
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมจัด "งานเปิดตัวนักวิจัยศักยภาพสูง ประจำปี 2568" โดย นางสาวศิรินทร์พร เดียวตระกูล รองผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศาสตราจารย์กิตติคุณพีระศักดิ์จันทร์ประทีป ร่วมแถลงข่าวเปิดตัว 3 นักวิจัยศักยภาพสูง ซึ่งได้รับการสนับสนุนทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง ประจำปี 2568 และแถลงความสำคัญของโครงการวิจัยที่จะดำเนินการ รวมถึงผลลัพธ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอีก 3 ปีข้างหน้า โดยมีคณะกรรมการทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง ผู้บริหาร วช. ผู้บริหาร สวทช. ผู้บริหารต้นสังกัดนักวิจัย นักวิจัย ผู้ทรงคุณวุฒิ และแขกผู้มีเกียรติ เข้าร่วมงาน

นางสาวศิรินทร์พร เดียวตระกูล รองผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กล่าวว่า วช. ให้ความสำคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรด้านการวิจัยและนวัตกรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในพันธกิจสำคัญของ วช. โดยมุ่งเน้น 4 ด้าน ได้แก่ 1) ส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของนักวิจัยไทย เพื่อให้เกิดกลุ่มวิจัยที่เข้มแข็ง ทำงานเป็นทีม และมีโครงสร้างการพัฒนานักวิจัยอย่างต่อเนื่อง เชื่อมโยงตั้งแต่ระดับนักศึกษา นักวิจัยรุ่นใหม่ นักวิจัยรุ่นกลาง จนถึงนักวิจัยอาวุโส 2) สร้างและบูรณาการองค์ความรู้ เพื่อสร้างผลกระทบ และความเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม โดยสอดคล้องกับความจำเป็นและความต้องการของประเทศ 3) สร้างโอกาสการวิจัยและการใช้ประโยชน์ในมิติต่าง ๆ เช่น ด้านวิชาการ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคมและชุมชน ด้านนโยบาย และ 4) สร้างเครือข่ายการวิจัยระดับชาติและระดับนานาชาติ เพื่อผลักดันผลผลิตงานวิจัย รวมถึงการสื่อสารข้อค้นพบทางวิชาการให้กับสังคมและชุมชน และการตอบสนองต่อปัญหาวิกฤติเร่งด่วนของประเทศ โดยในปี 2568 วช. ร่วมกับ สวทช. เปิดรับข้อเสนอการวิจัยและนวัตกรรม "ทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง" ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือด้านสังคมศาสตร์ หรือด้านมนุษยศาสตร์ และได้ให้การสนับสนุนนักวิจัยศักยภาพสูง ประจำปี 2568 ได้แก่ ศาสตราจารย์ ดร.ชัย จาตุรพิทักษ์กุล จากสาขาวิศวกรรมและเทคโนโลยี ศาสตราจารย์ ดร. แพทย์หญิงณัฎฐิยา หิรัญกาญจน์จากสาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์และสุขภาพ และศาสตราจารย์ ดร.สุวบุญ จิรชาญชัย จากสาขาวิศวกรรมและเทคโนโลยี งบประมาณรวมไม่เกิน 15 ล้านบาทต่อโครงการ ระยะเวลาดำเนินงาน 3 ปี ปัจจุบันทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูงนี้ดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 4ให้การสนับสนุนไปแล้ว รวมทั้งสิ้น 12 โครงการ
ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. เป็นหน่วยงานที่ดูแลและบริหารจัดการทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง โดยอาศัยกระบวนการบริหารจัดการงานวิจัยและกลไกบริหารโครงการวิจัยขนาดใหญ่ที่ สวทช. มีอยู่ รวมถึงการใช้ทรัพยากรและกระบวนการของ สวทช. ไม่ว่าจะเป็นฐานนักวิจัย โครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือกลไกบริหารโครงการวิจัย โดยความร่วมมือระหว่าง วช. และ สวทช. จะเป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ รวมทั้งพัฒนาศักยภาพของบุคลากรวิจัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ วช. และ สวทช. ร่วมดำเนินการพิจารณาข้อเสนอโครงการวิจัย โดยใช้เกณฑ์ครอบคลุมศักยภาพของบุคลากรและคุณค่าของโครงการ ผ่านคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายสาขา และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อคัดเลือกโครงการที่มีความโดดเด่นและสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อประเทศอย่างแท้จริง
ศาสตราจารย์กิตติคุณพีระศักดิ์ จันทร์ประทีป ผู้แทนคณะกรรมการทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง กล่าวแสดงความยินดีอย่างยิ่งกับนักวิจัยทั้ง 3 ท่านและทีมวิจัย ที่ได้รับทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง ซึ่งล้วนเป็นนักวิจัยระดับแนวหน้าของประเทศที่มีผลงานวิจัยโดดเด่นและเป็นที่ยอมรับ ทุนวิจัยนี้มีบทบาทสำคัญในการสร้างทีมวิจัยที่เข้มแข็งที่มีศักยภาพระดับในและต่างประเทศ ซึ่งการทำงานเป็นทีมย่อมสร้างผลงานที่มีผลกระทบสูงและสามารถขยายผลได้อย่างกว้างขวางมากกว่าการทำงานเพียงลำพัง และการสนับสนุนจากหน่วยงานต้นสังกัดเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้นักวิจัยก้าวข้ามอุปสรรค บรรลุเป้าหมาย นอกจากนี้ ยังมุ่งหวังให้ทีมวิจัยเหล่านี้เป็นคลังสมองของประเทศ เพื่อสร้างสรรค์องค์ความรู้ใหม่ ๆ ขยายบทบาทสู่เวทีนานาชาติ และเสริมสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย
