กรุงเทพฯ--12 มิ.ย.--IR PLUS
"อนาวิล จิรธรรมศิริ" มั่นใจ Q2/55 ปั๊มผลงานเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อนได้สำเร็จ หลังราคาขาย และวัตถุดิบอยู่ในระดับที่เหมาะสม หนุนส่วนต่างกลับมาอยู่ในระดับเดียวกับปีก่อน ขณะที่ปริมาณการขายมีแนวโน้มสูงกว่าช่วงเดียวกันของปี 2554 เชื่อทั้งปีทำผลงานได้ตามเป้าหมายทั้งปริมาณการขายและรายได้ เหตุตลาดเหล็กแท่งยาวยังขยายตัวต่อเนื่อง ตามความต้องการใช้ในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น
นายอนาวิล จิรธรรมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ CHOW ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล็กแท่งยาว (Steel Billet)รายใหญ่ของประเทศที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับในระดับสากล เปิดเผยถึงแนวโน้มธุรกิจเหล็กแท่งยาวในไตรมาสที่ 2/2555 ว่า มีทิศทางเติบโตอย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสแรกของปี 2555 ทั้งปริมาณการขาย รายได้ และอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการใช้เหล็กแท่งยาวที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น สะท้อนให้คำสั่งซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นไปในทิศทางเดียวกัน ในขณะที่ราคาเศษเหล็กซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตเหล็กแท่งทรงยาวได้ปรับลงสู่ภาวะปกติหลังจากที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นมากตั้งแต่ไตรมาสที่ 4/2554 และไตรมาส 1/2555 ทำให้ช่องว่างระหว่างราคาขายและราคาวัตถุดิบกลับมาเคลื่อนไหวที่ระดับใกล้เคียงกับปีก่อน สนับสนุนให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และช่วงเดียวกันของปีก่อนดังกล่าว
“หลังจากที่เข้าสู่เดือนสุดท้ายของไตรมาสที่ 2/2555 ทำให้เรามั่นใจว่า ผลงานน่าจะออกมาดีกว่าไตรมาสก่อนหน้า เพราะเราขายได้มากขึ้น ทั้งจากกลุ่มลูกค้าเดิม และกลุ่มลูกค้าใหม่ที่หันมาซื้อสินค้าจาก CHOW เพื่อทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศที่สามารถบริหารสินค้าคงคลังได้ง่ายขึ้นเพราะไม่ต้องสั่งซื้อในปริมาณมากๆ และลดผลกระทบจากความผันผวนของค่าเงินซึ่งขณะนี้อยู่ในทิศทางอ่อนค่า ในขณะส่วนต่างระหว่างต้นทุนวัตถุดิบกับราคาขายได้กลับมาอยู่ในระดับที่เหมาะสมใกล้เคียงกับปีก่อนแล้ว ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นจากการขายดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งยังไม่รวมต้นทุนอื่นๆ ที่ลดลงอย่างชัดเจน อาทิ ต้นทุนคงที่ที่ลดลงจากปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้น และต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงมากหลังจากที่ได้เงินจากการขายหุ้น IPO (การขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก) เข้ามาเป็นเงินทุนหมุนเวียน ในขณะเดียวกันธนาคารหลายแห่งยังได้สนับสนุนเงินกู้เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในอัตราพิเศษด้วย ซึ่งจะทำให้ผลประกอบการในไตรมาสที่ 2/2555 มีโอกาสเติบโตอย่างชัดเจน”
นายอนาวิล กล่าวต่อว่า แนวโน้มอุตสาหกรรมเหล็กในปีนี้ว่า ยังเติบโตได้ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมก่อสร้างที่เติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน ซึ่งสะท้อนให้เหล็กแท่งทรงยาวที่เป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตเหล็กรูปพรรณเพื่อใช้ในงานก่อสร้างประเภทต่างๆ ยังเติบโตได้ตามทิศทางดังกล่าว ประกอบกับปัจจุบันประเทศไทยยังขาดแคลนเหล็กชนิดดังกล่าว ต้องพึ่งพาการนำเข้าอยู่ ถึงปีละกว่า 1 ล้านตัน และบริษัทฯ ยังมุ่งเข้าไปทดแทนส่วนแบ่งทางด้านการตลาดของเหล็กนำเข้า จากความได้เปรียบทั้งเรื่องต้นทุนและความรวดเร็วในการขนส่ง การบริหารจัดการที่ง่ายและรวดเร็วกว่า และประการสำคัญปัจจุบันเงินบาทกำลังอยู่ในทิศทางอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินต่างประเทศ โดยเฉพาะสกุลดอลลาร์ จึงมั่นใจว่าจะทำให้ลูกค้าที่เคยนำเข้าเหล็กแท่งยาวจากต่างประเทศ หันมาซื้อในประเทศทดแทนการนำเข้าเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะผลักดันธุรกิจให้เติบโตต่อเนื่องจากปีก่อนได้
“ผมยังยืนยันว่า ทิศทางอุตสาหกรรมเหล็กแท่งยาว หรือ Steel Billet ในปีนี้ขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องจากปีก่อน เนื่องจากตลาดเหล็กแท่งยาวในประเทศไทยยังขาดแคลน ต้องพึ่งพาการนำเข้าอยู่ ถึงปีละกว่า 1 ล้านตัน ขณะที่กำลังการผลิตในประเทศยังไม่เพียงพอ ในขณะที่ความต้องการใช้เหล็กในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนั้นโครงการเมกะโปรเจ็คต่างๆ ของภาครัฐเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยผลักดันให้ความต้องการใช้เหล็กแท่งยาวยังคงเติบโตเพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้น เพื่อรองรับคำสั่งซื้อสินค้าจากลูกค้าที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น บริษัทฯ ได้วางเป้าหมายขยายกำลังการผลิตให้เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 20% จากการผลิต 280,000 - 300,000 ตัน/ปี ในปี 2554 มาเป็นประมาณ 340,000-360,000 ตัน/ปี ในปี 2555 ซึ่งจะสะท้อนให้รายได้เติบโตไปในทิศทางเดียวกันด้วย โดยคาดว่าจะผลักดันให้รายได้เติบโตในอัตรา 20 — 30% จากปีก่อนที่ทำได้ 5,685.22 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่วางไว้ได้” นายอนาวิลกล่าว