เอ็มเทค สวทช. ขับเคลื่อน Design for Circular Economy "คิดก่อนทำ" สู่โมเดลธุรกิจยั่งยืน

ข่าวทั่วไป Friday September 5, 2025 10:28 —ThaiPR.net

เอ็มเทค สวทช. ขับเคลื่อน Design for Circular Economy

ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดกิจกรรม NSTDA x Press Interviews หัวข้อ "ออกแบบเศรษฐกิจหมุนเวียน 'คิดก่อนทำ' กุญแจสำคัญในการสร้างธุรกิจที่ยั่งยืน" โดยมี ดร.วิชชุดา เดาด์ นักวิจัยเอ็มเทค สวทช. พร้อมด้วยคุณอวยชัย ศิริวจนา กรรมการบริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) และคุณฐิติพันธ์ วาณิชธนศรี ผู้บริหาร ห้างหุ้นส่วนจำกัด พี เอส เอ็ม พลาสิเทค กรุ๊ป ร่วมถ่ายทอดประสบการณ์การนำแนวคิด Circular Design มาใช้เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืน

เอ็มเทค สวทช. ขับเคลื่อน Design for Circular Economy
  • "คิดตั้งแต่ต้นทาง" หัวใจสำคัญของ Circular Design

ดร.วิชชุดา เดาด์ นักวิจัย ทีมวิจัยเทคโนโลยีพลาสติก กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง เอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า การออกแบบเพื่อเศรษฐกิจหมุนเวียน (Design for Circular Economy) คือการคิดตั้งแต่ต้นทางว่าจะยืดอายุการใช้งานและคงคุณค่าทรัพยากรได้ยาวนานที่สุด และเมื่อสิ้นรอบการใช้งานต้องสามารถออกแบบเส้นทางชีวิตรอบถัด ๆ ไปให้กับวัสดุได้ ไม่ว่าจะเป็นการซ่อมแซม การนำกลับมาใช้ซ้ำ การรีไซเคิล หรือการแปลงเป็นพลังงาน แทน "ผลิต-ใช้-ทิ้ง" ที่สร้างของเสียและภาระต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ หัวใจสำคัญของการออกแบบเพื่อเศรษฐกิจหมุนเวียนคือการวางแผนตั้งแต่ต้น ไม่ใช่การรอให้เกิดของเสียแล้วจึงจัดการ แต่ต้องกำหนดแนวทางการใช้วัสดุให้หมุนเวียนกลับมาได้เต็มศักยภาพตั้งแต่แรก เนื่องจากปัจจุบันความยั่งยืนไม่ใช่แค่ทางเลือกแต่เป็นความจำเป็นสำหรับภาคอุตสาหกรรมไทย ซึ่งต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน เช่น ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น การขาดองค์ความรู้เชิงเทคนิคเกี่ยวกับวัสดุและการออกแบบผลิตภัณฑ์ เครื่องจักรเดิมที่ต้องปรับปรุงให้รองรับวัสดุใหม่ ความยากในการสร้างความเชื่อมั่นของตลาด และระบบจัดการของเสียที่ยังไม่ครบวงจร เอ็มเทค สวทช. จึงเข้ามามีบทบาทเป็น "พี่เลี้ยงด้านนวัตกรรม" ร่วมสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้นำแนวคิดการออกแบบเพื่อเศรษฐกิจหมุนเวียนมาปรับใช้ได้จริง ผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น โครงการส่งเสริมการออกแบบเพื่อเศรษฐกิจหมุนเวียน (Design for Circular Economy) เพื่อการใช้ทรัพยากรแร่และโลหะอย่างยั่งยืน สนับสนุนโดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรม

