CGS มองแนวโน้มตลาดหุ้นไทยเดือนเม.ย.อาการน่าเป็นห่วง ปัญหาการเมืองในประเทศกดดันเศรษฐกิจ/ต่างชาติย้ายฐานการลงทุน

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday April 10, 2014 14:25 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--10 เม.ย.--IR network CGS มองแนวโน้มตลาดหุ้นไทยเดือนเม.ย.อาการน่าเป็นห่วงปัญหาการเมืองในประเทศกดดันเศรษฐกิจ/ต่างชาติย้ายฐานการลงทุน เปิดโผหุ้นเด็ด STEC, SPALI, INTUCH, JAS, KTB และ CKP เหมาะซื้อเพิ่ม บล.คันทรี่มองแนวโน้มตลาดหุ้นไทยเดือนเม.ย. อาการน่าเป็นห่วง! มรสุมการเมืองในประเทศกดดัน ระบุหากจัดตั้งรัฐบาลใหม่ไม่ทันครึ่งปีแรก จะกดดันให้เศรษฐกิจฟุบ และหากลากยาวถึงครึ่งปีหลังจีดีพีอาจติดลบ 1% ส่งผลให้ต่างชาติย้ายฐานหนี คาด SET มีแนวโน้มขึ้นไปทดสอบ 1,370 – 1,380 จุด เป้าหมายต่อไปที่ 1,430 – 1,450 จุด และทั้งปีมีโอกาสรีบาวด์เหนือ 1,650 จุด ระยะสั้นแนะซื้อเก็งกำไร ระยะกลางถึงยาว แนะให้ถือต่อ และซื้อเพิ่มช่วงอ่อนตัว เลือกลงทุนหุ้นรายตัวจากอุตสาหกรรมเด่น เช่น STEC, SPALI, INTUCH, JAS, KTB และ CKP บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (CGS) มองแนวโน้มการลงทุนตลาดหุ้นไทยเดือนเม.ย.ว่า ผลจากการชุมนุมทางการเมืองได้กระทบต่อการบริโภค และการลงทุนในประเทศโดยตรง นอกจากนี้ การท่องเที่ยว และความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่หดตัวรุนแรง รวมทั้งโครงการภาครัฐที่ล่าช้าออกไปทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว โดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยประเมินว่า หากปัญหาการเมืองยังไม่ยุติ และจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ไม่ทันครึ่งปีแรก เศรษฐกิจจะไม่ขยายตัว และหากเลยไปจนถึงปลายไตรมาส 3/57 ยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เศรษฐกิจในปีนี้อาจติดลบ 1% “การชุมนุมของกลุ่ม กปปส. ดำเนินมาแล้วกว่า 5 เดือน ผลกระทบที่เห็นชัดเจนคือกิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัวลงอย่างมาก ซึ่งรองประธานสภาอุตสาหกรรมเห็นว่า พื้นที่หลักที่ได้รับผลกระทบ และส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวคือบริเวณกลางเมือง โดยคาดว่าเมื่อสิ้นสุดไตรมาส 1/57 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะลดลงประมาณ 1.1 ล้านคน และสูญเสียรายได้ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวเอเชียทั้งจีน ฮ่องกง เกาหลี และญี่ปุ่น และหากสถานการณ์ยังยืดเยื้อ อาจทำให้สูญเสียรายได้ตลอดทั้งปีประมาณ 9 หมื่นล้านบาท แม้ กปปส.จะย้ายการชุมนุมเหลือจุดเดียว แต่ยังมีการเคลื่อนไหวไปในที่ต่างๆ ดังนั้น ผลกระทบจึงยังไม่ลดลงนัก และจะทำให้ตลาดหุ้นผันผวนได้ง่าย” ทั้งนี้ การส่งออกไทยปี 2557 จะขยายตัวเพียง 3-5% จากแรงกดดันของปัญหาความขัดแย้งจากยูเครนและรัสเซีย รวมถึงปัญหาธนาคารในจีนที่เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะการเงินโลก การที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของไทยส่งสัญญาณชะลอตัวอย่างชัดเจน จะทำให้การเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นของนักลงทุนต่างชาติอาจจำกัดสัดส่วนมากกว่าประเทศอื่นที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจดีกว่าและปัญหาการเมืองที่น้อยกว่า สำหรับกำไรปี 2557 ของบริษัทจดทะเบียน เราใช้การประเมินจาก bottom up โดยพิจารณาจากหุ้นรายบริษัทที่เราประมาณการพบว่า