รู้จักอาหารฟังก์ชั่นกับการส่งเสริมสุขภาพคนทำงาน ส่งเสริมสุขภาพคนทำงานกับอาหารฟังก์ชั่น

ข่าวทั่วไป Wednesday January 22, 2014 10:15 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--22 ม.ค.--คอมมูนิเคชั่น แอนด์ มอร์ “จงใช้อาหารเป็นยาในการรักษาโรค” ฮิปโปเครติส บิดาทางการแพทย์ของชาวกรีกได้บัญญัติไว้ในการรักษาเมื่อประมาณ 2,500 ปีมาแล้ว ซึ่งกลายมาเป็นปรัชญาในการรักษาโรคยุคต่อๆ มา และได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อ.ศัลยา คงสมบูรณ์เวช นักกำหนดอาหารขึ้นทะเบียนวิชาชีพประเทศสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า ในปัจจุบันผู้คนมีความสนใจโดยเฉพาะต่ออาหารหรือองค์ประกอบของอาหาร ที่มีผลต่อการทำงานของร่างกายในการส่งเสริมสุขภาพ เมื่อความรู้ทางด้านอาหารและโภชนาการมีความก้าวหน้ามากขึ้น ทำให้เกิดความชัดเจนในเรื่องคุณสมบัติของอาหารบางชนิดที่มีผลต่อการทำงานของร่างกายคล้ายยา ซึ่งอาหารทุกชนิดที่เรารับประทานกันทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่มาจากพืชหรือ สัตว์ต่างก็มีองค์ประกอบที่มีผลต่อการทำงานของร่างกายในระดับต่างๆกันในบทบาทของอาหารฟังก์ชั่น และส่งผลต่อสุขภาพของคนเราทั้งสิ้น อาหารเป็นสิ่งจำเป็นต่อการทำงานของร่างกายในการให้ พลังงาน และสารอาหารที่จำเป็นในการดำรงชีวิต แต่ปัจจุบันมีหลักฐานเพิ่มเติมที่พบว่าองค์ประกอบของอาหารบางชนิดไม่จัดเป็นสารอาหารแต่อาจให้ประโยชน์ที่ดีต่อสุขภาพ ดังนั้น องค์ประกอบหลักในอาหารจึงแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วนคือ ส่วนที่เป็นสารอาหาร (nutrients) และส่วนที่ไม่ใช่สารอาหาร (non-nutritive) องค์ประกอบทั้งสองส่วนมีความสัมพันธ์ต่อการป้องกัน หรือ ช่วยส่งเสริมการรักษาโรคเรื้อรัง เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และโรคกระดูกพรุน เป็นต้น ดังนั้นเมื่อพูดถึงอาหารเราไม่ได้หมายถึงองค์ประกอบในรูปสารอาหารขนาดใหญ่ ( macronutrient) และสารอาหารขนาดจิ๋ว (micronutrient) เท่านั้น แต่เราจะมองถึงองค์ประกอบที่มีฤทธิ์ต่อสรีรวิทยาหรือสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ (Bioactive compound) และให้ผลในการลดหรือป้องกันโรค จากการสำรวจพบว่า ผู้บริโภคพอใจที่จะใช้คำว่า อาหารฟังก์ชั่น (Functional foods) แทนคำว่าอาหารเสริมซึ่งเรียกกันในรูปต่างๆ เช่น นิวตราซูติคอลส์(Neutraceuticals) ดีไซเนอร์ฟูด (Designer foods) อาหารทางการแพทย์ (Medical foods) อาหารเสริม (Dietary supplement) และอาหารหรือผลิตภัณฑ์อาหารที่ใช้เพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะสำหรับสุขภาพ (Food for specific health use) เป็นต้น ในสหรัฐอเมริกาผู้บริโภคใช้จ่ายกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นเงินถึงหมื่นล้านเหรียญสหรัฐต่อปี ชาวอเมริกันมองอาหารฟังก์ชั่นเป็นทางเลือกหนึ่งในการดูแลรักษาสุขภาพที่มีประสิทธิภาพ และตลาดอาหารประเภทนี้ยังคงเติบโตและดำเนินต่อไปในประเทศสหรัฐอเมริกา แม้แต่ในประเทศเอเชียเองก็พบว่าผู้บริโภคให้ความสนใจและยอมรับไม่แพ้ผู้บริโภคในประเทศตะวันตก สำหรับแนวทางการพัฒนาอาหารฟังก์ชั่น ก็มาจากแนวคิดของการใช้อาหารเป็นยา (Food as medicine) นั่นเอง ในอดีตอาหารเป็นสิ่งที่ใช้รักษาโรคขาดสารอาหาร แต่ปัจจุบันเป็นที่เข้าใจว่าอาหารฟังก์ชั่นเป็นอาหารสุขภาพ ที่อาจให้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่าแค่สารอาหารหลักๆ ที่มีอยู่ เช่น คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน วิตามินและเกลือแร่ เท่านั้น แต่อาหารฟังก์ชั่นจะหมายความว่า อาหารนั้นมีคุณค่าต่อสุขภาพนอกเหนือจากคุณค่าจากสารอาหารปกติที่มีในอาหารที่บริโภคในชีวิตประจำวัน รวมทั้งช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคบางชนิดให้แก่ผู้ที่บริโภคอาหารนั้นๆ ปัจจุบันสมาคมนักกำหนดอาหารแห่งสหรัฐอเมริกา (Academy of Nutrition and Dietetics หรือ AND) ได้ให้คำจำกัดความอาหารฟังก์ชั่นเป็น “อาหารธรรมชาติที่มีการแต่งเติมสารอาหารให้มีปริมาณมากขึ้นเพื่อเพิ่มประโยชน์ในการส่งเสริมสุขภาพ เมื่อบริโภคเป็นส่วนหนึ่งของอาหารหลากหลายสม่ำเสมอในชีวิตประจำวันและบริโภคในปริมาณที่เพียงพอที่จะส่งผลดีต่อสุขภาพ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เอกราช บำรุงพืชน์ ประธานวิชาการ ชมรมโภชนวิทยามหิดล ให้ข้อมูลว่า จากกระแสอาหารเพื่อสุขภาพนี้เองส่งผลให้นักโภชนาการ นักกำหนดอาหาร นักวิทยาศาสตร์การอาหาร แพทย์ เภสัชกร พยาบาล และนักการตลาดทางด้านอุตสาหกรรมอาหาร หันมาทำการค้นคว้าวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร ทำให้เกิดการค้นพบคุณประโยชน์และสรรพคุณทางยาของอาหารมากขึ้น กอปรกับความต้องการของผู้บริโภคในเรื่องความสะดวกและรวดเร็วในการนำไปใช้ โดยให้คงคุณค่ารวมถึงคุณสมบัติในการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันและบำบัดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆไว้เหมือนเดิมที่มีในธรรมชาติด้วย หนึ่งในอาหารเพื่อสุขภาพที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันคือ อาหารฟังก์ชั่น (Functional food) ซึ่งหมายถึง อาหารหรือสารอาหารชนิดใดๆที่อยู่ในรูปธรรมชาติหรือที่ถูกแปรรูปไปเพื่อให้ประโยชน์ต่อสุขภาพนอกเหนือจากประโยชน์ที่ได้รับจากสารอาหารที่รับประทานกันในชีวิตประจำวัน ประโยชน์ของอาหารฟังก์ชั่นคือ เป็นอาหารที่รับประทานร่วมกับมื้ออาหารได้ ไม่ใช่รับประทานในรูปของยา ซึ่งให้ผลต่อระบบการทำงานของร่างกายในการป้องกันโรค เพิ่มภูมิคุ้มกัน ชะลอความเสื่อมของเซลล์ในอวัยวะต่างๆของร่างกายและส่งเสริมสุขภาพ สำหรับอาหารที่ถูกปรับเปลี่ยนไป รวมทั้งอาหารที่ถูกเสริมด้วยสารพฤกษเคมี หรือสมุนไพร เพื่อเพิ่มคุณค่าและคุณประโยชน์ให้กับอาหาร ก็ถูกจัดอยู่ในประเภทอาหารฟังก์ชั่นด้วยเช่นกัน อาหารที่จัดว่าเป็นอาหารฟังก์ชั่นมีหลากหลายประเภทด้วยกัน เช่น ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ อย่าง บิลเบอร์รี่ ที่มีสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ คือ สารแอนโธไซยานิน ซึ่งเป็นสารที่มีสีแดงม่วงจนไปถึงน้ำเงิน มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด ช่วยป้องกันดวงตาจากการทำลายของอนุมูลอิสระ ป้องกันอาการอ่อนล้าของตา และปกป้องเลนส์แก้วตาถูกทำลาย หรือขุ่นมัว อันเป็นสาเหตุของการเกิดโรคต้อกระจก และจอประสาทตาเสื่อม รวมถึงช่วยป้องกัน หรือ ชะลอความเสื่อมที่ก่อให้เกิดโรคทางสายตาได้ แต่ต้องได้รับในปริมาณที่มากพอและเหมาะสมที่จะส่งผลต่อสุขภาพตา พรุน ที่นอกจากจะประกอบด้วยใยอาหารจำนวนมาก ซึ่งทราบกันดีว่ามีส่วนช่วยในเรื่องระบบขับถ่ายแล้ว พรุนยังมี