กรุงเทพฯ--12 มี.ค.--บลจ.กรุงไทย
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทเปิดจำหน่าย 2 กองทุนตราสารหนี้ ประกอบด้วย กองทุนเปิดกรุงไทยธนทรัพย์ บี 76 (KTSUPB76 ) เสนอขายตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 19 มีนาคม 2556 อายุโครงการ 6 เดือน มูลค่า 7,000 ล้านบาท เงินลงทุนขั้นต่ำ 10,000 บาท เน้นลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ ได้แก่ เงินฝากประจำ Union National Bank เงินฝากประจำ The Commercial Bank of Qatar ECP ค้ำประกันโดย SBER Bank และ MTN ออกโดย Banco BTG Pactual S.A. ในสัดส่วน72% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่วนที่เหลือลงทุนในหุ้นกู้ ตั๋วแลกเงิน สถาบันการเงิน /บริษัทเอกชนในประเทศ ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 3.00% ต่อปี
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ในระหว่างการเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทยสมาร์ท อินเวส 3 เดือน 3 (KTSIV3M3 ) ประเภท Roll Over เสนอขายถึงวันที่ 15 มีนาคม 2556 อายุโครงการ 3 เดือน เน้นลงทุนในเงินฝาก / บัตรเงินฝาก /ตั๋วแลกเงิน ธนาคารออมสิน ธนาคาร RHB และธนาคาร TBANK ในสัดส่วน 53% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่วนที่เหลือลงทุนในตั๋วแลกเงินของภาคเอกชน ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 2.75%ต่อปี
สำหรับภาวะการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ ตราสารระยะกลางถึงยาวปรับเพิ่มขึ้น 1-2 basis points ขณะที่ตราสารระยะสั้นรุ่นไม่เกิน 1 ปี ปรับลดลง -1 basis points เนื่องจากนักลงทุนต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้น ส่วนตลาดตราสารหนี้ในสหรัฐอเมริกา ปรับเพิ่มขึ้นหลังประกาศตัวเลขเศรษฐกิจที่มีทิศทางฟื้นตัวต่อเนื่อง แม้ว่าแผนการปรับลดงบประมาณรายจ่ายอัตโนมัติจะเริ่มมีผลบังคับใช้หลังวันที่ 1 มีนาคม ที่ผ่านมา แต่ตลาดการเงินค่อนข้างจะให้น้ำหนักน้อยกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ โดยส่วนหนึ่งความเชื่อว่าการฟื้นตัวของภาคธุรกิจ ตลาดแรงงาน และตลาดอสังหาริมทรัพย์จะช่วยชดเชยผลกระทบจากการหดตัวของภาครัฐ นอกจากนี้ ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ประเทศเศรษฐกิจสำคัญทั่วโลก รวมถึงประเทศในกลุ่มประชาคมยุโรปได้ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับเดิม สืบเนื่องจากสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
ส่วนตลาดอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลล่าร์สหรัฐฯ ค่อนข้างจะมีเสถียรภาพในช่วง 29.70 — 29.80 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐฯ แม้ที่ผ่านมา ค่าเงินดอลล่าร์ฯ ปรับตัวแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักของประเทศอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้ามีแนวโน้มอ่อนค่าจากความต้องการซื้อดอลล่าร์ฯ ในอนาคตเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ค่าดอลล่าร์พรีเมี่ยมระหว่างสกุลบาทและดอลล่าร์สหรัฐฯ ปรับตัวกว้างขึ้น และเป็นผลดีต่อการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ เนื่องจากทำให้ได้รับอัตราผลตอบแทนเพิ่มขึ้นเมื่อแปลงกลับเป็นสกุลเงินบาท จึงนับว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการลงทุนเพื่อล็อคผลตอบแทนในกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ ในช่วงเวลานี้