บทวิจัยกรุงศรี :เศรษฐกิจโลกปี 2557 และแนวโน้มปี 2558

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday January 5, 2015 14:41 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--5 ม.ค.--ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เศรษฐกิจโลกปี 2557 และแนวโน้มปี 2558 ปี 2557: เศรษฐกิจโลกเติบโตในอัตราต่ำและอ่อนแรงเกินคาด การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศแกนหลักยังคงเปราะบางและไม่ถ้วนทั่ว กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (EMs) อยู่ในช่วงชะลอความร้อนแรงทางเศรษฐกิจ โดยกลุ่ม BRICS ชะลอตัวแรงเกินคาด ประเด็นสำคัญปี 2557 ที่มีนัยยะต่อทิศทางเศรษฐกิจโลกปีหน้า อาทิ ความต่างของระดับการฟื้นตัวและนโยบายเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศแกนหลัก การดิ่งลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และความขัดแย้งทางสังคม-การเมืองที่รุนแรงขึ้น ปี 2558: เผชิญความผันผวนในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการคลี่คลายวิกฤตเศรษฐกิจโลก ทิศทางการฟื้นตัวที่ต่างกันในหลายระดับนำไปสู่การดำเนินนโยบายที่อาจต่างกันมากขึ้น กลุ่มประเทศเกิดใหม่มีแนวโน้มเติบโตใกล้เคียงปีก่อนหน้า เนื่องจากยังมีช่องทางกระตุ้นเศรษฐกิจ ราคาน้ำมันดิบโลก...ปัจจัยที่อาจหนุนการเติบโตและเพิ่มความคล่องตัวในการใช้นโยบายเศรษฐกิจ ประเด็นหลักที่มีนัยยะต่อทิศทางเศรษฐกิจและการเงินโลกปี 2558... ผลจากระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่างกัน และการใช้นโยบายการเงินที่ไม่สอดคล้องกันของประเทศมหาอำนาจ ย่อมก่อให้เกิดความผันผวนในตลาดการเงินโลกมากขึ้นในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย เศรษฐกิจไทยปี 2557 และแนวโน้มปี 2558 ปี 2557: สู่ความหวังในการฟื้นตัว หลังเผชิญภาวะโกลาหลทางการเมือง ช่วงครึ่งปีแรก ภาวะตีบตันทางการเมือง ซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยที่ไร้พลังขับเคลื่อน การผ่อนคลายนโยบายการเงิน และความมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ช่วยพยุงการเติบโตในยามที่ปัจจัยลบรุมเร้า ช่วงครึ่งปีหลัง เริ่มเข้าสู่เส้นทางการฟื้นตัว เหตุการณ์ผิดคาดช่วงท้ายปี 2557 ทั้งการฟื้นตัวล่าช้าของเศรษฐกิจโลก ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทรุด และการใช้จ่ายภาครัฐต่ำกว่าเป้า อาจส่งผลต่อเนื่องสู่ปีถัดไป ปี 2558: ยังอยู่บนเส้นทางการฟื้นตัวที่ไม่ราบเรียบ พลังขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจเริ่มกระเตื้อง การลงทุนภาครัฐและภาคเอกชนมีบทบาทสำคัญต่อการเติบโต ความต่างของนโยบายการเงินของประเทศแกนหลัก และการร่วงลงของราคาน้ำมันโลก ส่งผลต่อตลาดการเงินและทิศทางดอกเบี้ยนโยบายของไทย ประเด็นหลักที่มีนัยยะต่อทิศทางเศรษฐกิจไทยปี 2558 ได้แก่ 1) ความต่างของภาวะเศรษฐกิจและการดำเนินนโยบายการเงินในประเทศแกนหลักของโลก 2) ผลเชิงบวกจากการร่วงลงของราคาน้ำมันในตลาดโลก และ 3) ทิศทางการเมืองในประเทศ เศรษฐกิจโลกปี 2557 และแนวโน้มปี 2558 ปี 2557: เศรษฐกิจโลกเติบโตในอัตราต่ำและอ่อนแรงเกินคาด เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้าและเผชิญกับความเสี่ยงสูงขึ้น ส่งผลให้สถาบันชั้นนำของโลกหลายแห่งทั้งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลก