“ท้องผูก” ปัจจัยชี้ปัญหาสุขภาพเด็ก

ข่าวทั่วไป Friday December 21, 2012 16:04 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--21 ธ.ค.--โอกิลวี่ พับลิค รีเลชั่นส์ เวิลด์วายด์ ท้องผูก เป็นปัญหาหนึ่งที่มักจะเกิดกับเด็กวัยซนจนแม่บางคนคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา อันที่จริงแล้วการปล่อยให้เด็กท้องผูกเป็นประจำจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายและใจ และยังเป็นปัจจัยบ่งชี้ว่าเด็กกำลังได้รับสารอาหารที่ไม่สมดุลย์ ไม่ครบถ้วนเพียงพอที่จะมีพัฒนาการตามวัย ด้วยเหตุนี้ อาจารย์แววตา เอกชาวนา อาจารย์พิเศษภาควิชาคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน และนักโภชนาการประจำโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้รับเชิญจาก นิวโทรเพล็กซ์ คลับ เวปไซด์ความรู้ด้านสุขภาพและโภชนาการเด็ก มาให้ความรู้กับคุณแม่ยุคใหม่ โดยนำร่องที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ถนนองครักษ์ อาจารย์แววตา เอกชาวนา อาจารย์พิเศษภาควิชาคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน และนักโภชนาการประจำโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า “เด็กวัยอนุบาลถึงประถมต้นเป็นวัยที่มีพัฒนาการรวดเร็วมาก ทั้งด้านร่างกาย สติปัญญา ระบบภูมิต้านทาน และอารมณ์ พ่อแม่ต้องใส่ใจให้มาก ไม่ใช่แค่ให้กินอิ่ม แต่ต้องให้ได้รับสารอาหารจำเป็นครบและสมดุลย์ การที่เด็กมีอาการท้องผูกบ่อยๆ อุจจาระแข็ง ต้องออกแรงเบ่งมาก แสดงว่ากินผักผลไม้น้อย เป็นข้อบ่งชี้ให้เราประเมินเบื้องต้นได้ว่านอกจากจะขาดกากใยแล้ว ยังจะขาดวิตามินและเกลือแร่หลากหลายชนิด ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากในการเสริมสร้างภูมิต้านทานป้องกันโรค และช่วยร่างกายดูดซึมสารอาหารที่จะเป็นต่างๆ สู่ร่างกาย” “อาการท้องผูกเป็นเรื่องที่พ่อแม่จะต้องรีบแก้ไข เพราะนอกจากจะบ่งชี้ปัญหาการได้รับสารอาหารที่ไม่สมดุลย์ต่อการเจริญเติบโตของลูกแล้ว ยังเป็นตัวป่วนสุขภาพกายและสุขภาพจิตของเด็ก เพราะทำให้เด็กอึดอัดท้อง กังวล หงุดหงิด เสียสมาธิในการเรียนและการทำกิจกรรมต่างๆ” อาจารย์แววตากล่าวย้ำ อาจารย์แววตาให้แนวคิดใหม่ในการจัดอาหารให้ได้สารอาหารที่ครบถ้วนและสมดุลย์ว่า “ให้แบ่งจานอาหารเด็กออกเป็น 2 ส่วน ครึ่งหนึ้งเป็นผักผลไม้ที่มีไฟเบอร์มาก ส่วนอีกครึ่งหนึ่งให้เน้นคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน โดยควรให้เด็กได้รับประทานปลานึ่งหรือย่างหรือต้ม สัปดาห์ละประมาณ 3 ฝ่ามือ ของลูกหรือประมาณสัปดาห์ละ 200 กรัม ถ้าเทียบเป็นช้อนก็ประมาณ 10 ช้อนกินข้าว เพราะนอกจากจะมีโปรตีนโมเลกุลเล็กซึ่งย่อยและดูดซึมได้ง่ายแล้ว ยังมีอุดมไปด้วยโอเมก้า 3 ซึ่งส่งเสริมพัฒนาการของสมอง ในเรื่องของผักและผลไม้ เด็กควรจะได้รับหลากหลายชนิดเพราะแต่ละชนิดมีวิตามินเกลือแร่ที่แตกต่างกัน และมีประโยชน์ต่อร่างกายในด้านต่างๆ กัน เช่น วิตามินดี ช่วยร่างการดูดซึมแคลเซี่ยมจากนม วิตามินเอช่วยเรื่องสายตา และยังมีงานวิจัยระบุว่าช่วยป้องกันโรคมะเร็งบางชนิดเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ไลโคปีน(Lycopene)สารประกอบในกลุ่มแคโรทีนนอยด์ ที่มีมากในมะเขือเทศ โดยเฉพาะมะเขือเทศที่ปรุงสุกแล้วจะช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งอื่นๆอีกด้วย โดยควรกินเป็นประจำตั้งแต่เด็ก “สำหรับเด็กที่ไม่ชอบกินผัก และผลไม้ คุณแม่ควรค่อยๆ เริ่มเลือกผัก ผลไม้สัก 1-2 ชนิดที่เด็กพอกินได้มาสร้างให้เป็นฮีโร่ในดวงใจเด็กก่อน โดยอาจใช้เทคนิคในการเล่านิทาน ให้เด็กเกิดความผูกพัน อยากกินผักผลไม้ชนิดนั้นเป็นประจำ จากนั้นจึงจะค่อยๆ แนะนำผักผลไม้ชนิดอื่นๆเข้ามาเป็นตัวละครเสริม สำหรับผักเหลืองหรือผักใบเขียวมีกลิ่นแรง ให้เอามาต้มกับเนื้อสัตว์ที่เด็กชอบจะช่วยลดปัญหาเรื่องรสชาติและกลิ่นไปได้ การปลูกฝังเรื่องผักผลไม้ ต้องใช้เวลาและความอดทน โดยในระหว่างนั้นคุณแม่อาจหาตัวช่วยเป็นอาหารเสริมสำหรับเด็ก โดยควรเลือกอาหารเสริมที่มีสารอาหารที่จำเป็นครบทุกชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรจะมีโปรตีนชนิดโมเลกุลเล็ก ย่อยและดูดซึมง่าย และมีโอลิโกฟรุกโตสซึ่งมีคุณสมบัติเป็นพรีไบโอติกที่ช่วยสร้างสมดุลในระบบย่อยอาหาร มีผลต่อการสร้างภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ และลดปัญหาด้านการขับถ่าย” อาจารย์แววตากล่าว “อีกเรื่องที่อยากฝากไว้คือ ห้องน้ำ เด็กมักจะอั้นอุจาระปัสสาวะเมื่อเจอห้องน้ำสกปรก หากทางบ้านและโรงเรียนควรใส่ใจดูแลห้องน้ำให้สะอาดเสมอ จะเป็นการช่วยลดปัญหาท้องผูกจากการอั้นเป็นเวลานานได้ ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สิ่งนี้ส่งผลต่อการสร้างอุปนิสัยการขับถ่ายและสุขภาพอนามัยที่ดีของเด็กไปจนโต” อาจารย์แววตากล่าวปิดท้าย

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