ดร.วิชชุดา เดาด์ กล่าวต่อว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า ผลิตภัณฑ์ Made in Thailand จะก้าวสู่ทิศทางที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยให้ความสำคัญกับการใช้ทรัพยากรหมุนเวียน (renewable resources) และวัสดุที่รีไซเคิลได้ง่าย การออกแบบให้ถอดแยก ซ่อมแซม และอัปเกรดได้ เพื่อลดการเกิดขยะและยืดอายุการใช้งาน ระบบการผลิตในอนาคตจะถูกออกแบบให้สามารถส่งต่อข้อมูลตลอดวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ เช่น การใช้ Digital Product Passport (DPP) เพื่อระบุประเภทวัสดุ ส่วนประกอบ วิธีถอดแยก การซ่อมบำรุง และแนวทางจัดการเมื่อสิ้นอายุการใช้งาน ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ผู้รีไซเคิลและผู้ผลิตในรอบถัดไปเข้าถึงได้ง่ายและนำทรัพยากรกลับมาใช้ซ้ำได้เต็มศักยภาพ การเปลี่ยนผ่านนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ภาครัฐควรวางนโยบายและมาตรฐาน Circular Economy ควบคู่กับการสนับสนุน R&D และระบบข้อมูลที่โปร่งใส ภาคเอกชนต้องลงทุนในนวัตกรรม ปรับกระบวนการผลิต และออกแบบผลิตภัณฑ์ตามแนวคิด Circular ส่วนผู้บริโภคเองก็มีบทบาทสำคัญในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน และใช้ทรัพยากรอย่างมีความรับผิดชอบ หากทั้งสามฝ่ายเริ่มลงมือทำตั้งแต่วันนี้ จะช่วยสร้างผลิตภัณฑ์ไทยที่ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เติบโตได้อย่างยั่งยืน และแข่งขันได้ในระดับสากลอย่างแท้จริง

  • Circular Economy คืออนาคต ผู้ประกอบการไทยสร้างมาตรฐานใหม่ระดับสากล

คุณฐิติพันธ์ วาณิชธนศรี ผู้บริหาร ห้างหุ้นส่วนจำกัด พี เอส เอ็ม พลาสิเทค กรุ๊ป เผยวิสัยทัศน์ที่มุ่งเปลี่ยนพลาสติกใช้แล้วให้เป็นทรัพยากรที่มีค่าไม่ใช่แค่ขยะ ด้วยการพัฒนากระบวนการรีไซเคิลด้วยนวัตกรรมตั้งแต่ต้นทาง บริษัทสามารถผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิล ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงเม็ดใหม่ (virgin) ถึง 80% ซึ่งสามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมที่ต้องการมาตรฐานสูง เช่น ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และบรรจุภัณฑ์ได้ จุดแข็งของบริษัทคือกระบวนการผลิตแบบ requirement-driven ที่เริ่มจากความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก โดยทำงานร่วมกับโรงงาน แบรนด์สินค้า และชุมชน เพื่อคัดแยกและเตรียมวัตถุดิบเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลที่ได้มาตรฐาน Global Recycle Standard (GRS) ซึ่งตรวจสอบย้อนกลับได้ทุกขั้นตอน นอกจากนี้ เม็ดพลาสติกรีไซเคิลของบริษัทยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยมีค่าคาร์บอนฟุตพรินต์เพียง 0.3-0.45 กก. CO?/กก. ซึ่งน้อยกว่าเม็ดใหม่ที่ปล่อยสูงถึง 1.8 กก. อย่างมาก และยังสอดคล้องกับความต้องการของตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนอีกด้วย

คุณฐิติพันธ์ กล่าวต่อว่า ความสำเร็จของบริษัทมาจากความร่วมมือกับ เอ็มเทค สวทช. ซึ่งเป็น "พี่เลี้ยง" ที่ช่วยสนับสนุนด้านองค์ความรู้ "Design for Circular Economy" ตั้งแต่การออกแบบผลิตภัณฑ์ไปจนถึงการวิเคราะห์สารเคมีในพลาสติกอย่างละเอียด ทำให้บริษัทไม่ได้เป็นเพียงผู้จัดหาวัตถุดิบอีกต่อไป แต่ก้าวขึ้นเป็นที่ปรึกษาด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมระดับสากล โดยเฉพาะกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดของยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งมีกฎเกณฑ์เข้มงวดด้านสัดส่วนวัสดุรีไซเคิลและคาร์บอนฟุตพรินต์ นอกจากคุณค่าทางเศรษฐกิจแล้ว บริษัทฯ ยังสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ด้วยการสร้างรายได้ให้ชุมชนจากการคัดแยกขยะพลาสติก และช่วยลดการรั่วไหลของขยะลงสู่ทะเล ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่