ต่างปรับลดมุมมองการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกลงมาอย่างพร้อมเพรียงกัน จุดสนใจของปีนี้อยู่ที่ระดับการฟื้นตัวของกลุ่มประเทศแกนหลักที่มีความแตกต่างกันมากขึ้นและนโยบายการเงินที่ไม่สอดคล้องกันเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศแกนหลักยังคงเปราะบางและไม่ถ้วนทั่ว เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีการฟื้นตัวที่ชัดเจน จนธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยุติการพิมพ์เงินอัดฉีดสภาพคล่องในเดือนตุลาคม และกำลังหาจังหวะที่เหมาะสมในการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งตรงข้ามกับยูโรโซนและญี่ปุ่นที่การฟื้นตัวสะดุดลง โดยยูโรโซนเสี่ยงที่จะเผชิญภาวะเงินฝืด ขณะที่บางประเทศเช่น อิตาลี กลับเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกครั้ง ทำให้ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ต้องเร่งออกมาตรการทั้งปรับลดดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับใกล้ศูนย์ และอัดฉีดสภาพคล่องเพิ่มขึ้นผ่านการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่ธนาคารพาณิชย์ รวมถึงซื้อหลักทรัพย์ภาคเอกชน แต่สิ่งที่ทำไปดูเหมือนจะได้แค่ประคองเศรษฐกิจไม่ให้ทรุดมากไปกว่าที่เป็นอยู่ ด้านญี่ปุ่น เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยเป็นครั้งที่ 4 ในรอบ 7 ปี หลังมีการปรับขึ้นภาษีการขายในเดือนเมษายน ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ต้องเพิ่มขนาดการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ ขณะที่รัฐบาลเลื่อนการขึ้นภาษีการขายรอบสองออกไปและประกาศยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ในเดือนธันวาคมเพื่อหาเสียงสนับสนุนนโยบายที่จะดำเนินการต่อไป ส่วนเป้าหมายที่จะไปให้ถึงเงินเฟ้อที่ระดับ 2% ดูห่างไกลออกไปจากแผนที่วางไว้ กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (EMs) อยู่ในช่วงชะลอความร้อนแรงทางเศรษฐกิจ โดยกลุ่ม BRICS ชะลอตัวแรงเกินคาด ประเทศ EMs ส่วนใหญ่หันมาเน้นดูแลเสถียรภาพและปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ โดยจีนเดินหน้าตามแผนปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมอย่างต่อเนื่อง ทำให้การลงทุนชะลอตัวลงโดยเฉพาะในภาคธุรกิจที่มีกำลังการผลิตส่วนเกินสูงมาก ประกอบกับภาคส่งออกได้รับผลกระทบจาก อุปสงค์โลกซบเซา เศรษฐกิจจีนปีนี้จึงชะลอตัวเกินคาดโดยเติบโตในอัตราต่ำสุดในรอบ 24 ปี แม้ว่าทางการจะออกมาตรการกระตุ้นแบบเจาะจงเป้าหมายเป็นระยะๆ โดยหลีกเลี่ยงการกระตุ้นในวงกว้างที่อาจสร้างปัญหาฟองสบู่เช่นในอดีต แต่มาตรการดังกล่าวยังไม่เพียงพอที่จะ ช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจได้ ล่าสุด ทางการเริ่มเสริมด้วยมาตรการกระตุ้นในวงกว้าง โดยปรับลดดอกเบี้ยอ้างอิงเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี ซึ่งน่าติดตามว่ามาตรการล่าสุดนี้จะมีผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจมากน้อยเพียงใด ขณะที่ประเทศอื่นๆ ในกลุ่ม BRICS ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ รัสเซีย เศรษฐกิจจมสู่ภาวะถดถอย ส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตก และยังถูกซ้ำเติมด้วยการร่วงลงของราคาน้ำมันดิบโลกขณะที่การอ่อนค่าอย่างรุนแรงของเงินรูเบิลกดดันให้ทางการลอยตัวเงินรูเบิลในช่วงปลายปี