กรุงเทพฯ--3 ส.ค.--นีลเส็น
- ผู้บริโภคชาวไทยมีความภักดีต่อแบรนด์ และร้านค้ามากขึ้น
- 42 เปอร์เซ็นต์ของนักช้อปจะซื้อของนอกรายการเสมอ
- ไฮเปอร์มาร์เก็ตยังคงเป็นช่องทางซื้อที่ผู้บริโภคชาวไทยนิยมมากที่สุด
เนื่องจากผู้บริโภคชาวไทยยังคงอยู่ในช่วงรัดเข็มขัด การให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าของสินค้าอุปโภค และบริโภคยังคงเป็นสิ่งสำคัญ ร้านค้าปลีกต่างๆจึงเพิ่มการออกสินค้าโปรโมชั่นมากขึ้น เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคที่มีงบประมาณจำกัด จากรายงานชอปเปอร์ เทรนด์ล่าสุด ของนีลเส็น ประเทศไทย พบว่าผู้บริโภคชาวไทยจำนวน หกสิบสามเปอร์เซ็นต์กล่าวว่าโปรโมชั่นต่างๆดึงดูดใจพวกเขา โดยมากกว่าครึ่งของกลุ่มนี้ กล่าวว่า พวกเขาตอบสนองต่อสินค้าที่มีโปรโมชั่น และหนึ่งในสิบกล่าวว่า พวกเขาจะเปลี่ยนร้าน หากที่นั้นมีโปรโมชั่นที่ดีที่สุด
ผู้บริโภคชาวไทยมีความภักดีต่อแบรนด์ และร้านค้ามากขึ้น
ในขณะที่ผู้บริโภคชาวไทยยังให้ความสำคัญกับความคุ้มค่า รายงานชอปเปอร์เทรนด์ล่าสุด ยังพบว่าผู้บริโภคมีความภักดีต่อแบรนด์ และร้านค้ามากขึ้นเมือเทียบกับปี 2551 เมื่อถูกถามว่าโปรโมชั่นมีผลต่อการซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ต และไฮเปอร์มาร์เก็ตอย่างไร ผู้บริโภคยี่สิบสี่เปอร์เซ็นต์ กล่าวว่า พวกเขาซื้อสินค้าโปรโมชั่นเมื่อเขาชอบแบรนด์เท่านั้น (เมื่อเทียบกับ สิบหกเปอร์เซ็นต์จากปี 2551) ความภักดีต่อแบรนด์ที่เพิ่มมากขึ้นยังได้ขยายไปต่อความภักดีของผู้บริโภคที่มีต่อร้านค้า กล่าวคือ เกือบสามในสี่ (73%) ของผู้บริโภคกล่าวว่า พวกเขาไปซื้อของที่ร้านเดิมอยู่เสมอ โดยเพิ่มจาก หกสิบสามเปอร์เซ็นต์ ในปี 2551 และ หกสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ ในปี 2552
และถึงแม้ว่าผู้บริโภคจะอยู่ในกระแสที่มีสินค้าโปรโมชั่นมากมาย มีเพียงนักช้อปแค่สิบเอ็ดเปอร์เซ็นต์ เผยว่า พวกเขาจะเปลี่ยนที่ซื้อสินค้าไปที่ที่มีสินค้าโปรโมชั่นที่ดีที่สุด เทียบกับสิบเจ็ดเปอร์เซ็นต์ในปี 2551
หากเปรียบเทียบในกลุ่มประเทศในแถบเอเชียแปซิฟิค กลุ่มนักช้อปที่สนใจสินค้าโปรโมชั่นมากที่สุดในทวีปได้แก่ เวียดนาม ด้วยผู้บริโภคที่มากถึง แปดสิบเจ็ด เปอร์เซ็นต์ ที่ติดตามสินค้าที่มีโปรโมชั่นอย่างกระตือรือร้น รองลงมาคือคือ มาเลเชีย (86%) และไต้หวัน (70%)ถึงแม้จะนักช็อปส่วนใหญ่เขียนรายการซื้อก่อนไปซื้อสินค้า แต่เกือบครึ่งซื้อสินค้านอกเหนือจากรายการอยู่เสมอ
เมื่อไปซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค ผู้บริโภคเจ็ดสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ มักจะวางแผนว่าพวกเขาจะซื้ออะไรบ้าง แต่ทั้งๆที่เตรียมรายการที่ตนต้องการซื้อไว้แล้วนั้น สี่สิบสองเปอร์เซ็นต์กล่าวว่าพวกเขาไม่ได้เคร่งครัดเท่าไรนักกับรายการที่เตรียมมา เพราะพวกเขามักจะซื้อสินค้านอกรายการเสมอ
