ดร.สุรเกียรติ์" ชี้โลกเปลี่ยนขั้ว สังคมเปลี่ยนสมการ ไทยต้องเร่งสร้างผู้นำสู่ระเบียบโลกใหม่

ข่าวทั่วไป Friday October 24, 2025 09:13 —ThaiPR.net

ดร.สุรเกียรติ์

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เครือข่ายจัดการความรู้ประเทศไทย (Thailand Knowledge Management Network : TKMN) โดย สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) หรือ OKMD, สถาบันที่ปรึกษาด้านการจัดการความรู้และนวัตกรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ (IKI-SEA), ทริส คอร์ปอเรชั่น (TRIS) และสถาบันคลังสมองของชาติ (KNIT) ร่วมกันจัดการงาน Thailand KM Network Forum 2025 ณ ห้องประชุมศาสตราจารย์ประเสริฐ ณ นคร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ถ.ศรีอยุธยา โดยได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. สุรเกียรติ์ เสถียรไทย นายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายกสภามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวปาฐกถา ในหัวข้อ "The New Global Order: Unveiled Trends, Transformations, and Leadership"

ดร.สุรเกียรติ์

ดร.สุรเกียรติ กล่าวว่า โลกในปัจจุบันกำลังเผชิญการเปลี่ยนระเบียบโลกใหม่ (The New Global Order) ที่เกิดจากแรงปั่นป่วนระดับโลก (Global Disruptions) ในหลายมิติ ทั้งเทคโนโลยี เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม การเมือง และความมั่นคง ซึ่งกำลังเร่งให้ทุกประเทศต้องปรับตัวเชิงรุกเพื่อความอยู่รอดและความมั่นคงในอนาคต โดยหยิบยก 10 ความปั่นป่วนระดับโลก ได้แก่ 1. Technology Disruption เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและ AI ที่รื้อโครงสร้างเศรษฐกิจและการทำงานของมนุษย์ ต้องใช้ควบคู่ "Critical Thinking" 2. Demographic Disruptionการเข้าสู่สังคมสูงวัย (Aged Society) เปิดทางสู่ "Care Economy" และ "Longevity Economy" 3. Pandemic Disruption เกิดวิกฤตสุขภาพทั่วโลกเร่งให้เกิดแนวคิด "Health Equity" และการสร้างความมั่นคงทางสุขภาพ (Health Security) 4. Environmental Disruption จาก Climate Change สู่ Climate Crisis และ Climate Catastrophe ผลักดันสู่เศรษฐกิจสีเขียวและนโยบาย ESG 5. Education Disruption การเรียนรู้ต้องเปลี่ยนจากการท่องจำเป็น "Action Learning" และ "Intergeneration Dialogue"

6. Political Disruption การเปลี่ยนผู้นำและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก 7. Geo-Political Disruption โลกเปลี่ยนจากมหาอำนาจเดียว เป็นหลายขั้วอำนาจ (Multipolar World) 8. Geo-Economic Disruption เศรษฐกิจโลกเคลื่อนจากระบบตะวันตกสู่ความร่วมมือแบบภูมิภาค 9. Legal Enforcement Disruption ความท้าทายของกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจ เช่น การไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก (ICJ/ICC) และปัญหากลไกข้อพิพาท WTO และ 10. De-dollarization การลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์ โดยกลุ่ม BRICS ผลักดันระบบการชำระเงินข้ามประเทศแบบ Non-Dollar Settlement และใช้เงินหยวน ในฐานะสกุลเงินระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น

ดร.สุรเกียรติ ยังวิเคราะห์ นโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ว่า เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของระเบียบโลกใหม่ ที่เน้นการปกป้องผลประโยชน์ของชาติ ทั้งการใช้นโยบายภาษีและการค้าเป็นอาวุธทางเศรษฐกิจ มีการเจรจาแบบเน้นผลตอบแทนเฉพาะหน้า เปิดเสรีเฉพาะที่สหรัฐฯ ได้ประโยชน์ รวมทั้งใช้กำลังทางทหารเพื่อสร้างอำนาจต่อรอง อย่างไรก็ตามในส่วนของบทบาทของไทยท่ามกลางระเบียบโลกใหม่นั้น ไทยต้องปรับยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศแบบ เชิงรุกและสร้างสรรค์ โดยการสร้างสมดุลระหว่างมหาอำนาจ ผ่านความร่วมมือพหุภาคี