ล่าสุด ทางการยังปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเป็น 17% จากระดับ 10.5% เพื่อบรรเทาการอ่อนค่าของเงินรูเบิล ทั้งนี้ การเติบโตของเศรษฐกิจมีแนวโน้มย่ำแย่ลงอีกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่วนบราซิล เศรษฐกิจอยู่ในภาวะชะงักงันแม้จะก้าวพ้นจากภาวะถดถอยในช่วงครึ่งปีแรกแล้วก็ตาม สาเหตุหลักจากการร่วงลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลกที่กระทบต่อรายได้หลักของประเทศ สำหรับกลุ่ม EMs อื่นๆ มีภาพรวมการเติบโตชะลอลงกว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมา หลังการชะลอตัวของประเทศสำคัญ ซึ่งรวมถึงจีนเริ่มส่งผลกระทบลุกลามมายังเศรษฐกิจ EMs ผ่านภาคการค้าและการลงทุน บางประเทศจึงจำเป็นต้องเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน นอกจากนี้ บางประเทศที่พึ่งพิงการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ยังถูกซ้ำเติมจากการทรุดตัวรุนแรงของราคาในตลาดโลก เช่น บราซิล รัสเซีย และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น หลายๆ ประเทศมีปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่เป็นข้อจำกัดทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศลดลง ประเด็นสำคัญปี 2557 ที่มีนัยยะต่อทิศทางเศรษฐกิจ โลกปีหน้า สำหรับประเด็นสำคัญจากปี 2557 ที่จะเชื่อมต่อไปสู่ปี 2558 จะมีทั้งความต่างของระดับการฟื้นตัวและนโยบายเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศแกนหลัก ซึ่งรวมถึงจังหวะการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ท่ามกลางการใช้มาตรการพิมพ์เงินของยูโรโซนและญี่ปุ่น ประการต่อมา คือ ผลของราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลกที่ดิ่งลงอาจช่วยกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจโลกผ่านต้นทุนการผลิตที่ปรับลดลง โดยเฉพาะต้นทุนพลังงาน แต่ปัจจัยนี้อาจต้องใช้เวลาระยะหนึ่งกว่าจะเห็นผล และท้ายสุด คือความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และปัญหาสังคม-การเมืองในหลายประเทศ ประเด็นสำคัญเหล่านี้อาจสร้างความผันผวนต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุน อัตราแลกเปลี่ยน รวมทั้งส่งผลต่อการตัดสินใจด้านนโยบายการเงินในปีหน้า ปี 2558...เผชิญความผันผวนในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการคลี่คลายวิกฤตเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจโลกปี 2558 มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นกว่าปี 2557 แต่ไม่มากนัก จากแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ยังอ่อนแอในประเทศสำคัญ เช่น ยูโรโซน ญี่ปุ่น และประเทศตลาดเกิดใหม่ (EMs) รายใหญ่หลายแห่งโดยเฉพาะจีน แต่อาจได้อานิสงส์จากราคาพลังงานที่ปรับลดลงแรงช่วยเกื้อหนุนการเติบโต โดย IMF คาดว่าการเติบโตจะอยู่ที่ระดับ 3.8% จาก 3.3% ในปี 2557 ทิศทางการฟื้นตัวที่ต่างกันในหลายระดับนำไปสู่การดำเนินนโยบายที่อาจต่างกันมากขึ้น เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มเติบโตได้สูงสุดในกลุ่มประเทศแกนหลักจากตลาดแรงงานที่มีพัฒนาการดีขึ้นต่อเนื่อง จุดสนใจในปีนี้จะอยู่ที่จังหวะการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายซึ่งคาดว่าจะอยู่ในช่วงครึ่งหลังของปี โดยเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับผ่อนคลายช่วยเพิ่มความคล่องตัวให้ Fed สามารถปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป ด้านยูโรโซน ยังต้องดิ้นรนให้หลุดพ้นจากภาวะชะงักงันและเงินฝืด แรงกดดันจึงอยู่ที่ว่า ECB จะออกมาตรการเยียวยาเศรษฐกิจได้ทันท่วงทีและเพียงพอหรือไม่ โดยเฉพาะการซื้อพันธบัตรรัฐบาลเช่นเดียวกับสหรัฐฯ เนื่องจากปัญหาของยูโรโซนคือการขาดเอกภาพด้านนโยบาย ขณะที่ปัญหาเชิงโครงสร้างยังแก้ไขได้ช้ามาก ทั้งอัตราการว่างงานสูง ขาดการลงทุนใหม่ๆ และหนี้ภาครัฐก้อนโตที่ยังแฝงอยู่ สำหรับญี่ปุ่น อยู่ในภาวะคล้ายคลึงกับยูโรโซนที่อาจต้องออกมาตรการดูแลเศรษฐกิจเพิ่มเติม แต่เศรษฐกิจมีโอกาสเติบโตได้สูงกว่า เพราะมีความยืดหยุ่นในการออกมาตรการกระตุ้นทั้งด้านการเงินและการคลังมากกว่า บวกกับแรงหนุนจากเงินเยนอ่อนค่าจะเป็นประโยชน์ต่อภาคส่งออก อีกทั้งการปรับโครงสร้างการลงทุนของกองทุนบำเหน็จบำนาญของรัฐบาลญี่ปุ่น (GPIF) จะช่วยหนุนตลาดหุ้นและความมั่งคั่งของประชาชน กลุ่มประเทศเกิดใหม่มีแนวโน้มเติบโตใกล้เคียงปีก่อนหน้า เนื่องจากยังมีช่องทางกระตุ้นเศรษฐกิจ เศรษฐกิจของประเทศ EMs รายใหญ่ เช่นจีน คาดว่าจะยังอยู่ในทิศทางชะลอตัว อันเป็นผลจากการควบคุมการเติบโตในภาคเศรษฐกิจที่มีความเสี่ยงและมีปัญหาเรื้อรังสะสม อาทิ อุตสาหกรรมที่มีกำลังการผลิตส่วนเกินสูงมาก ฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ภาคการเงินที่มีหนี้เสียมากขึ้น และรัฐบาลท้องถิ่นที่มีหนี้ก้อนโต อีกประการคือ นโยบายปรับสมดุลย์ที่มุ่งหวังให้การเติบโตมีเสถียรภาพในระยะยาว อย่างไรก็ตาม มาตรการกระตุ้นที่ได้ทำมาแล้วในปีก่อนหน้า จะช่วยพยุงให้เศรษฐกิจประคองการเติบโตต่อไปได้แม้จะชะลอลงบ้าง ส่วนประเทศ EMs อื่นๆ ก็มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องใกล้เคียงกับปีก่อน โดยได้อานิสงส์จากภาคส่งออกที่คาดว่าจะฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลก ขณะที่หลายประเทศยังมีช่องทางกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ซึ่งรวมถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน อย่างไรก็ตาม การเติบโตอาจถูกจำกัดจากหลายปัจจัย อาทิ ปัญหาเชิงโครงสร้างในแต่ละประเทศ การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน รวมทั้งความสามารถในการแข่งขันที่ลดลงในหลายประเทศหลังต้นทุนโดยเฉพาะค่าแรงปรับเพิ่มขึ้นมาก ราคาน้ำมันดิบโลก...ปัจจัยที่อาจหนุนการเติบโตและเพิ่มความคล่องตัวในการใช้นโยบายเศรษฐกิจ วัฏจักรขาลงของราคาน้ำมันดิบโลก ซึ่งมีสาเหตุหลักจากอุปทานน้ำมันเพิ่มขึ้นเร็วกว่าอุปสงค์ โดยได้แรงหนุนจากภาวะเฟื่องฟูในการผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดานในสหรัฐฯ นั้น แม้จะส่งผลเชิงลบต่อรายได้ของประเทศที่พึ่งพาการส่งออกน้ำมันเป็นหลักอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ผลเชิงบวกของราคาน้ำมันที่ถูกลงอาจเริ่มปรากฏชัดขึ้นในปี 2558 โดยคาดว่าจะช่วยลดต้นทุนการผลิต ผ่อนคลายแรงกดดันเงินเฟ้อ ช่วยเพิ่มอำนาจซื้อให้กับประชาชน เพิ่มโอกาสผ่อนคลายนโยบายการเงินหรือช่วยชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยออกไป รวมทั้งลดภาระการอุดหนุนราคาพลังงานซึ่งจะเพิ่มช่องทางการใช้นโยบายการคลัง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ปัจจัยเหล่านี้จึงอาจหนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกโดยรวม