HBIRM เร่งพัฒนาศักยภาพตั้งเป้าเป็นเบอร์ 1 ในธุรกิจบริหารอาคารและชุมชน เผยตลาดแข่งขันสูงเตือนนักบริหารต้องพัฒนาทุกด้านรับมือนักลงทุนต่างชาติ

ข่าวทั่วไป Tuesday June 18, 2013 16:45 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--18 มิ.ย.--พีอาร์ บูม เอช บี อินเตอร์ เรียลตี้ แมเนจเม้นท์ (HBIRM) กำหนดยุทธศาสตร์ธุรกิจตั้งเป้าอีก 5 ปีข้างหน้าก้าวขึ้นสู่เบอร์ 1 ของธุรกิจบริหารอาคารและชุมชน มั่นใจนักลงทุนต่างชาติมุ่งพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในไทยเพิ่มและต้องการใช้บริหารอาคารชาวไทย เพราะต้นทุนถูกกว่ามาเลเซียและสิงคโปร์กว่าเท่าตัว เร่งพัฒนาศักยภาพพร้อมก้าวสู่ตลาดอาเซียนทั้งในเวียดนาม พม่า และกัมพูชา นายธนันทร์เอก หวานฉ่ำ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอช บี อินเตอร์ เรียลตี้ แมเนจเม้นท์ จำกัด (HBIRM) และอดีตนายกสมาคมบริหารทรัพย์สินแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงการแข่งขันของตลาดบริหารอาคารและชุมชนว่า มีแนวโน้มจะแข่งขันกันรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังจากเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ซึ่งคาดว่าจะมีกลุ่มทุนจากต่างชาติทั้งในอาเซียนและภูมิภาคอื่น ๆ เข้ามาลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น แม้ว่าจะเป็นโอกาสที่ดีของธุรกิจบริหารอาคารและชุมชนที่ตลาดจะใหญ่ขึ้น แต่ก็ต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับการแข่งขันของตลาด โดยในส่วนของ HBIRM ได้กำหนดยุทธศาสตร์การบริหารธุรกิจไว้ล่วงหน้าถึง 10 ปี และเน้นการให้บริการลูกค้าที่สามารถวัดผลได้ เพราะที่ผ่านมาการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าแบบเดิมอาจไม่เพียงพออีกต่อไป จึงต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาผู้บริหารระดับต้นเพื่อกำหนดวิสัยทัศน์ในการทำงานและก้าวไปสู่เป้าหมายที่ได้ตั้งไว้อย่างมีศักยภาพ ที่สำคัญจะต้องมีความพร้อมในการแข่งขันกับตลาดทั้งในและต่างประเทศ “HBIRM ได้กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาธุรกิจว่าภายใน 5 ปีข้างหน้าว่าจะเป็นเบอร์ 1 ของธุรกิจบริหารและจัดการอาคาร-ชุมชนในประเทศไทย และภายใน 10 ปีต้องการก้าวไปสู่ตลาดในภูมิภาคอาเซียน ทั้งเวียดนาม พม่า กัมพูชา ลาวฯลฯ ซึ่งในอนาคตจะมีการพัฒนาอาคารสูงเพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจ ดังนั้น คาดว่านักลงทุนในประเทศเหล่านี้จะความต้องการมืออาชีพเข้าไปบริหารอาคารและชุมชนมากขึ้น รวมทั้งประเทศอื่น ๆ ในอาเซียนที่เชื่อว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะมีการเติบโตและมีความต้องการใช้บริการธุรกิจนี้เข้าไปทำหน้าที่บริหารหลังการขายมากขึ้น” นายธนันทร์เอกกล่าว และเปิดเผยเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมามีกลุ่มนักลงทุนจากจีน ฮ่องกง มาเลเซีย สิงคโปร์ รวมทั้ง ญี่ปุ่น เกาหลี และออสเตรเลีย เข้ามาลงทุน เนื่องจากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศเหล่านั้นมีต้นทุนสูงกว่าประเทศไทย ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่ธุรกิจบริหารและจัดการอาคาร-ชุมชนจะต้องพัฒนาตัวเองให้มีความพร้อมในทุกด้านเพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนดังกล่าว นอกจากนี้แล้ว หลังจากเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนคาดว่าจะมีนักลงทุนและนักท่องเที่ยวเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย และเป็นไปได้ว่าในอนาคตจะมีการลงทุนด้านเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ คอนโดมิเนียมและที่อยู่อาศัยประเภทต่าง ๆ สูงขึ้น และมั่นใจได้ว่านักลงทุนต่างชาติจะหันมาใช้บริการนักบริหารชุมชนชาวไทย เพราะเมื่อเปรียบเทียบค่าบริการด้านการบริหารและจัดการชุมชม-อาคารในมาเลเซียและสิงคโปร์ พบว่ามีค่าใช้จ่ายแพงกว่าประเทศไทยกว่า 1 เท่าตัวหรือร้อยละ จึงเป็นโอกาสของธุรกิจไทยที่สามารถแข่งขันกับตลาดต่างชาติเนื่องจากราคาถูกกว่าในขณะที่ขีดความสามารถด้านการทำงานนั้นไม่ต่างกัน นายธนันทร์เอกกล่าว ในอนาคตเชื่อว่าตลาดจะมีคู่แข่งรายใหม่ ๆ เกิดขึ้นจำนวนมาก การสร้างความพึงพอใจสูงสุดและการพัฒนาขีดความสามารถในการสื่อสารกับชาวต่างชาติจะไม่เพียงพออีกต่อไป แต่นักบริหารชุมชนต้องเรียนรู้และเข้าใจความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม เนื่องจากพฤติกรรมและความต้องการของผู้อยู่อาศัยในอาคารและชุมชนนั้นมีความหลากหลายและแตกต่างกัน ดังนั้น คนทำงานจำเป็นต้องเรียนรู้พฤติกรรมและต้องปรับแนวคิดเพื่อให้เข้ากับลูกค้าในแต่ละกลุ่มได้ ทั้งยังต้องเป็นผู้นำในด้านการบริหารและจัดการ เพื่อสร้างความเข้าใจว่าการอยู่อาศัยในชุมชนต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยอะไรและอยู่อย่างไรถึงจะมีความสุข ทั้งนี้ ความต้องการของผู้ที่อยู่อาศัยในชุมชนนั้นส่วนใหญ่ต้องการความปลอดภัย ซึ่งเป็นพื้นฐานของการอยู่อาศัยปัจจุบันนอกจากพนักงานรักษาความปลอดภัยแล้วจำเป็นต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย เช่น คีย์การ์ดเข้าออกอาคาร กล้องวงจรปิด ดังนั้น นักบริหารอาคารจะต้องเรียนรู้เรื่องความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัย รวมทั้งกฎหมายที่บังคับให้มีการซ้อมหนีไฟ หรืออพยพคนเมื่อเกิดเพลิงไหม้ปีละ 1 ครั้ง นอกจากนี้แล้วยังให้ความสำคัญเรื่องความสะอาด เพราะผู้อยู่อาศัยในอาคารได้ให้ความสำคัญต่อสุขภาพอนามัยมากขึ้น จึงต้องหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีในการทำความสะอาด เนื่องจากสารเหล่านี้จะเป็นตัวทำลายวัสดุ ทำลายจุลินทรีย์และแบคทีเรียที่ทำหน้าที่ต่อต้านเชื้อโรค เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว HBIRM จึงต้องบำบัดน้ำเสียโดยใช้สาร EM สกัดจากธรรมชาติ และหลีกเลี่ยงสารเคมีเข้ามาใช้ทำความสะอาดในโครงการ ซึ่งจะส่งผลถึงความปลอดภัยให้กับพนักงานและผู้อยู่อาศัย นอกจากเรื่องความปลอดภัยและความสะอาดแล้ว ผู้อยู่อาศัยในอาคารยังต้องการความสวยงามและทัศนียภาพที่ดี ดังนั้น นักบริหารอาคารจะต้องให้ความสำคัญกับการรักษาระบบสาธารณูปโภคให้อยู่ในสภาพดี เพื่อเป็นการสร้างมูลค่าให้กับอาคาร ทั้งนี้ ระบบสาธารณูปโภคและอุปกรณ์ต่าง ๆ จะต้องพร้อมใช้งานตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นลิฟท์โดยสาร ระบบไฟฟ้า รวมทั้งระบบรักษาความปลอดภัยต่าง ๆ ซึ่งจะต้องบำรุงและดูแลให้สามารถใช้งานได้เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน รวมทั้งระบบต่างๆ ในอาคารเก่า นักบริหารอาคารจะต้องวางแผนหางบประมาณสำหรับซ่อมแซม หรือเปลี่ยนใหม่ เพราะวัสดุบางประเภทมีอายุการใช้งานจำกัด จึงต้องระมัดระวังเพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาในการอยู่อาศัย

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