
วันที่ 5 ตุลาคม เป็นวันโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบโลก (World Meningitis Day) โดยองค์การอนามัยโลกได้ตั้งเป้าหมายสำคัญในการรณรงค์ให้ความรู้เพื่อยุติโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบทั่วโลกให้ได้ภายในปี 2030 ซึ่งโรคไข้กาฬหลังแอ่นถือเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญ แพทย์ชี้โรคไข้กาฬหลังแอ่นเป็นโรคติดเชื้อรุนแรงที่อาจทำให้ติดเชื้อในกระแสเลือดและเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เสี่ยงพิการ และเสียชีวิต โดยมีอัตราเสียชีวิต 15 % และ 1 ใน 5 ของผู้รอดชีวิตมีภาวะพิการ เช่น สูญเสียแขนขา การได้ยิน หรือพิการทางสมอง

รศ. พญ.วนัทปรียา พงษ์สามารถ หัวหน้าสาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล กรรมการและประธานอนุกรรมการฝ่ายวิชาการ สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย กล่าวว่า โรคไข้กาฬหลังแอ่นเป็นหนึ่งในสาเหตุของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โดยเป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียรุนแรงที่สามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย โดยเชื้อเข้าสู่กระแสเลือดทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด หรือเชื้อเข้าสู่สมองสมองจนทำให้เกิดภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โดยเชื้อไข้กาฬหลังแอ่นมีหลายสายพันธุ์ แต่ที่พบบ่อยที่สุดในประเทศไทยเป็นสายพันธุ์บี แม้จะพบผู้ป่วยเพียงปีละ 20-30 ราย แต่อัตราการเสียชีวิตสูงถึง 15% และผู้รอดชีวิตราว 1 ใน 5 ยังคงมีความพิการหลงเหลือ เช่น สูญเสียการได้ยิน สูญเสียแขนขา หรือพิการทางสมอง
สำหรับอาการเริ่มแรกเป็นไข้ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อย มีผื่นม่วงคล้ำลุกลามกลายเป็นจ้ำเลือด ซึ่งอาจทำให้มีลิ่มเลือด อุดตันส่งผลให้ปลายแขนขาขาดเลือดไปเลี้ยงจนต้องสูญเสียอวัยวะนั้น หรือบางรายอาจมีภาวะช็อก และหากเชื้อเข้าสู่สมองจะมีอาการปวดศีรษะ ซึม ชัก และอาจเสียชีวิตได้ภายในเวลาเพียง 24 ชั่วโมง เนื่องจากอาการลุกลามอย่างรวดเร็ว แม้ได้รับการรักษาแล้วก็ตาม
"โรคไข้กาฬหลังแอ่นจะพบอุบัติการณ์และความรุนแรงมากในทารกและเด็กเล็ก หมอได้ดูแลผู้ป่วยเด็กอายุ 7 เดือน คุณยายอุ้มมาที่โรงพยาบาล มีไข้สูงมา 1 วัน เพียงแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น เด็กมีอาการซึมลง มีผื่นตามแขนขาเป็นสีม่วง เมื่อมาถึงโรงพยาบาลพบว่าเด็กมีภาวะช็อก มีจ้ำเลือดตามตัวที่ลุกลามอย่างรวดเร็ว มีภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ซึ่งเราเร่งให้การรักษาอย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตาม เด็กมีอาการทรุดลงอย่างรวดเร็ว ในที่สุดต้องเข้า ICU และใส่ท่อช่วยหายใจ ให้ยาเพิ่มความดันเลือด ต้องให้พลาสมาและส่วนประกอบของเลือด ผลการเพาะเชื้อในเลือดยืนยันว่าเด็กมีการติดเชื้อไข้กาฬหลังแอ่น สายพันธุ์บี แม้จะโชคดีว่าเด็กคนนี้รอดชีวิต แต่ว่าน่าเสียดายว่าในที่สุด เด็กต้องสูญเสียนิ้ว ทั้งนิ้วมือและนิ้วเท้า และมีผลกระทบต่อสมอง"
สำหรับกลุ่มเสี่ยง รศ. พญ.วนัทปรียา กล่าวว่า ทุกคนมีความเสี่ยงต่อโรคไข้กาฬหลังแอ่น แต่กลุ่มเสี่ยงสูงแบ่งเป็น 3 กลุ่ม โดยกลุ่ม 1 เสี่ยงจากอายุ พบอุบัติการณ์สูงสุดในกลุ่มทารกและเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 2 ปี และวัยรุ่นอายุ 16-18 ปีที่อยู่รวมกันอย่างแออัด เช่น หอพัก กลุ่มที่ 2 เสี่ยงจากโรคประจำตัวและยาที่ใช้รักษา เช่น ผู้ป่วยตัดม้าม ผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิบางชนิด และกลุ่มที่ 3 เสี่ยงจากการสัมผัสโรค เช่น ผู้ที่ทำงานในห้องปฏิบัติการ ผู้ที่จะเดินทางไปพื้นที่ระบาดหรือประเทศที่มีอุบัติการณ์ของโรคสูง เช่น ไปประกอบพิธีฮัจญ์ ผู้ที่เดินทางไปยังประเทศแถบแอฟริกา หรือไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ
ในการป้องกันโรคไข้กาฬหลังแอ่นมี 3 มาตรการ คือ 1. การรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล หลีกเลี่ยงการใช้ของร่วมกับผู้อื่น เช่น แก้วน้ำ ช้อนส้อม หลีกเลี่ยงการไปในที่แออัดหรือมีคนเจ็บป่วยไม่สบาย 2. การให้ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกัน ภายหลังการสัมผัสโรคกับผู้ที่เป็นโรคไข้กาฬหลังแอ่น ภายใน 7 วันก่อนมีอาการ และ 3. การฉีดวัคซีนในกลุ่มเสี่ยงเพื่อป้องกันการติดเชื้อในกระแสเลือดและเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โดยสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทยได้มีคำแนะนำให้พิจารณาวัคซีนป้องกันโรคไข้กาฬหลังแอ่น เป็นวัคซีนทางเลือกให้กับกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ เด็กอายุ 2 เดือนถึง 2 ปี วัยรุ่นอายุ 16-18 ปี ที่จะเดินทางไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ (ขึ้นอยู่กับข้อบังคับของแต่ละสถานศึกษาและประเทศนั้น ๆ เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา เป็นต้น) ผู้ที่มีโรคประจำตัว รวมทั้งได้รับยากดภูมิคุ้มกันบางชนิด และผู้ที่มีความเสี่ยงการสัมผัสโรค เช่น ผู้ที่จะเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยง
"แม้โรคไข้กาฬหลังแอ่นนี้จะพบไม่บ่อย แต่อาการรุนแรงเฉียบพลันและอาจพรากชีวิตได้รวดเร็ว การป้องกันด้วยมาตรการต่าง ๆ และรับวัคซีนในกลุ่มเสี่ยงจึงมีความสำคัญ ผู้ปกครองสามารถปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้กาฬหลังแอ่น เพื่อปกป้องบุตรหลานและคนที่เรารัก เพราะไม่ควรจะมีใคร ต้องเสียชีวิตด้วยโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน" รศ. พญ.วนัทปรียา กล่าวทิ้งท้าย