"เราต้องสร้างความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ โดยการสร้างยุทธศาสตร์ร่วมกัน ส่วนความสัมพันธ์ไทยกับโลก เราต้องหาช่องทางสร้างระเบียบโลกใหม่ที่ไทยมีบทบาทมากขึ้น ใช้จุดแข็งด้านภูมิรัฐศาสตร์ และเศรษฐกิจเปิดเสรีเพื่อสร้างอิทธิพลเชิงบวก สำหรับโอกาสของไทยในยุคใหม่ ควรมีการพัฒนาเศรษฐกิจฐานความรู้ โดยใช้จุดแข็งใน 8 สาขา: AI, Health Care, Longevity, Green Economy, Sustainability, Tourism, Food Security, Biodiversity ตลอดจนส่งเสริมคนรุ่นใหม่ ให้มีบทบาทบนเวทีโลก" ดร.สุรเกียรติ ย้ำ

นอกจากนี้ ดร.สุรเกียรติ ยังเสนอแนวทางสำหรับผู้นำยุคใหม่ ในยุคเปลี่ยนโลก ว่า ควรต้องมีอย่างน้อย 3 ข้อคือ 1.Collective Leadership คือการขับเคลื่อนแบบร่วมมือ ไม่ใช่แบบสั่งการ 2. True Leaders Create Future Leaders ผู้นำที่แท้จริง คือผู้สร้างผู้นำรุ่นต่อไป 3. Adaptive Leadership ต้องเป็นผู้นำที่เปลี่ยนแปลงได้ในสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป พร้อมกับย้ำว่า ประเทศไทยต้องไม่เพียงอยู่รอดแต่ต้องมีบทบาทในการร่วมสร้าง New Global Order เราเป็นคนเก่งแต่ต้องเก่งในการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เก่งในเรื่องที่ไม่เปลี่ยน

และในช่วงการสัมมนา Leader panel ภายใต้หัวข้อ Knowledge Management in Action : Navigating ในการสัมมนาวิชาการหัวข้อ "Knowledge Management in Action: Navigating Uncertainty and Crisis" หรือ "การจัดการความรู้เชิงปฏิบัติ ขับเคลื่อนองค์กรผ่านวิกฤตและความไม่แน่นอน" จัดขึ้นภายใต้เวที Leader Panel โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนาประกอบไปด้วย ดร.ทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการ OKMD รศ.ดร.บวร ปภัสราทร ผู้อำนวยการสถาบันคลังสมองของชาติ ดร.อัมพร แสงมณี กรรมการผู้จัดการบริษัท ทริสท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด และ ดร.จุลเทพ เสนีวงศ์ ณ อยุธยาอาจารย์และนักวิจัย จาก IKI-SEA มหาวิทยาลัยกรุงเทพ โดยมีเป้าหมายเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองว่าการจัดการความรู้ (KM) จะมีบทบาทอย่างไรในการพาองค์กรก้าวข้ามความผันผวนของโลก และสร้างความยืดหยุ่น (Resilience) สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

ดร.ทวารัฐ กล่าวว่า ในช่วงเวลาที่โลกเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน องค์กรต้องรู้จักจัดลำดับความสำคัญของความรู้ที่จำเป็นต้องมี โดยเฉพาะความรู้เกี่ยวกับลูกค้า เพราะความต้องการของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หัวใจสำคัญคือการรู้ว่าลูกค้าของท่านคือใคร พฤติกรรมและรสนิยมเขาเปลี่ยนไปอย่างไร