ภายในงาน ยังมีการแถลงงานวิจัยของนักวิจัยศักยภาพสูง ประจำปี 2568 และแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับโครงการวิจัยดังกล่าว โดยผู้ได้รับทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง ประจำปี 2568 จำนวน 3 ท่าน ได้แก่
- ศาสตราจารย์ดร.ชัย จาตุรพิทักษ์กุลสังกัด มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี โครงการ "เทคโนโลยีและนวัตกรรมชั้นแนวหน้าในอุตสาหกรรมก่อสร้างเพื่อรองรับการพัฒนาเมกะซิตี้แห่งอนาคต" ผลผลิตที่ได้จากโครงการนี้จะเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาเมกะซิตี้แห่งอนาคตของประเทศไทยในทุกมิติ ทั้งด้านกำลังคนทักษะสูง ด้านนวัตกรรมวัสดุสมัยใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้านบริหารจัดการเมืองและการประเมินความเสี่ยง และเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุภัยพิบัติต่าง ๆ ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาเศษฐกิจและนโยบายเพื่อการสร้างเมืองแห่งอนาคตที่ยั่งยืน"
- ศาสตราจารย์ดร. แพทย์หญิงณัฎฐิยา หิรัญกาญจน์สังกัด จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โครงการ "แนวทางใหม่ในภูมิคุ้มกันบำบัด: ผสานการวิศวกรรมเซลล์ขั้นสูง การปรับโปรแกรมเซลล์ และการรักษาเสริมเพื่อโรคมะเร็ง และโรคอักเสบที่เกิดจากภูมิคุ้มกัน" จุดเด่นของโครงการนี้คือ การพัฒนาเทคโนโลยีการรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานจริงในโรงพยาบาลไทย ผ่านแพลตฟอร์มหลากหลาย รวมถึงแนวทาง Combination Therapy ที่ปรับระบบภูมิคุ้มกันหลายระดับพร้อมกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาโรคที่ซับซ้อน เช่น มะเร็ง โรคอักเสบเรื้อรัง และโรคภูมิต้านตนเอง การวิจัยครอบคลุมตั้งแต่การออกแบบเซลล์รักษาเฉพาะบุคคล (CAR T cells) การพัฒนาแอนติบอดีรูปแบบใหม่ (BiTEs และ TriKEs) การใช้ข้อมูลพันธุกรรมเพื่อเพิ่มความแม่นยำ ไปจนถึงการปรับเมตาบอลิซึมของเซลล์ด้วยโปรไบโอติกที่ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันโดยตรง นอกจากนี้ยังมีการศึกษาในกลุ่มโรคอ้วน ซึ่งสัมพันธ์กับการอักเสบเรื้อรังและความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งในระยะยาว โครงการนี้จึงเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาการแพทย์เฉพาะบุคคล
- ศาสตราจารย์ดร.สุวบุญ จิรชาญชัยสังกัด จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โครงการ "บนความท้าทายของไบโอรีไฟเนอรี่อุตสาหกรรมขั้นปลาย: การพัฒนาวัสดุขั้นสูง วัสดุกลไกพิเศษ และวัสดุนวัตกรรมจากพอลิเมอร์ สีเขียวเพื่อการแข่งขันได้อย่างยั่งยืนของประเทศไทย" มุ่งเปลี่ยนผ่านจากการใช้ทรัพยากรปิโตรเลียมสู่การใช้ทรัพยากรชีวภาพอย่างชาญฉลาด ด้วยองค์ความรู้ด้านเคมีพอลิเมอร์ในการพัฒนาโครงสร้างวัสดุใหม่ เช่น ตัวเร่งปฏิกิริยาเปิดปิดตนเองได้ อุปกรณ์ขยายหลอดเลือดจดจำรูปร่างได้ อีลาสโตเมอร์ชีวภาพย่อยสลายได้ พลาสติกจากแป้งซ่อมแซมตัวเองได้ พลาสติกจากเมล็ดยางซ่อมแซมตัวเองได้ เจลชีวภาพเคลื่อนไหวได้ บรรจุภัณฑ์นำไฟฟ้าจากพลาสติกชีวภาพ ถุงร้อนถุงเย็นจากพลาสติกชีวภาพ นวัตกรรมดึงยืดเพื่อเพิ่มความเหนียวพลาสติกชีวภาพ นวัตกรรมควบคุมการย่อยสลายพลาสติกชีวภาพ และวัสดุขั้นสูงทางการแพทย์ สะท้อนภาพอนาคตของอุตสาหกรรมไทยภายใต้แนวคิด "เศรษฐกิจชีวภาพ" (Bioeconomy) และ "การพัฒนาที่ยั่งยืน" (Sustainable Development Goals)
ทั้งนี้ผลงานที่จะเกิดขึ้นภายใต้การดำเนินงานของนักวิจัยศักยภาพสูงทั้ง 3 ท่าน มุ่งเน้นผลสำเร็จ ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในมิติต่าง ๆ ทั้งมิติด้านวิชาการ ด้านเศรษฐกิจ และด้านนโยบาย เพื่อใช้เป็นกลไกในการพัฒนาและแก้ปัญหาเร่งด่วนสำคัญของประเทศ ภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ 4 การพัฒนากำลังคนและสถาบันด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมให้เป็นฐานการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศแบบก้าวกระโดดและอย่างยั่งยืน โดยใช้วิทยาศาสตร์ การวิจัยและนวัตกรรม