กรุงเทพฯ--9 ก.ย.--บลจ.บัวหลวง
“เงินเฟ้อ เงินเฟ้อ เงินเฟ้อ” นักลงทุนหลายคนคงได้ยินประโยคนี้อย่างคุ้นหูในช่วงปีที่ผ่านมา เมื่อพูดถึงภาวะเงินเฟ้อ นั่นหมายถึง ราคาสินค้าแพงขึ้น อาหารแพงขึ้น ในขณะที่เม็ดเงินสำหรับจับจ่ายใช้สอยยังคงเท่าเดิม โดยภาวะเงินเฟ้อของประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา เป็นไปตามการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน และราคาสินค้าเกษตร โดยเฉพาะราคาสินค้าเกษตรบางชนิดมีราคาปรับขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เช่น ยางพารา น้ำตาล ฝ้าย
การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าเกษตร มีปัจจัยหลักมาจาก สินค้าเกษตรนั้นๆ เกิดการขาดแคลน จากสภาวะอากาศที่ผิดปกติ อย่างเช่น ปรากฏการณ์ เอลนีโญและลานีญา หรือภัยพิบัติจากธรรมชาติ อาทิ น้ำท่วมภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งเป็นแหล่งปลูกยางพาราที่สำคัญและเป็นผู้ส่งออกยางพาราอันดับ 1 ของโลก หรือการเกิดน้ำท่วมในรัฐควีนส์แลนด์ ของประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นรัฐที่ผลิตอ้อยและน้ำตาลมากถึง 95% ของผลผลิตอ้อยและน้ำตาลทั้งหมดของประเทศ และประเทศออสเตรเลียเอง เป็นผู้ส่งออกน้ำตาลอันดับ 3 ของโลก ในขณะที่ความต้องการบริโภคสินค้าเกษตรยังคงอยู่ในระดับสูง จากการเพิ่มขึ้นของประชากรโลก และการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะจากประเทศจีน และอินเดีย ซึ่งมีประชากรรวมกัน 2 ประเทศ คิดเป็นอัตราส่วนถึง 36.9% ของจำนวนประชากรโลก นอกจากนั้น การปรับเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน ส่งผลให้เกิดการนำสินค้าเกษตรบางชนิดไปใช้ในการผลิตพลังงานทดแทน เช่น มันสำปะหลัง อ้อย ข้าวโพด นำไปใช้ผลิตเอทานอล และถั่วเหลือง ปาล์มน้ำมัน นำไปใช้ผลิตไบโอดีเซล ยิ่งเป็นการกระตุ้นความต้องการของสินค้าเกษตรเพิ่มเติม
สำหรับประเทศไทยที่เป็นประเทศเกษตรกรรม ก็ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนสินค้าเกษตรเช่นกัน โดยในเดือนพฤศจิกายน 2553 เกิดการขาดแคลนน้ำตาลทรายในประเทศ ส่งผลให้ต้องยกเลิกการส่งออกน้ำตาลบางส่วน เพื่อนำมาใช้ในประเทศ หรือในช่วงเดือนธันวาคม 2553 เกิดการขาดแคลนน้ำมันปาล์ม ทำให้ต้องปรับราคาอ้างอิงน้ำมันปาล์มขึ้น และนำเข้าปาล์มดิบจากต่างประเทศเพื่อนำมาผลิต ผลกระทบที่เกิดกับประเทศไทยนั้นยังดูไม่ร้ายแรง หากเทียบกับประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ เช่น อียิปต์ ตูนีเซีย โมร็อกโค แอลจีเรีย และปากีสถาน วิกฤตขาดแคลนอาหารส่งผลให้ประชาชนก่อการจลาจล และถึงขั้นมีการเรียกร้องให้เปลี่ยนผู้นำประเทศ โดยองค์การอาหารโลกแห่งสหประชาชาติ (WFP) ได้ตั้งชื่อวิกฤตการณ์ปัญหาราคาอาหารที่แพงขึ้นทั่วโลก ในปัจจุบันนี้ว่า "Silent Tsunami" ซึ่งหมายถึงวิกฤตที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้เตรียมการรับมือไว้ก่อน อย่างไรก็ตาม ราคาสินค้าเกษตรในปัจจุบันได้ปรับตัวลงมาจากระดับสูงสุดเมื่อเทียบกับช่วงต้นปี เนื่องจากความกังวลในการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศสหรัฐฯ และยุโรป รวมถึงการลดลงของราคาน้ำมัน ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรยังคงมีแนวโน้มผันผวนและมีความเสี่ยงที่จะชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง หากเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐฯ และยุโรปยังไม่ได้รับการแก้ไข