กรดนีโอโคลโรเจ็นนิค (neochlorogenic acid) และ กรดโคลโรเจ็นนิค (chlorogenic acid) ซึ่งเป็นสารพฤกษเคมีที่มีฤทธิ์ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งป้องกันกระดูกพรุนได้ งา เป็นแหล่งของแคลเซียม มีส่วนช่วยส่งเสริมสุขภาพกระดูก และยังมีสารเซซามินซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในกระบวนการกำจัดสารพิษ ชาอู่หลง มีสารชื่อ OTPP (Oolong Tea Polymerized Polyphenol) ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยเพิ่มระบบเผาผลาญได้ 10% นอกจากนี้ยังมีการศึกษาวิจัยทางคลินิกยืนยันว่า OTPP ช่วยลดการดูดซึมไขมันและเพิ่มการขับไขมันทางอุจจาระได้ น้ำมันปลา ซึ่งประกอบด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง หรือโอเมก้า-3 ที่สามารถลดระดับไขมันในเลือด ลดความดันโลหิต ต้านการอักเสบ และช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ โสม มีสารจินเซ็นโนไซด์ ที่ทำให้ร่างกายมีการปลดปล่อยพลังงานมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงช่วยลดความเมื่อยล้า ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดและปรับสภาพร่างกายและจิตใจให้สามารถทนต่อความเครียดได้ ส่วนซุปไก่ของชาวจีนที่ถูกแปรรูปไปเป็นซุปไก่สกัดซึ่งให้โปรตีนและเปปไทด์ รวมทั้งสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพอื่นๆบางชนิดที่เกิดจากการตุ๋นซึ่งไม่พบในการกินเนื้อไก่โดยตรง ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมาคนจีนมีการใช้ซุปไก่ป็นอาหารฟังก์ชั่นกันมานานแล้ว โดยการแพทย์จีนใช้ซุปไก่ตุ๋นช่วยในการบำรุงร่างกาย ช่วยให้กระปรี้กระเปร่า จึงมักจะเห็นว่ามีการตุ๋นซุปไก่เพื่อบำรุงสุขภาพในคนทั่วไป รวมถึงผู้ป่วย คนท้อง ผู้ที่เตรียมตัวสอบจอหงวน ซึ่งปัจจุบันมีผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์กว่า 20 ชิ้น พบว่า ซุปไก่สกัดช่วยลดความเครียด เสริมสมาธิและการเรียนรู้ ทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า ซุปไก่สกัด ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมองและลดอาการเหนื่อยล้าจากการทำงาน เช่น งานวิจัยของ ศ.ดร.ไกส์สเลอร์ จากประเทศอังกฤษ พบว่า ซุปไก่สกัดช่วยกระตุ้นประสิทธิภาพด้านการเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงาน มีรายงานการวิจัยในการประชุมวิชาการประจำปี ค.ศ. 2001 ของสมาคมนักโภชนาการแห่งสหรัฐอเมริกา พบว่า ซุปไก่สกัดเป็นอาหารเสริมที่มีผลต่อการทำงานของสมอง โดยเฉพาะในเรื่องของการช่วยลดความเครียด เพิ่มสมาธิ ยังมีงานวิจัยของศ.นพ.อัสฮาล มูฮัมหมัด ซิน และคณะ พบว่า อาสาสมัครที่ดื่มซุปไก่สกัดมีความวิตกกังวลลดลง ช่วยเพิ่มความตื่นตัวและเพิ่มสมาธิ รวมถึงความสามารถในการจดจำดีขึ้น และเมื่อเร็วๆนี้ มีผลการศึกษาของ Konagai และคณะ จากมหาวิทยาลัย Japan Women’s University พบว่า การดื่มซุปไก่สกัดเป็นประจำมีส่วนช่วยในการส่งเสริมประสิทธิภาพการทำงานของสมองในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้และจดจำสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีนัยสำคัญ ปัจจุบันซุปไก่สกัดจึงเป็นอาหารฟังก์ชันที่ได้รับความนิยมในหมู่คนรักสุขภาพอย่างแพร่หลาย และนักวิจัยก็ยังคงดำเนินการศึกษาให้เห็นผลของการบริโภคซุปไก่สกัดอย่างต่อเนื่องต่อไป