ดร.ทวารัฐ ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า OKMD ในฐานะหน่วยงานส่งเสริมการเรียนรู้สร้างสรรค์ เคยริเริ่มพื้นที่เรียนรู้รูปแบบใหม่ตั้งแต่ 20 ปีก่อน เช่น มิวเซียมสยาม และ TK Park แต่วันนี้เด็กและเยาวชนต้องการพื้นที่รูปแบบใหม่ที่แสดงออกและแจ้งเกิดได้ จึงจำเป็นต้องใช้ KM และงานวิจัยเชิงเทรนด์ เพื่อติดตามความเปลี่ยนแปลง และปรับบริการให้ทันต่อโลกดิจิทัล

รศ.ดร.บวร กล่าวว่า ในภาวะวิกฤต KM เป็นเครื่องมือที่ต้องมี และต้องอยู่ใกล้กับการกำหนดกลยุทธ์ขององค์กร ผู้นำต้องเริ่มจากการตระหนักว่าวิกฤตเกิดขึ้นแล้ว และต้องเชิญชวนทุกฝ่ายร่วมมือกันวิเคราะห์หาต้นเหตุและแนวทางรับมือ ในยามวิกฤต เราต้องถามตัวเองว่า อะไรคือความรู้ที่ต้องมีอยู่ในมือ และต้องสร้างเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน อย่าเก่งคนเดียว ให้ใช้พลังเครือข่าย และใช้ AI ช่วยสังเคราะห์ความรู้ พร้อมเสนอว่า การสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ต้องเริ่มจากการเปิดพื้นที่สนทนา และต่อยอดให้เกิดการขยายผล สร้างพาร์ทเนอร์และชุมชนแห่งการเรียนรู้ เพื่อให้ KM ไม่หยุดอยู่ที่การบันทึก แต่กลายเป็นการเคลื่อนไหวของปัญญาในองค์กร

ด้าน ดร.อัมพร กล่าวว่า การบริหารความรู้เป็นกลไกสำคัญที่ทำให้องค์กรมีความยืดหยุ่นมากขึ้น เพราะ "ความรู้" ไม่ควรถูกเก็บไว้เฉพาะในเอกสาร แต่ต้องไหลเวียนและถูกนำมาใช้จริง ทั้งนี้ KM คือบริหารจัดการความรู้ให้เกิดการไหลเวียนภายในองค์กรอย่างต่อเนื่อง โดยอาจประยุกต์ใช้ AI เพื่อช่วยในการสร้างและสังเคราะห์ข้อมูลให้เป็นระบบมากยิ่งขึ้น การใช้ KM ร่วมกับเทคโนโลยี ไม่เพียงช่วยให้การตัดสินใจแม่นยำขึ้น แต่ยังเปิดทางให้องค์กรเรียนรู้รวดเร็ว และพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในทุกมิติ

ขณะที่ ดร.จุลเทพ กล่าวถึงพัฒนาการของ KM ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ว่าได้ผ่าน 4 ยุคสำคัญคือ 1. ยุคข้อมูลข่าวสาร ประมาณปี 1995 ที่เน้นการรวบรวม และนำข้อมูลมาใช้เป็นองค์ความรู้ 2. ยุคการร่วมมือกันของคนกับคน ราวปี 2000 ที่เริ่มสร้างแพลตฟอร์มแบ่งปันความรู้ 3. ยุคสร้างความรู้ประจำองค์กร ราวปี 2005 ที่ความรู้กลายเป็นสินทรัพย์ร่วม ไม่ใช่ของใครคนใด และ 4.ยุค AI และ Inside Management ที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในการผลิตซ้ำและเพิ่มคุณภาพของ KM ดังนั้น AI คือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ AI ไม่แทนที่คน แต่ช่วยให้คนสร้างคุณค่าจากความรู้ได้มากกว่าเดิม

ภายในงานยังมีเวิร์กช็อปที่น่าสนใจให้ผู้เข้าร่วมได้ต่อยอดการจัดการความรู้ 3 หัวข้อ ได้แก่ KM Changer (Board Game) - เรียนรู้เครื่องมือและสื่อสาร KM ให้เข้าใจง่าย สนุก และทำได้จริงในองค์กร, ISO 30401 KM Systems - ยกระดับวัฒนธรรมความรู้สู่ "มาตรฐานองค์กร" และ AI for KM - ใช้ AI เพิ่มประสิทธิภาพงาน ลดต้นทุน และสร้างคุณค่าใหม่


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