ผ่านประเทศผู้บริโภคและนำเข้าพลังงาน อาทิ ญี่ปุ่น ยุโรป และหลายประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ ประเด็นหลักที่มีนัยยะต่อทิศทางเศรษฐกิจและการเงินโลกปี 2558 ผลจากระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่างกัน และการใช้นโยบายการเงินที่ไม่สอดคล้องกันของประเทศมหาอำนาจ ย่อมก่อให้เกิดความผันผวนในตลาดการเงินโลกมากขึ้นในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายซึ่งอาจไหลสู่กลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว และกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ที่มีพื้นฐานเศรษฐกิจดี นอกจากนี้ ค่าเงินยังอาจผันผวนมากขึ้น โดยเฉพาะในจังหวะของการปรับขึ้นดอกเบี้ยในสหรัฐฯ ขณะที่การพิมพ์เงินของยูโรโซนและญี่ปุ่นอาจจุดชนวนให้เกิดสงครามค่าเงินในประเทศที่พึ่งพาการส่งออก สำหรับประเด็นที่น่าเป็นห่วงที่อาจทำให้ตลาดการเงินโลกผันผวนเกินคาด ได้แก่ 1) ความไม่แน่นอนของจังหวะและขนาดการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ Fed 2) สภาพคล่องโลกที่ยังมีอยู่จำนวนมาก จากนโยบายการเงินผ่อนคลายของประเทศแกนหลัก อาจหนุนการเก็งกำไรในสินทรัพย์เสี่ยง 3) ความเสี่ยงอื่นๆ เช่น เศรษฐกิจจีนอาจชะลอตัวแรงเกินคาด ราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลกที่ดิ่งลงรุนแรงอาจเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเงินฝืด และความขัดแย้งทางสังคม-การเมืองในหลายพื้นที่อาจทวีความรุนแรงขึ้น ประเด็นเหล่านี้อาจทำให้ทิศทางเศรษฐกิจ นโยบายการเงิน และกระแสเงินทุนโลกพลิกผันไปจากที่ประเมินไว้ เศรษฐกิจไทยปี 2557 และแนวโน้มปี 2558 ปี 2557: สู่ความหวังในการฟื้นตัว หลังเผชิญภาวะโกลาหลทางการเมือง เศรษฐกิจไทยในปี 2557 มีแนวโน้มขยายตัวในอัตราต่ำสุดในอาเซียนที่เพียง 0.8% ผลจากสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยทั้งความอ่อนแอของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและปัญหาการเมืองในประเทศ อย่างไรก็ตาม กิจกรรมทางเศรษฐกิจพลิกผันจากที่ไร้การเติบโตในช่วงครึ่งปีแรก มาสู่การฟื้นตัวอย่างช้าๆ ภายหลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในช่วงกลางปี ช่วงครึ่งปีแรก ภาวะตีบตันทางการเมือง ซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยที่ไร้พลังขับเคลื่อน เศรษฐกิจไทยในครึ่งแรกของปี 2557 ไร้การเติบโต จากปัจจัยกดดันทั้งในและต่างประเทศ โดยความโกลาหลทางการเมืองในประเทศที่ก่อตัวตั้งแต่ปลายปี 2556 ทั้งการชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่ การยุบสภา การประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉิน และการเลือกตั้งเป็นโมฆะ ส่งผลให้การใช้จ่ายภาครัฐชะงักงัน การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสะดุด ความเชื่อมั่นภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศถูกบั่นทอน ภาคท่องเที่ยวทรุดแรง ภาคธุรกิจชะลอการลงทุน รวมทั้งการบริโภคอ่อนแอลงภายหลังซบเซาต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2556 เนื่องจากผลของนโยบายประชานิยมแผ่วลงและภาระหนี้ครัวเรือนสูงขึ้น นอกจากนี้ ภาคส่งออกที่เคยหวังว่าจะช่วยชดเชยความอ่อนแอของอุปสงค์ในประเทศกลับหดตัวลง เนื่องจากอุปสงค์ของตลาดโลกโดยรวมอ่อนแอกว่าคาด