กรุงเทพฯ--24 พ.ย.--วช.          จังหวัดลำพูนและเชียงใหม่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพื้นที่ปลูกลำไยมากที่สุดในประเทศไทย  นับว่าเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของภาคเหนือ  แต่กระนั้นก็ตามในการผลิตและการจำหน่ายผลิตผลของเกษตรกรมักจะเกิดปัญหาคล้ายคลึงกันทุก ๆ ปี  คือ  ปัญหาด้านการผลิต  ปัญหาด้านคุณภาพ  เงินลงทุน  ด้านการตลาด  และการบริหารจัดการของกลุ่มผู้ผลิตลำไย  ด้วยเหตุนี้สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ  (วช.)  จึงให้ทุนอุดหนุนการวิจัยแก่  นางสาวสุทธินี  สุริยกุล  ณ  อยุธยา  นักวิจัยอิสระ  และคณะ  ทำการวิจัยเรื่อง  “การพัฒนากลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกลำไยเพื่อการส่งออกในเขตจังหวัดลำพูนและจังหวัดเชียงใหม่”  เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการบริหารจัดการของกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกลำไยให้สามารถผลิต  เก็บเกี่ยว  รวบรวม  แปรรูปและจัดการด้านการตลาดเพื่อการส่งออกอย่างมีระบบและมีประสิทธิภาพ  โดยศึกษาถึงแนวคิด  ทัศนคติ  ความเห็นของผู้บริหารกลุ่มเกษตรกรที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการกลุ่ม  กิจกรรมทางด้านการสร้างรายได้  การส่งเสริมสมาชิกและการสร้างผลผลิตที่มีคุณภาพของกลุ่ม  เป็นต้น          ผลการวิจัยพบว่า  ในช่วง 2 — 3 ปีที่ผ่านมานโยบายของรัฐบาลจะเป็นตัวกำหนดทิศทางการตลาด  การจำหน่าย  ผลผลิตของเกษตรกรผู้ปลูกลำไย  อีกทั้งการถูกแทรกแซงจากกลไกการตลาดก็จะทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนในการกำหนดทิศทางการตลาด  ซึ่งเกษตรกรคาดหวังจากโครงการรับจำนำลำไยจากรัฐจนทำให้เกิดปัญหาตามมา  เช่น  ขาดการวิเคราะห์ความเสี่ยงอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน  ประกอบกับการมุ่งหวังแต่ตลาดลำไยอบแห้งเพียงด้านเดียว  ทำให้วงจรตลาดลำไยสดลดลงและการที่ผลผลิตลำไยอบแห้งมีปริมาณมากกว่า  50,000  ตัน  ที่สะสมจากโครงการรับจำนำลำไยเมื่อปี  2544/45 — 2545/46  ได้ส่งผลกระทบต่อระดับราคาของผลิตผลที่จะออกใหม่ในปีต่อไปด้วย  ดังนั้นการที่โครงการวิจัยนี้ได้มีการพัฒนาทักษะด้านต่าง ๆ  เช่น  ทักษะด้านการผลิต  ทักษะด้านการเก็บรักษา  ทักษะการแปรรูป  ทักษะด้านการตลาด  การสร้างเครือข่ายกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกลำไยให้กับเกษตรกรและกลุ่มเกษตรกรซึ่งผลดังกล่าวทำให้มีพัฒนาการในทุก ๆ ด้านระดับดีมาก          ผู้วิจัยได้สรุปและแนะนำว่า  ควรมีการกำหนดขอบเขตพื้นที่ในการปลูกลำไยเพื่อการส่งออกและแปรรูปอย่างชัดเจน  ควบคู่กับการพัฒนาด้านการตลาด  อีกทั้งพัฒนาการแปรรูปผลผลิต  เพื่อลดอัตราเสี่ยงที่หวังพึ่งตลาดเพียงอย่างเดียว  รวมทั้งควรจัดตั้งสถาบันการพัฒนาเกษตรกรผู้ปลูกลำไยโดยตรงเพื่อเป็นสถาบันที่รวบรวมองค์กรต่าง ๆ  ที่ทำงานเกี่ยวกับการพัฒนาลำไย  และภาครัฐควรจัดหาตลาดกลางเพื่อรับซื้อผลผลิตเองโดยรัฐดำเนินการหรือให้องค์กรภาคเอกชนทำโดยรัฐเป็นผู้กำกับดูแลและในระยะต่อไปอาจจะพัฒนาถ่ายโอนให้กับเกษตรกรเข้ามาบริหารจัดการเอง--จบ--