กำไรต่อหุ้น (EPS) จะมีการขยายตัวเพียง 4.5% และเมื่อรวมกับหุ้นที่จะจดทะเบียนเข้าตลาดอีกราว 1.5 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราส่วนราว 1.5% ของมูลค่าตามราคาตลาด (Market Capitalization) ทำให้เราใช้ตัวเลขที่จะเพิ่มขึ้นของ EPS ที่ 5% จากการนำการเติบโตของ EPS มาคำนวณในอนาคต จะได้ EPS ณ สิ้นปี 2557 ที่ 94.29 บาท เราสามารถจัดลำดับค่า PE จาก 12-17 เท่า ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยส่วนต่ำและส่วนสูงโดยคร่าวๆ ในรอบ 10 ปี จะทำให้กรอบดัชนีอยู่ระหว่าง 1,131 - 1,603 จุดในปี 2557 แต่เราพอใจที่จะมองว่ากรอบ 14-16 เท่า หรือหาก SET ต่ำกว่า 1,320 จุดเป็นระดับที่น่าลงทุน และ 1,509 จุดเป็นระดับ Fully Value “การลงทุนยังวิตกกังวลทั้งการเมืองในประเทศ และปัญหาในจีน ซึ่งเป็นปัจจัยที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก แต่จากสัญญาณซื้อทางเทคนิคโดยมีแนวต้าน 1,380 จุด เรามองว่าเป็นโอกาสในการขายทำกำไรที่แนวดังกล่าว โดยการลงทุนจะเต็มไปด้วยความระมัดระวังจากประเด็นภายในประเทศและปัจจัยกังวลสถาบันการเงินในจีน โดยกลยุทธ์เน้นเลือกลงทุนหุ้นรายตัวจากอุตสาหกรรมเด่น” โดยกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่เคยถูกคาดการณ์ว่าจะเป็นดาวรุ่งในรัฐบาลชุดก่อน กลายมาเป็นกลุ่มที่ขาดปัจจัยบวก เนื่องจากนโยบายการลงทุนของภาครัฐต้องรอการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ดังนั้นกลุ่มนี้จึงต้อง wait & see ทั้งนี้หุ้นเด่นเป็น STEC ที่ผลการดำเนินงานโดดเด่นกว่าใคร อสังหาริมทรัพย์เป็นกลุ่มที่ได้ผลกระทบจากการเมืองโดยตรง เนื่องจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคตกต่ำ ระบบธนาคารคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อ จึงทำให้รายได้ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2556 ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญและอาจต่อเนื่องถึงต้นปี 2557 หุ้นโดดเด่นเน้นศักยภาพการทำกำไรได้แก่ SPALI ICT จุดเด่นของกลุ่มนี้ยังอยู่ที่อัตราปันผลสูง (High Dividend Yield) และพื้นฐานแข็งแกร่ง เช่น INTUCH และ JAS เนื่องจากมีการเติบโตโดดเด่นกว่าบริษัทอื่น กลุ่มธนาคาร เราเป็นห่วงการขยายตัวของสินเชื่อ หลังเดือนมกราคม 2557 ขยายตัวเพียง 0.1% และหากการเมืองยังคงยืดเยื้อจะทำให้กลุ่มธนาคารได้รับผลกระทบโดยตรง เราจึงเลือกหุ้นที่ค่า PE ต่ำ และปันผลเด่นอย่าง KTB อีกทั้งประเมินสินเชื่อเติบโตเด่นในปี 2557 ถึง 11% ส่วนพลังงาน เรามองอารมณ์ (Sentiment) ของการลงทุนหุ้นกลุ่มนี้จะถูกกดดันจากราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มอ่อนตัวลงในช่วงไตรมาส 2/57 เราจึงเลือกแนะนำหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า ซึ่งจะปลอดภัยจากอิทธิพลของแนวโน้มของราคาน้ำมัน CKP เป็นหุ้นที่เราสนใจสำหรับงวดนี้ โดย SET เดือนเมษายน 2557 มีแนวโน้มขึ้นทดสอบ 1,370 – 1,380 จุด หากผ่านไปได้จะออกจากแนวโน้มขาลง โดยมีเป้าหมายถัดไปที่ 1,430 – 1,450 จุด และมีโอกาสรีบาวด์ขึ้นเหนือ 1,650 จุดในปี 2557 ระยะสั้นจึงแนะนำ ซื้อเก็งกำไร โดยมีแนวต้านที่ 1,370 – 1,380 จุด และซื้อเก็งกำไรตามอีกครั้งเมื่อยืน 1,380 จุดได้ เป้าหมายถัดไปที่ 1,430 – 1,450 จุด ส่วนระยะกลางถึงยาว แนะนำถือหุ้นต่อ และซื้อสะสมเพิ่มช่วงอ่อนตัว เพื่อรอขายที่บริเวณ 1,430 – 1,450 จุด
แท็ก ตลาดหุ้นไทย   Spa   CGS  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