ผนวกกับอุปสรรคภายในประเทศโดยเฉพาะปัญหาด้านความสามารถในการแข่งขันที่ลดลงในสินค้าส่งออกหลายรายการ การผ่อนคลายนโยบายการเงิน และความมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ช่วยพยุงการเติบโตในยามที่ปัจจัยลบรุมเร้า ท่ามกลางเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจทุกด้านที่อ่อนแรงลงเช่นนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% สู่ระดับ 2% ในช่วงปลายไตรมาสแรกของปี 2557 เพื่อพยุงเศรษฐกิจในช่วงที่ขาดแรงหนุนจากนโยบายการคลัง นอกจากนี้ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยรวมยังอยู่ในเกณฑ์ดี ทั้งในแง่ของทุนสำรองระหว่างประเทศ อัตราแลกเปลี่ยน อัตราเงินเฟ้อ ฐานะ การคลัง สุขภาพของภาคธนาคารและภาคเอกชน ขณะที่อันดับ ความน่าเชื่อถือของไทยยังคงเดิมแม้จะเผชิญกับวิกฤตการเมือง ทั้งนี้ สะท้อนว่าพื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทยยังสามารถรองรับความเสี่ยงได้ในระดับหนึ่ง ช่วงครึ่งปีหลัง เริ่มเข้าสู่เส้นทางการฟื้นตัว เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2557 เริ่มฟื้นตัวอย่างช้าๆ จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดจากการปลดล็อกภาวะสุญญากาศทางการเมืองภายหลังรัฐประหารในช่วงกลางปี แม้สถานการณ์ความไม่แน่นอนต่างๆยังปกคลุมอยู่ แต่กระแสตอบรับจากภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจกลับออกมาดีผิดคาด เงินทุนจากต่างประเทศเริ่มไหลเข้า ขณะที่การใช้จ่ายและการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของภาครัฐคล่องตัวขึ้นและกลับมามีบทบาทหลักในการหนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เช่น การเร่งจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี การทยอยออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการจ่ายเงินให้ชาวนาในโครงการรับจำนำข้าว เป็นต้น เมื่อผนวกกับภาคท่องเที่ยวและภาคส่งออกที่กระเตื้องขึ้นช่วงท้ายปี ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังขยายตัวดีขึ้นโดยคาดว่าจะโต 1.5-2.0% จากหดตัว 0.02% ในครึ่งปีแรก เหตุการณ์ผิดคาดช่วงท้ายปี 2557 ทั้งการฟื้นตัวล่าช้าของเศรษฐกิจโลก ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทรุด และการใช้จ่ายภาครัฐต่ำกว่าเป้า อาจส่งผลต่อเนื่องสู่ปีถัดไป แม้ว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2557 เริ่มกระเตื้องขึ้น แต่การฟื้นตัวดำเนินไปอย่างล่าช้าและอ่อนแอกว่าคาด ผลจากปัจจัยแวดล้อมทั้งในและต่างประเทศหลายประการ อันได้แก่ 1) หลายภาคส่วนของเศรษฐกิจโลกซบเซากว่าคาด โดยเฉพาะยูโรโซน ญี่ปุ่น และจีน สอดคล้องกับการปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลกของสถาบันชั้นนำ ภาคส่งออกของไทยจึงยังซบเซาต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 แม้จะฟื้นตัวได้บ้างในช่วงท้ายปี 2) การร่วงลงของราคาสินค้าเกษตร ไม่เพียงกระทบต่อมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรของไทย แต่ที่สำคัญยังลดทอนกำลังซื้อของครัวเรือนในภาคชนบท 3) การใช้จ่ายภาครัฐล่าช้ากว่าคาด และ 4) การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวยังอ่อนแอ ภายหลังรัฐบาลคงกฎอัยการศึกยาวนานกว่าคาด ขณะที่ประเทศที่เป็นนักท่องเที่ยวหลักของไทย เช่น ยุโรปและรัสเซีย ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ ปัจจัยดังกล่าวข้างต้นทำให้หน่วยงานวิจัยหลายแห่งปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2557 ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับแรงส่งที่มีต่อเศรษฐกิจในระยะถัดไป อย่างไรก็ดี ประเด็นการร่วงลงแรงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลกโดยเฉพาะน้ำมันยังเป็นที่น่าติดตามต่อไปหากพิจารณาถึงผลที่มีต่อต้นทุนการผลิต เงินเฟ้อ และนโยบายการเงิน-การคลัง ตลอดจนภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2558 ปี 2558: ยังอยู่บนเส้นทางการฟื้นตัวที่ไม่ราบเรียบ ทิศทางเศรษฐกิจไทยปี 2558 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อน โดยคาดว่าจะเติบโตในอัตรา 4.3% ผลจากการใช้จ่ายในประเทศทั้งภาครัฐและเอกชนที่กลับสู่สภาวะปกติมากขึ้น ประกอบกับเศรษฐกิจโลกที่ทยอยฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป รวมทั้งผลเชิงบวกจากการร่วงลงของราคาน้ำมันในตลาดโลก แต่ทั้งนี้ ยังต้องระวังความผันผวนความไม่แน่นอนและความเสี่ยงในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการคลี่คลายวิกฤตเศรษฐกิจโลกและวิกฤตการเมืองไทย พลังขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจเริ่มกระเตื้อง การลงทุนภาครัฐและภาคเอกชนมีบทบาทสำคัญต่อการเติบโต แรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจจากทั้งภายในและภายนอกประเทศมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นหลังจากที่อ่อนแรงลงทุกด้านในปี 2557 โดยสาระสำคัญของแรงขับเคลื่อนในแต่ละด้านสำหรับปี 2558 มีดังนี้ ภาครัฐเร่งเครื่องใช้จ่ายและออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งจะเริ่มทยอยปรากฎผลชัดขึ้น โดยเฉพาะงบลงทุนที่คาดว่าจะคับคั่งขึ้นในปี 2558 หลังจากที่เบิกจ่ายล่าช้าในปีก่อน ประกอบกับการเดินหน้าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายภาครัฐอาจต่ำกว่าเป้าได้เนื่องจากยังมีการตรวจสอบที่เข้มงวดเพื่อป้องกันปัญหาทุจริตในบางโครงการ การลงทุนของภาคธุรกิจจะมีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยคาดว่าจะเติบโตโดดเด่นราว 6-8% หลังซบเซามานาน แรงหนุนจากโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจะช่วยเหนี่ยวนำการลงทุนภาคเอกชนและอาจช่วยหนุนการขยายตัวของความเป็นเมือง (urbanization) ท่ามกลางการเคลื่อนเข้าสู่ AEC ช่วงสิ้นปี 2558 นอกจากนี้ การเร่งอนุมัติโครงการลงทุนผ่าน BOI ในช่วงที่ผ่านมา บวกกับมาตรการกระตุ้นการลงทุน เช่น การช่วยเหลือ SMEs อาจทำให้การลงทุนจริงเพิ่มขึ้นจากปีก่อนชัดเจน การใช้จ่ายของครัวเรือนอาจกลับสู่ภาวะปกติมากขึ้นหลังอยู่ในสภาวะผิดปกติกว่า 2 ปี โดยคาดว่าจะเติบโต 2.7-3.7% เนื่องจากการจ้างงานและรายได้นอกภาคเกษตรอยู่ในเกณฑ์ดี ขณะที่มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยจะทำให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายโดยเฉพาะในชนบทจะถูกจำกัดจากราคาสินค้าเกษตรที่อยู่ในระดับต่ำและหนี้ครัวเรือนที่สูง การส่งออกและการท่องเที่ยวกระเตื้องขึ้น ด้านการส่งออกอาจฟื้นตัวช้าๆ โดยคาดว่าจะขยายตัว 2-4% ในปี 2558 จากที่ไม่เติบโตในปี 2557 แรงหนุนจากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ผนวกกับพลวัตการเติบโตของประเทศเพื่อนบ้าน อย่างไรก็ตาม การส่งออกไทยอาจยังอ่อนแอกว่าหลายประเทศในภูมิภาคเนื่องจากปัญหาด้านความสามารถในการแข่งขัน