
สทนช. เปิดศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยภาคกลาง ระดมทุกหน่วยตั้งรับมวลน้ำจากภาคเหนือและฝนชุดต่อไปปลายเดือน ก.ย. วางแผนพร่องระบายน้ำล่วงหน้า เตรียมพร้อมแก้ไขสถานการณ์น้ำหลากและอุทกภัยในพื้นที่ให้กลับสู่สภาวะปกติโดยเร็ว
วันนี้ (2 กันยายน 2568) นายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมคณะทำงานศูนย์อำนวยการบริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยภาคกลาง ครั้งที่ 1/2568 โดยมี นายประพันธ์ ตรีบุบผา รองผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้การต้อนรับ พร้อมด้วย รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาท รองผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการลุ่มน้ำ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาบางบาล อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
รองเลขาธิการ สทนช. เปิดเผยว่า สทนช. ได้จัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยภาคกลาง ตามมาตรการรับมือฤดูฝนปี 2568 เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำและฝนในช่วงเดือนกันยายน - ตุลาคมนี้ จากการคาดการณ์กรมอุตุนิยมวิทยา ร่วมกับ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) พบว่า ในช่วงสัปดาห์นี้ (วันที่ 2 - 6 ก.ย. 2568) บริเวณภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้จะมีฝนตกหนักบางแห่ง เนื่องจากร่องมรสุมจะเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ประกอบกับคาดการณ์ว่าใน 7 วันข้างหน้าจะมีปริมาณน้ำไหลมาจากภาคเหนือลงสู่ตอนกลางของประเทศผ่านที่ จ.นครสวรรค์ ในอัตราประมาณ 2,200-2,300 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที สทนช. จึงได้ระดมความคิดเห็นจากหน่วยงานและคณะกรรมการในกลุ่มลุ่มน้ำเจ้าพระยา ประกอบด้วย ลุ่มน้ำสะแกกรัง ลุ่มน้ำท่าจีน ลุ่มน้ำป่าสัก ลุ่มน้ำบางปะกง และลุ่มน้ำเจ้าพระยา ร่วมกันวางแผนบริหารจัดการน้ำและเตรียมการณ์รองรับสถานการณ์ เขื่อนขนาดใหญ่ในตอนบนของประเทศ เช่น เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนภูมิพล เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ คาดว่าจะมีน้ำไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง จึงต้องวางแผนเพิ่มการระบายน้ำเพื่อป้องกันความเสี่ยงน้ำล้นและรักษาความมั่นคงของเขื่อน นอกจากนี้ กรมชลประทานได้เร่งระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยาในอัตรา 1,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ระยะเวลาประมาณ 10-15 วัน เพื่อเพิ่มพื้นที่เหนือเขื่อนสำหรับรองรับมวลน้ำจากฝนตกหนักชุดต่อไป ซึ่งคาดว่าจะมีปริมาณฝนมากในพื้นที่ลุ่มน้ำสะแกกรัง บริเวณจังหวัดอุทัยธานี และจังหวัดกำแพงเพชร สำหรับพื้นที่ท้ายน้ำที่ได้รับผลกระทบ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้วางแนวทางช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณนอกคันกั้นน้ำในพื้นที่ อำเภอเสนา อำเภอบางบาล อำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อช่วยผลกระทบในแต่ละพื้นที่ให้ได้มากที่สุด
"ศูนย์ส่วนหน้าฯ จะสนับสนุนและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของทุกหน่วยงาน ในการแก้ไขสถานการณ์น้ำหลากและอุทกภัยในพื้นที่ให้กลับสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด พร้อมกันนี้ ได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานติดตามสภาพอากาศและสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง และให้ตรวจสอบ เตรียมความพร้อมเครื่องจักร เครื่องมือ บุคลากร และสถานีโทรมาตร หากชำรุดเสียหายให้เร่งซ่อมแซมโดยเร็วเพื่อให้มีความพร้อมใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดเวลา ทั้งนี้ การระบายน้ำในอัตราดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อบางพื้นที่ของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและปทุมธานี จึงกำชับให้หน่วยงานประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดผลกระทบความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนให้ได้มากที่สุด"รองเลขาธิการ สทนช. กล่าวในตอนท้าย