เพื่อศึกษาถึงกลไกการออกฤทธิ์ของซุปไก่สกัดมากขึ้น นอกจากนี้ยังมี “เห็ดทางการแพทย์” (Medicinal Mushrooms) ซึ่งเป็นอาหารฟังก์ชั่นที่นอกจากให้คุณค่าทางโภชนาการแล้วยังมีสารที่ให้ประโยชน์ในการส่งเสริมภูมิคุ้มกันและสุขภาพอีกด้วย เช่น เห็ดไมตาเกะ (Maitake) เห็ดยามาบูชิตาเกะ (Yamabushitake Mushroom) เห็ดฮิเมะมัตสึทาเกะ (Himematsutake) ถั่งเฉ้า (Cordyceps) เห็ดหลินจือ (Reishi Mushroom) เห็ดชิตาเกะ (Shiitake) และเห็ดแครง (Spit Gill) เป็นต้น เห็ดไมตาเกะ (Maitake) เห็ดที่ได้รับการถูกขนานนามว่าเป็น “ราชาแห่งเห็ด” มีประวัติการใช้มากว่าพันปี เป็นเห็ดสมุนไพรขนาดใหญ่ที่มีคุณภาพสูง และมีราคาแพง พบได้ในแถบทวีปเอเชีย อเมริกาเหนือและยุโรป เป็นเห็ดสมุนไพรที่ค่อนข้างหายาก จึงยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายนัก แต่ก็ได้รับการยอมรับจากนักวิจัยสมุนไพรว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพ ช่วยบำรุงร่างกาย ทำให้ร่างกายมีสุขภาพดี โดยเห็ดไมตาเกะมีสรรพคุณทางยาในการช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูงและโรคมะเร็ง รวมทั้งช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน จากการศึกษาวิจัยพบว่า เห็ดไมตาเกะ ประกอบด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย เช่น โพตัสเซียม แมกนีเซียม แคลเซียม ใยอาหาร กรดอะมิโน และวิตามินอีกหลายชนิด เช่น วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี วิตามินดี และสารที่น่าสนใจในเห็ดไมตาเกะ ก็คือ คาร์โบไฮเดรตกลุ่มที่เรียกว่า โพลีแซ็กคาไรด์ (Polysaccharide) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดความดันโลหิต และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด จึงมีส่วนช่วยป้องกันโรคเบาหวาน ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้อีกด้วย ถ้าหากรับประทานเป็นประจำก็จะช่วยบำรุงสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ สำหรับอาหารที่ถูกปรับเปลี่ยนไป รวมทั้งชนิดที่ถูกเสริมสารอาหารด้วยสารพฤกษเคมี หรือเสริมสมุนไพรเพื่อเพิ่มคุณค่าให้อาหาร ก็ถูกจัดอยู่ในประเภทอาหารฟังก์ชั่นด้วยเช่นกัน การใช้อาหารฟังก์ชั่นควรพิจารณาถึงความปลอดภัยด้วย โดยดูจากระดับปริมาณที่เหมาะสมของสารอาหารและ องค์ประกอบที่มีผลต่อสุขภาพในอาหารฟังก์ชั่นนั้นๆ และสิ่งสำคัญต้องได้รับการยืนยันถึงคุณประโยชน์ ด้วยวิธีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และการทดลองทางคลินิก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและเป็นที่ยอมรับ หากเรารู้จักเลือกบริโภคอย่างถูกต้อง เหมาะสมตามความจำเป็นต่อความต้องการของร่างกาย เราก็จะได้รับการเสริมอาหารที่ให้ประโยชน์คุ้มค่าต่อร่างกายได้มากที่สุด อย่างไรก็ตามโปรดระลึกไว้เสมอว่า อาหารฟังก์ชั่นไม่ใช่อาหารหลัก จึงไม่สามารถทดแทนอาหารหลักได้ แต่เป็นอาหารที่รับประทานเพื่อเสริมจากอาหารหลัก ที่อาจได้รับไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ในการส่งเสริมสุขภาพให้แข็งแรง ฉะนั้นสิ่งสำคัญที่เราทุกคนควรปฏิบัติก็คือ การรับประทานอาหารให้หลากหลาย ครบทุกหมู่ หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ทำจิตใจให้แจ่มใส และพักผ่อนอย่างเพียงพอ เพื่อการมีสุขภาพที่ดี

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