คุณฐิติพันธ์กล่าวทิ้งท้ายว่า เป้าหมายของบริษัทคือการทำให้ผู้บริโภคเห็นว่าพลาสติกใช้แล้วสามารถสร้างคุณค่าใหม่ได้อย่างแท้จริง หากมีระบบจัดการที่ถูกต้องและได้มาตรฐาน เพื่อผลักดันวงการรีไซเคิลของไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืน

ด้าน คุณอวยชัย ศิริวจนา กรรมการบริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 39 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตหม้อแปลงไฟฟ้าทุกประเภท ตั้งแต่ขนาดเล็กจนถึงระดับแรงดันสูง 525 kV และมุ่งมั่นที่จะยกระดับมาตรฐานพลังงานไฟฟ้าของประเทศอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ ได้ร่วมมือกับ เอ็มเทค สวทช. พัฒนา "หม้อแปลงไฟฟ้ารีแมนูแฟคเจอริ่ง (Remanufacturing Transformer)" ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่นำหม้อแปลงไฟฟ้าที่ใช้แล้วมาปรับปรุงให้มีคุณภาพเทียบเท่าของใหม่ผ่านการทดสอบมาตรฐานสากล 100% โครงการนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อน เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ของประเทศไทย เพราะหม้อแปลงไฟฟ้าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทรัพยากรจำนวนมาก การนำหม้อแปลงเก่ากว่า 1 ล้านเครื่องทั่วประเทศมาปรับปรุงใหม่ จะช่วยประหยัดวัตถุดิบ ลดมลภาวะ ลดคาร์บอนฟุตพรินต์ และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้กว่าหมื่นล้านบาท

บริษัทฯ ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการสร้างมาตรฐานคุณภาพเพื่อให้ หม้อแปลงรีแมนูแฟคเจอริ่ง มีความปลอดภัยสูงสุดและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ซึ่งการสนับสนุนด้านงานวิจัยจาก เอ็มเทค สวทช. ในการวัดและคำนวณ คาร์บอนฟุตพรินต์ อย่างละเอียดเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยผลักดันให้ประเทศไทยเข้าสู่ระบบ เศรษฐกิจหมุนเวียน ได้อย่างยั่งยืน

คุณอวยชัยกล่าวทิ้งท้ายว่า นี่คือก้าวสำคัญในการสร้างอนาคตพลังงานที่สะอาดและปลอดภัยสำหรับประเทศไทย และบริษัทฯ พร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเทคโนโลยีด้านพลังงาน พร้อมทั้งเชิญชวนให้ภาคอุตสาหกรรมหันมาใช้ หม้อแปลง CE เพื่อร่วมลดคาร์บอนและดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน

การเดินหน้าสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ประสบความสำเร็จจากบทบาทสำคัญของเอ็มเทค สวทช. ในฐานะ "พี่เลี้ยงด้านนวัตกรรม" ที่สนับสนุนองค์ความรู้ Design for Circular Economy การวิเคราะห์ทางเทคนิค และการพัฒนามาตรฐานระดับสากลให้ผู้ประกอบการไทย จากความร่วมมือกับบริษัท ห้างหุ้นส่วนจำกัด พี เอส เอ็ม พลาสิเทค กรุ๊ป ทำให้สามารถผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงเม็ดเวอร์จินกว่า 80% และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 75% ส่วนโครงการกับบริษัท ถิรไทย พัฒนาหม้อแปลงรีแมนูแฟคเจอริ่งที่สามารถสร้างมูลค่าเศรษฐกิจหลายหมื่นล้านบาทจากทรัพยากรที่มีอยู่แล้ว

เอ็มเทค สวทช. เป็นหน่วยงานหลักที่เชื่อมโยงงานวิจัยกับการใช้งานจริง ผ่านแนวคิด "คิดก่อนทำ" ช่วยผลักดันผลิตภัณฑ์ "Made in Thailand" ให้แข่งขันได้บนเวทีโลกและสนับสนุนเป้าหมาย Carbon Neutrality ของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