คำถามที่ตามมา คือ สินค้าเกษตรมีความน่าสนใจในการลงทุนหรือไม่ ซึ่งในประเทศไทยเองนั้นก็มีตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า (AFET) เช่นกัน แต่ยังไม่เป็นที่นิยมของนักลงทุน เนื่องจากมีผลิตภัณฑ์ไม่หลากหลาย โดยปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์อ้างอิงเพียง 4 ชนิด ได้แก่ ข้าวหอมมะลิ ข้าวขาว ยางแผ่นรมควัน และมันสำปะหลังเส้น อีกทั้งยังมีสภาพคล่องในการซื้อขายน้อย อีกหนึ่งทางเลือกของนักลงทุน คือ ลงทุนผ่านกองทุนรวมที่ลงทุนในหน่วยลงทุนต่างประเทศที่มีผลตอบแทนอ้างอิงกับดัชนีสินค้าเกษตรต่างๆ อย่างไรก็ตาม ดัชนีอ้างอิงที่กองทุนรวมเหล่านี้ลงทุนก็มีความผันผวนเช่นกัน โดยกราฟด้านล่างคือ Rogers International Commodity Index - Agriculture ซึ่งเป็นดัชนีที่ประกอบด้วยสินค้าเกษตร 22 ชนิด เช่น ข้าวโพด น้ำตาล ฝ้าย ซึ่งกองทุนรวมต่างประเทศหลายๆ แห่งจะใช้ดัชนีนี้ในการอ้างอิงผลตอบแทน จะเห็นได้ว่าตัวดัชนีเองมีความผันผวนเหมือนตลาดหุ้น และดัชนี ณ ปัจจุบันปรับตัวลงมา 11% จากระดับสูงสุดเมื่อวันที่ 18 ก.พ. 54 และหากพิจารณาสินค้าเกษตรบางชนิด เช่น ยางแผ่นรมควันชั้น 3 ฝ้าย และน้ำตาลทรายดิบ จะพบว่า ราคา ณ ปัจจุบัน ปรับตัวลงมา 31% 52% และ 14% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับราคาสูงสุดเมื่อช่วงต้นปี เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของผลผลิต และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะเห็นได้ว่า หากนักลงทุนมีการเข้าซื้อที่ผิดจังหวะ จะทำให้เกิดการขาดทุนในระดับสูง
การลงทุนในตลาดสินค้าเกษตร อาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่นักลงทุนใช้ เพื่อการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน แต่สิ่งที่นักลงทุนควรตระหนักไว้ คือ ราคาสินค้าเกษตรเองก็มีความผันผวนไม่ต่างจากหุ้นตัวหนึ่ง เนื่องจากหากสินค้าเกษตรตัวหนึ่งราคาสูง เกษตรกรก็จะเปลี่ยนไปปลูกสินค้าเกษตรตัวนั้นแทน ทำให้ราคาที่สูงนั้นไม่ยั่งยืน นักลงทุนต้องเข้าใจอุปสงค์อุปทาน ของสินค้าเกษตรนั้นๆ เนื่องจากเป็นปัจจัยหลักในการผลักดันราคา นอกจากนี้การซื้อขายในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่จากเดิมผู้ประกอบการใช้เพื่อป้องกันความเสี่ยง หรือต้องการการส่งมอบสินค้าจริงๆ แต่ ณ ปัจจุบัน นักลงทุนสถาบัน กองทุน Hedge Fund หรือแม้แต่นักลงทุนรายย่อยต่างเข้าไปมีบทบาทในการซื้อขาย ทั้งลงทุนเพื่อการกระจายความเสี่ยง หรือในแง่การเก็งกำไร ทำให้การลงทุนในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าหรือการลงทุนผ่านกองทุนรวมในปัจจุบันก็มีความเสี่ยงไม่แตกต่างไปจากลงทุนในหุ้นตัวหนึ่ง และในบางช่วงเวลาอาจมีความเสี่ยงและความผันผวนที่มากกว่าการลงทุนในหุ้นด้วยซ้ำไป
Disclaimer : ข้อมูลในเอกสารนี้ รวบรวมจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้ ทั้งนี้ บลจ.บัวหลวง ไม่สามารถยืนยันหรือรับรองความถูกต้องของข้อมูลดังกล่าว และไม่ว่ากรณีใด บทวิเคราะห์ในเอกสารนี้ มิได้เป็นการชี้นำในการตัดสินใจ หรือโฆษณาการดำเนินธุรกิจของบริษัท การตัดสินใจใดๆ ของผู้อ่าน ล้วนเป็นการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน ซึ่ง บลจ.บัวหลวง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือพันธะผูกพันใดๆ ทั้งสิ้น