปันผลตอบแทนอยู่ที่ระดับ 2.80% ลดลงจาก 5.08% ในเดือนมิถุนายน 2553
มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยรายวันของ SET และ mai ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2554 อยู่ที่ 30,807.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.69% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และอยู่ในอันดับต้นของภูมิภาค
ในช่วง 6 เดือนแรก มีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ในกลุ่มหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยสัดส่วนการซื้อขายในกลุ่ม SET10 และ SET11-30 อยู่ที่ระดับ 39% และ 27% ของมูลค่าการซื้อขายรวม ในขณะที่สัดส่วนการซื้อขายในกลุ่ม SET31-50 ลดลงเหลือ 7% จาก 10% ในช่วงเดียวกันปีก่อน และ NON-SET50 เพิ่มขึ้นเป็น 27% จาก 24%
ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2554 ผู้ลงทุนต่างประเทศมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 23.43% ซึ่งเป็นสัดส่วนสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2552 ขณะที่ผู้ลงทุนบุคคลในประเทศเป็นผู้ซื้อสุทธิ 17,769.70 ล้านบาท มีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 56.08%
ดัชนีหลักทรัพย์กลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุด คิดเป็น 11.57% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2553 ตามด้วยกลุ่มเกษตรและอาหารที่ปรับเพิ่ม 4.50% สำหรับอุตสาหกรรมที่ปรับลดลงมีเพียง 2 กลุ่ม คือกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง โดยปรับลดลง 11.77% และ 1.07% ตามลำดับ
ภาวะตลาดอนุพันธ์
ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2554 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยรายวัน 30,997 สัญญา เพิ่มขึ้น 90.19% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดย SET50 Index Futures Single Stock Futures Gold Futures ขนาด 50 บาท และ Gold Futures ขนาด 10 บาท ทำสถิติปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยรายวันสูงสุดนับจากเริ่มซื้อขายเช่นกัน
ในไตรมาส 2/2554 ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยรายวันเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตลอด 3 เดือน และสูงที่สุดในเดือนมิถุนายน 2554 ด้วยปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยรายวัน 37,195 สัญญา เนื่องจากการเพิ่มหลักทรัพย์อ้างอิงสำหรับ Single Stock Futures การเริ่มซื้อขาย Silver Futures การขยายเวลาซื้อขาย Gold Futures และ Silver Futures ในช่วงกลางคืน
ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.set.or.th/setresearch หรือสอบถาม
S-E-T Call Center โทร. 0 2229 2222