กรุงเทพฯ--18 พ.ย.--วช. เมล็ดพันธุ์พืชสามารถเพิ่มผลผลิตต่อไรให้เกษตรกรสูงขึ้น แม้ว่าประเทศไทยจะสามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ได้หลายชนิดก็ตาม แต่คุณภาพยังไม่ดีมากพอ ประกอบกับต้นทุนสูงจึงต้องนำเข้าเมล็ดพันธุ์จากต่างประเทศ โดยมีเมล็ดพันธุ์ที่นำเข้าสูงสุดได้แก่ เมล็ดพันธุ์ผักชี รองลงมาคือ ผักกวางตุ้ง คะน้า ผักกาดหัว ถั่วลันเตา ผักกาดขาว ผักกาดเขียว และกะหล่ำปลี โดยมี 60 บริษัท เป็นผู้นำเข้าเมล็ดพันธุ์ อย่างไรก็ดีการนำเข้าเมล็ดพันธุ์จะต้องให้ความสำคัญกับความบริสุทธิ์ทางกายภาพ ความงอก ความแข็งแรง ความชื้นในเมล็ด ปราศจากโรคและแมลงและตรงตามพันธุ์ ด้วยเหตุนี้สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ได้ให้ทุนอุดหนุนการวิจัยแก่ นางสุเทวี ศุขปราการ และคณะ จากภาควิชาพืชสวน คณะเกษตร และศูนย์วิจัยพืชผักเขตร้อน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทำการวิจัย เรื่อง “โครงการพัฒนาห้องปฏิบัติการตรวจสอบคุณภาพเมล็ดพันธุ์ให้เป็นมาตรฐานสากลภายใต้การสนับสนุนของสภาวิจัยแห่งชาติ” โดยต้องการวิจัยและพัฒนาวิธีการทดสอบคุณภาพเมล็ดพันธุ์พืชที่สะดวกและรวดเร็ว เพื่อพัฒนาห้องปฏิบัติการการทดสอบคุณภาพเมล็ดพันธุ์พืชให้มีศักยภาพในด้านการทดสอบความบริสุทธิ์ของสายพันธุ์และทดสอบโรคที่ติดมากับเมล็ดพันธุ์ที่แม่นยำ ถูกต้อง ผลการวิจัยพบว่า การใช้เครื่องเป่าเมล็ดพันธุ์ชนิด South Dakota รุ่น 757 มาใช้ทดสอบความบริสุทธิ์ของเมล็ดพันธุ์พริกได้ผลดี ซึ่งเครื่องดังกล่าวสามารถแยกสิ่งเจือปนออกจากเมล็ดพันธุ์พริกได้อย่างสมบูรณ์ มีการสูญเสียความบริสุทธิ์ของเมล็ดพันธุ์น้อยที่สุด นอกจากนี้ การทดสอบความชื้นของเมล็ดพันธุ์บวบ ฟักทอง มะระ ผักบุ้ง กระเจี๊ยบเขียว ถั่วฟักยาว มะเขือเทศ พริก และกระเพราด้วยวิธี constant temperature oven method มาใช้ก็จะทดสอบความถูกต้องได้ดี แต่ทั้งนี้ บวบ เมล็ดพันธุ์พริก ควรใช้อุณหภูมิ 103 องศาเซนเซียส ใช้เวลา 6 ชั่วโมงก็จะทดสอบความถูกต้องได้ดีที่สุด ส่วนเมล็ดพันธุ์อื่น ๆ ดังกล่าวข้างต้นควรทดสอบที่อุณหภูมิ 130 องศาเซนเซียส ใช้เวลา 11 ชั่วโมง จึงจะได้ค่าความชื้นของเมล็ดพันธุ์ที่ถูกต้อง ส่วนการตรวจสอบโรคที่มากับเมล็ดพันธุ์ผักโดยใช้วิธีการ blotter method สามารถตรวจสอบเชื้อราที่ติดมากับเมล็ดและที่เข้าทำลายอยู่ในเนื้อเมล็ดได้ดี ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ในการพัฒนา การใช้ประโยชน์ห้องปฏิบัติการเมล็ดพันธุ์ สำหรับการตรวจสอบคุณภาพเมล็ดพันธุ์ให้เป็นมาตรฐานสากล--จบ--