ทั้งนี้ผู้ซื้อผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้านอกเหนือจากรายการมากกว่าผู้ชาย ในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นักช้อปชาวมาเลเชีย และฟิลิปปินส์ จัดอยู่ในสองลำดับแรกที่ชอบตัดสินใจซื้อของหลังทันทีที่เห็นสินค้ามากที่สุด
เมื่อนีลเส็นถามผู้บริโภคว่าพวกเขาชอบช้อปปิ้งหรือไม่ ชาวฟิลิปปินส์ (80%) จัดอยู่ในลำดับแรกในกลุ่มประเทศในเอเชียแปซิฟิคที่กล่าวว่า พวกเขาชอบกิจกรรมนี้ ในขณะที่ นักช้อปชาวไทย (63%) มีความคิดเห็นแบบเดียวกัน ในประเทศไทย ผู้หญิง (77%) ยังคงเป็นผู้จับจ่ายของใช้ในบ้าน ในขณะที่อีก ยี่สิบสามเปอร์เซ็นต์เป็นผู้ชาย
ในประเทศไทย ผู้บริโภคยังนิยมใช้ไฮเปอร์มาร์เก็ตเป็นช่องทางหลักในการซื้อสินค้า โดยมีผู้บริโภคมากถึงเก้าสิบสองเปอร์เซ็นต์ กล่าวว่าพวกเขาไปซื้อของที่นั่นในสี่สัปดาห์ที่ผ่านมา อันดับรองลงมาคือ ร้านขายของชำ และร้านสะดวกซื้อ ( เท่ากันที่ แปดสิบเจ็ดเปอร์เซ็นต์) และตลาดสด (แปดสิบหกเปอร์เซ็นต์ )และผู้บริโภคใช้เงินประมาณห้าสิบเปอร์เซ็นต์ของการจับจ่ายของพวกเขาไปกับอาหารสด
คุณแอรอน ครอส กรรมการผู้จัดการ นีลเส็น ประเทศไทย กล่าวว่า “นีลเส็นพบว่า ผู้บริโภคชาวไทยใช้จ่ายเงินในไฮเปอร์มาร์เก็ตมากขึ้น เนื่องมาจากไฮเปอร์มาเก็ตประสบความสำเร็จในการตอบสนองความสะดวกสบายให้แก่ผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นความง่ายในการหาสินค้า การมีสินค้าทุกอย่างที่ผู้บริโภคต้องการ และความคุ้มค่าในด้านราคา และแม้ว่าร้านสะดวกซื้อจะไม่ใช่ช่องทางหลักก็ตาม แต่ร้านค้าประเภทนี้สามารถกระตุ้นให้เกิดการความถี่ในการซื้อมากขึ้นต่อเดือน โดยผู้บริโภคมองหาอาหารและเครื่องดื่มที่มีคุณภาพสูงตลอดจนความอร่อยจากอาหารพร้อมรับประทาน ในร้านสะดวกซื้ออีกด้วย”
โฆษณาและคูปอง ช่วยกระตุ้นการซื้อให้มากขึ้น
ผลสำรวจชอปเปอรเทรนด์ล่าสุดยังแสดงให้เห็นว่าสามสิบสองเปอร์เซ็นต์ของผู้ซื้อชาวไทยเลือกเข้าร้านที่พวกเขาสามารถประหยัดเงินได้ด้วยการใช้คูปองที่ได้จากหนังสือพิมพ์หรือใบปลิว ซึ่งเพิ่มขึ้นจากยี่สิบเก้าเปอร์เซ็นต์ในผลสำรวจก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ ผลสำรวจยังพบว่าโฆษณาสามารถดึงดูดความสนใจจากผู้บริโภคให้สนใจสินค้าเพิ่มมากขึ้นได้ เนื่องจากผู้ซื้อมักเลือกเข้าร้านที่พวกเขาเห็นโฆษณาเมื่อไม่นานที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มขึ้นจากสิบเอ็ดเปอร์เซ็นต์ในปีที่แล้วเป็นสิบเจ็ดเปอร์เซ็นต์ในปีนี้