
บมจ.อาม่า มารีน (AMA) เดินหน้าบริหารจัดการต้นทุนในช่วงครึ่งปีหลัง พร้อมเตรียมต่อยอดบริการโลจิสติกส์แนวใหม่ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานฟากผู้บริหาร "พิศาล รัชกิจประการ" ระบุตั้งเป้าอัตรากำไรขั้นต้น (GP) รักษาระดับที่ 2 Digit ในปี 68 เตรียมขยายบริการรูปแบบใหม่นอกเหนือธุรกิจการขนส่งสินค้าทางรถ - ทางเรือ ตอบสนองความต้องการลูกค้า และเพิ่มรายได้ พร้อมปักหมุดรายได้ 3ปี ข้างหน้าแตะ 5,000 ล้านบาท
นายพิศาล รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาม่า มารีน จำกัด (มหาชน) (AMA) ผู้ให้บริการขนส่ง สินค้าน้ำมันปาล์มและน้ำมันพืช เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการต้นทุนอย่างเข้มข้น เพื่อรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ให้อยู่ในระดับ 2 หลัก (Double Digit) และอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงปีก่อน ที่อยู่ที่ระดับ 15 - 18% จากการบริหารจัดการจำนวนเที่ยววิ่งการขนส่งสินค้าทางรถ และต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ ยังมองหาโอกาสการขยายบริการใหม่ๆ อาทิ Cold Chain Logistics และ ขนส่งเฉพาะทาง (Specialized Logistics) เพื่อลดความเสี่ยง จากการพึ่งพิงรายได้หลักเพียงกลุ่มเดียว และสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว ล่าสุดอยู่หว่างการศึกษา ทั้งการลงทุนเอง และการจับมือพันธมิตรเชิงกลยุทธ์
" ในปีนี้บริษัทฯให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการต้นทุน เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน ควบคู่ไปกับแผนกลยุทธ์ที่จะขยายบริการด้านโลจิสติกส์ในรูปแบบใหม่ เพื่อสร้างบริการที่ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยตั้งเป้ารายได้ภายใน 3 ปี (2569-2571) จะแตะ 5,000 ล้านบาท " นายพิศาลกล่าว
นายพิศาล กล่าวต่อว่า ธุรกิจการขนส่งสินค้าทางรถ ยังมีการเติบโตที่ดี โดยในช่วงที่ผ่านมา บริษัท ทีเอสเอสเคโลจิสติกส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ได้มีการเพิ่มรถขนส่งสินค้า 21 คัน เพื่อรองรับความต้องการลูกค้าในธุรกิจ ผงพลาสติก ส่วนธุรกิจการขนส่งสินค้าทางเรือ อยู่ระหว่างการพิจารณาเพิ่มเรืออีก 1 ลำ เพื่อทดแทนเรือที่จำหน่ายออกไปก่อนหน้านี้ โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในไตรมาส 4 ของปีนี้
ปัจจุบัน AMA มีกองรถรวมกว่า 500 คัน โดยเป็นของบริษัทย่อย AMAL ราว 300 คัน ที่เหลือเป็นของบริษัทลูก โดยมี อัตราการใช้งาน (Fleet Utilization) มากกว่า 80% ส่วนธุรกิจขนส่งทางเรือมีจำนวน 8 ลำ และอยู่ระหว่างแผนขยายเพิ่มอีก 1 ลำ เพื่อรองรับการเติบโตของงานขนส่งทางน้ำระหว่างประเทศ