ทีเอ็มบีมีกำไรจากการดำเนินงานแข็งแกร่งต่อเนื่องในปี 2556 กำไรจากการดำเนินงานก่อนสำรองเพิ่มถึง 39% เป็น 14,409 ล้านบาท กำไรสุทธิมีจำนวน 5,737 ล้านบาท

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday January 16, 2014 14:38 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--16 ม.ค.--ทีเอ็มบี ทีเอ็มบี หรือ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) แจ้งผลประกอบการงวดปี 2556 โดยธนาคารและบริษัทย่อยมีผลกำไรจากการดำเนินงานหลักก่อนสำรองจำนวน 14,409 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 39% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิ 5,737 ล้านบาท ขณะที่สัดส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL Ratio) ได้ลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 4.10% เหลือ 3.87% แต่เพื่อรองรับภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน ธนาคารได้ตั้งสำรองเพิ่มขึ้นเป็นพิเศษทำให้สำรองทั้งปีมีจำนวนทั้งสิ้น 7,613 ล้านบาท ส่งผลให้สัดส่วนสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) เพิ่มจาก 113% เป็น 140% นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบี กล่าวว่า “ผลิตภัณฑ์และบริการธุรกรรมทางการเงิน (Transactional Banking) ที่มีประสิทธิภาพเพื่อประโยชน์ของลูกค้า ได้รับการตอบรับที่ดี มีลูกค้าให้ความสนใจใช้บริการอย่างต่อเนื่องและมีการใช้ผลิตภัณฑ์ของธนาคารที่หลากหลายเพิ่มขึ้น โดยในส่วนของเงินฝาก ธนาคารประสบความสำเร็จในการเพิ่มฐานลูกค้าเงินฝากรายย่อย ทำให้เงินฝากเติบโตประมาณ 33,500 ล้านบาทหรือ 7% จากสิ้นปีก่อนหน้า และฐานเงินฝากของลูกค้ารายย่อยเพิ่มขึ้นเป็น 69% ซึ่งการเติบโตนี้ทำให้ธนาคารมีฐานเงินฝากที่มั่นคงยิ่งขึ้น และในส่วนของสินเชื่อ ธนาคารสามารถขยายสินเชื่อได้ประมาณ 46,800 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 10% จากปีก่อนหน้า โดยเป็นผลจากการขยายตัวของทั้งสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ ขนาดกลางและขนาดเล็ก ทั้งนี้ เงินให้สินเชื่อธุรกิจขนาดเล็กมีอัตราการขยายตัวมากที่สุด ทำให้ผลตอบแทนของสินเชื่อรวมดีขึ้น ซึ่งเมื่อประกอบกับการบริหารต้นทุนทางการเงินที่ดี ทำให้ส่วนต่างดอกเบี้ยรับ (Net Interest Margin: NIM) เพิ่มขึ้น เป็น 3.12% จาก 2.73% ในปีก่อนหน้า ส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 22% ในขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิเพิ่มขึ้น 19% ทำให้ธนาคารมีรายได้จากการดำเนินงานรวมเพิ่มขึ้นทั้งสิ้น 18% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว “เนื่องจากการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น จากการนำ LEAN Six Sigma มาใช้ในธนาคาร ทำให้ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเพียง 9% ส่งผลให้ธนาคารมีผลกำไรจากการดำเนินงานหลักก่อนสำรองเพิ่มขึ้น 39% และอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ปรับตัวดียิ่งขึ้น โดยลดลงเหลือ 51% จาก 57% ในปีก่อนหน้า” ในปี 2556 คุณภาพสินเชื่อของธนาคารปรับตัวดีขึ้นโดยต่อเนื่อง สินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) มีจำนวนค่อนข้างคงที่เทียบกับเมื่อสิ้นปีที่แล้ว โดยที่สัดส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL Ratio) ลดลงมาอยู่ที่ 3.58% สำหรับงบเฉพาะธนาคารและ 3.87% สำหรับงบการเงินรวม อย่างไรก็ตามธนาคารได้ตั้งสำรองพิเศษเพิ่มขึ้นในปีที่ผ่านมา โดยนอกเหนือจากสำรองของธุรกิจปกติสุทธิ 2,670 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 ธนาคารได้ตั้งสำรองพิเศษเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากวัฎจักรเศรษฐกิจ (Countercyclical Cushion) จำนวน 4,143 ล้านบาทและไตรมาส 4 ธนาคารได้เพิ่มเติมสำรองทั่วไปอีก 800 ล้านบาทเพื่อรองรับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ทำให้สำรองของทั้งปีมีความแข็งแกร่ง ส่งผลให้สัดส่วนสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) ของธนาคารและบริษัทย่อย ณ สิ้นปี 2556 เพิ่มขึ้นเป็น 140% จาก 113% ณ สิ้นปีก่อนหน้า นอกจากนี้ธนาคารยังคงดำรงสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง มีระดับความเพียงพอของเงินกองทุน (CAR) ภายใต้เกณฑ์ Basel III อยู่ที่ 15.9% โดยเป็นกองทุนชั้นที่ 1 (Tier 1) ในสัดส่วน 10.6 % ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งกำหนดไว้ที่ 8.5% และ 6% ตามลำดับ นายบุญทักษ์ กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า “จากผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการรักษาคุณภาพสินเชื่อและมีสัดส่วนสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ในระดับสูง พร้อมกับการรักษาสภาพคล่องและดำรงเงินกองทุนที่ระดับสูง ทำให้ในเดือน พฤศจิกายนที่ผ่านมา สถาบันการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ S&P เพิ่มระดับอันดับเครดิตของธนาคารจาก BB+ เป็น BBB-แนวโน้มมีเสถียรภาพ”

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