สำหรับภาคท่องเที่ยวอาจฟื้นตัวดีขึ้นแม้จะไม่เติบโตสูงเหมือนหลายปีที่ผ่านมา ความต่างของนโยบายการเงินของประเทศแกนหลัก และการร่วงลงของราคาน้ำมันโลก ส่งผลต่อตลาดการเงินและทิศทางดอกเบี้ยนโยบายของไทย นโยบายการเงินของไทยที่ยังผ่อนคลายน่าจะเป็นอีกทางหนึ่งที่เสริมการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แม้ว่าในปี 2558 จะมีแรงกดดันจากแนวโน้มการปรับเพิ่มดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ แต่ทางการไทยอาจไม่จำเป็นต้องรีบปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายตาม เนื่องจากการร่วงลงของราคาน้ำมันในตลาดโลก จะทำให้เงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ แม้ไทยจะมีการปรับลดการอุดหนุนราคาพลังงาน และต้นทุนนำเข้าบางส่วนได้รับผลกระทบจากการอ่อนค่าของเงินบาทก็ตาม ดังนั้น กนง.จึงมีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับต่ำ 2.0% อย่างไรก็ตาม หากเศรษฐกิจโลกและไทยอ่อนแอกว่าคาด เงินเฟ้อที่ต่ำก็จะเปิดทางให้ดอกเบี้ยนโยบายของไทยปรับลดลงได้ สำหรับค่าเงินบาทในปี 2558 อาจผันผวนในทิศทางอ่อนค่า สอดคล้องกับแนวโน้มการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ฯ อันเป็นผลจากเศรษฐกิจสหรัฐฯที่อาจเติบโตโดดเด่นจนสามารถใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น เช่น การปรับเพิ่มดอกเบี้ยนโยบาย แตกต่างจากประเทศแกนหลักอื่นๆ ที่มีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม ปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยที่อยู่ในเกณฑ์ดี อาจช่วยจำกัดการอ่อนค่าของเงินบาท ทั้งนี้ ความผันผวนของค่าเงินบาทเป็นประเด็นที่หลีกเลี่ยงมิได้ เนื่องจากความไม่แน่นอนต่างๆ โดยเฉพาะจังหวะและขนาดของการดำเนินนโยบายการเงินของประเทศแกนหลัก รวมทั้งสถานการณ์การเมืองในประเทศ อาจส่งผลให้กระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายอย่างฉับพลันเป็นระยะได้ ประเด็นหลักที่มีนัยยะต่อทิศทางเศรษฐกิจไทยปี 2558 ประเด็นสำคัญในปี 2558 ที่จะมีนัยสำคัญอย่างยิ่งต่อความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจ ตลาดการเงิน รวมทั้งทิศทางนโยบายการเงินของไทย ได้แก่ 1) ความต่างของภาวะเศรษฐกิจและการดำเนินนโยบายการเงินในประเทศแกนหลักของโลก (Divergence of economic conditions and monetary policy) ซึ่งไม่เพียงจะส่งผลต่อเศรษฐกิจของกลุ่มตลาดเกิดใหม่รวมถึงไทยเท่านั้น แต่ยังมีผลต่อทิศทางนโยบายการเงินในแต่ละประเทศ ตลอดจนกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายที่จะมีส่วนกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนและราคาสินทรัพย์ต่างๆทั่วโลก 2) ผลจากการร่วงลงของราคาน้ำมันในตลาดโลก นับเป็นปัจจัยด้านบวกที่จะช่วยหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ผ่านประเทศผู้บริโภคและนำเข้าน้ำมันเช่นไทย และ 3) ทิศทางการเมืองในประเทศ ซึ่งรวมถึงการร่างรัฐธรรมนูญและการปฏิรูปการเมือง-เศรษฐกิจ-สังคม แม้การเปลี่ยนแปลงกฎกติกา (Regulatory changes) ที่รออยู่เบื้องหน้าอาจสร้างความกังวลต่อบางภาคธุรกิจ แต่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญในปี 2558 นับเป็นความหวังที่จะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส เพื่อขจัดอุปสรรคและเสริมสร้างศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